บทที่ 553 คนหนุ่มสาวไม่พิถีพิถันคุณธรรมของผู้บำเพ็ญ
ตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดที่ปรากฏขึ้นในหมอกแห่งชะตาแทนที่ร่มดำใหญ่ กำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้า
แม้หน้าปัดของมันจะเป็นหยก แต่เมื่องดวงไฟวูบไหว ก็เหมือนมีความรู้สึกเช่นผลึกวารีอยู่เลาๆ แสงจ้าแยงตา ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
สิ่งที่สวี่ชิงรู้สึกได้ว่าวัสดุคล้ายกับผลึกวารีสีม่วงของตน ราวกับตะเกียงแห่งชีวิตนี้เป็นส่วนขยายของผลึกวารีสีม่วงอย่างหนึ่ง
จุดนี้ พิสูจน์ได้จากการสั่นระริกอย่างรุนแรงรวมถึงการดิ้นรนกระเสือกกระสนของนิ้วเทพเจ้าที่หลับใหลอยู่ในวังสวรรค์ติงหนึ่งสามสองตอนนี้
ผลึกวารีสีม่วงดั่งปรากฏพร้อมกับนาฬิกาแดด ปรากฏการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม
ส่วนเรื่องรายละเอียด สวี่ชิงก็ยังยากจะเข้าใจ
แต่เขาสัมผัสถึงเข็มนาฬิกาที่เหมือนกับเดือยกระดูกบนนาฬิกาแดด ที่แผ่คลื่นพลังคล้ายมาจากต้นกำเนิดเดียวกันกับตนได้อย่างชัดเจน นี่ถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสายโลหิตของเขา!
ส่วนเข็มนาฬิกานี้ มองผ่านๆ ก็เป็นเข็มเล่มหนึ่ง แต่ความจริงที่ปลายแหลมนั้นมีรูปสลักขนาดเล็กอยู่รูปหนึ่ง
หากขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือเก้าอี้สีม่วงที่ดูปกติมากๆ ตัวหนึ่ง
สวี่ชิงดวงตาแข็งค้าง
ส่วนดวงไฟที่ลอยอยู่รอบๆ เข็มนาฬิกาประหนึ่งดวงอาทิตย์ ขณะที่เวียนวนรอบเข็มช้าๆ ก็สร้างเงามืด ตกกระทบลงบนหน้าปัดนาฬิกา
และบนเครื่องหมายทั้งสิบสองชั่วยามที่ซับซ้อนก็กำลังเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างเห็นได้ชัดยิ่งเช่นกัน
ใจของสวี่ชิงซัดโหมอย่างรุนแรง
เขาคาดเดาว่าทำไมตะเกียงแห่งชีวิตที่ตนเองสร้างจึงมีรูปร่างเช่นนี้ขึ้นมาได้รางๆ
ทุกอย่าง เกี่ยวข้องกับผลึกวารีสีม่วงอย่างมาก
‘นี่คือการสะท้อนให้เห็นการผสานกันระหว่างผลึกวารีสีม่วงกับสายโลหิตของข้าหรือ
‘ทั้งกลิ่นอายเช่นนั้นอีก…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ ตะเกียงแห่งชีวิตของเขาตอนนี้แผ่กลิ่นอายที่คล้ายกับขวดแห่งกาลเวลาออกมาจากการเคลื่อนที่ของเงาเข็มนาฬิกา
ทว่าไม่ตรงกับกาลเวลาของโลกภายนอก
ขณะที่มันหมุนเวียน พลานุภาพยิ่งใหญ่มหาศาลก็ปะทุด้านใน ส่งผลกระทบกับทะเลความรู้สึกของสวี่ชิง ทำให้ทะเลความรู้สึกตีเกลียว
ส่งผลกระทบกับกายเนื้อของสวี่ชิง ทำให้กายเนื้อสั่นสะท้าน
ทั้งยังส่งผลกระทบกับโลกภายนอก ทำให้คลื่นวนพันจั้งขณะที่หมุนวนครืนครันก็ตัดขาดจากรอบทิศ และทำให้กาลเวลาในที่แห่งนี้ระยะพันจั้งเคลื่อนไปตามจังหวะของสวี่ชิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความวุ่นวายสับสนที่ปะทุขึ้นที่ชายขอบระหว่างภายนอกและภายระยะหนึ่งพันจั้งราวกับกลายเป็นโลกสองใบ บิดเบี้ยวไปหมด
นี่คือปรากฏการอันเนื่องมาจากกฎเกณฑ์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ปะทะกับสิ่งที่มันแผ่ซ่านออกมาเสี้ยวขณะที่ตะเกียงแห่งชีวิตดวงใหม่เกิดขึ้นในฟ้าดิน ตะเกียงแห่งชีวิตที่แตกต่างกัน ปรากฏการณ์ก็จะแตกต่างกัน ล้วนเป็นแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่ยอมรับมัน
ภาพนี้ มีคนน้อยที่จะมองที่มาออก ถึงอย่างไรนับตั้งแต่โบราณมา คนที่เห็นภาพนี้ด้วยตัวเองมีอยู่น้อยถึงน้อยมาก
และสวี่ชิงในพันจั้งตอนนี้กำลังนั่งขัดสมาธิ ทั่วร่างเปล่งแสงสีม่วง ความลึกลับวูบหนึ่งแผ่กำจายจากร่างเขา ระลอกคลื่นในใจเขาก็กระเพื่อมโหมซัดยากจะสงบ
เขามองนาฬิกาแดดที่รวมอยู่ในทะเลความรู้สึก ไม่ว่าตะเกียงแห่งชีวิตนี้จะเกิดขึ้นจากการที่ผลึกวารีสีม่วงผสานกับสายโลหิตของเขาหรือไม่ แต่จากความรู้สึกต้นกำเนิดเดียวกันที่แผ่ซ่านออกมาจากนาฬิกาแดด ก็ทำให้สวี่ชิงกระจ่างแจ้งว่านี่คือตะเกียงแห่งชีวิตของเขาเอง
แตกต่างกับความรู้สึกตอนที่เขาได้รับตะเกียงแห่งชีวิตดวงอื่นๆ มาในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ตะเกียงแห่งชีวิตดวงอื่น ต่อให้ผสานอยู่ในร่างสวี่ชิง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสายโลหิตของสวี่ชิงแม้แต่น้อย สำหรับสวี่ชิงแล้วเป็นแค่ของตาย
เขาใช้และยืมพลังได้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจใช้ไปถึงระดับสูงอย่างเจ้าของตัวจริงได้
ดังนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แม้ตะเกียงแห่งชีวิตจะเป็นของดี แม้จะเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ใช้ได้แค่ตอนที่อยู่ต่ำกว่าสมบัติวิญญาณเท่านั้น
เมื่อไปถึงระดับสมบัติวิญญาณก็จะไม่มีประโยชน์ กระทั่งยังต้องควักออกมาจากร่างเพื่อลดผลกรรมด้วย
นี่ก็เป็นความรู้สึกเดียวกันของผู้บำเพ็ญทุกคนที่ไม่ได้ผสานสายโลหิตกับตะเกียงแห่งชีวิตของคนอื่น
ตะเกียงแห่งชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นจากสายโลหิตของเขาดวงนี้ สามารถกลายเป็นเตาขนาดยักษ์ตอนอยู่ในระดับสมบัติวิญญาณได้ เป็นการสร้างรากฐานเช่นเดียวกับเจ้าเหนือหัวในระดับสมบัติวิญญาณของเขา
และด้วยเตาขนาดยักษ์นี้ หากสวี่ชิงเข้าสู่ระดับสมบัติวิญญาณ เขาสามารถใส่วัตถุทั้งหมดเข้าไปในสมบัติลับเพื่อหลอม ทำให้มันกลายเป็นวัตถุของตน ทำให้สมบัติลับของตนยิ่งใหญ่ขึ้น เดินสู่หนทางที่แข็งแกร่ง
นี่มีเพียงชนรุ่นหลังของเจ้าเหนือหัวจักรพรรดิโบราณเท่านั้น ถึงจะมีข้อได้เปรียบที่ไร้เทียมทานเช่นนี้
ส่วนสวี่ชิง กระทั่งพัฒนาไปอีกก้าวหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นชนรุ่นหลังเจ้าเหนือหัวที่เพลิดเพลินไปกับลาภยศ แต่เขาเป็นผู้ที่บุกเบิกลาภยศ ดังนั้นตัวตะเกียงแห่งชีวิตยังมีความสามารถลึกลับยากคาดเดาอีกมากมาย ซึ่งเขาต้องไขให้กระจ่างทีละอย่าง
ขณะนี้ เขาสัมผัสได้แค่ว่าพลังของตะเกียงแห่งชีวิตของตนเกี่ยวข้องกับกาลเวลาเท่านั้น
ส่วนพลานุภาพ เขายังไม่ได้ทดสอบ แต่ในสัมผัสรับรู้ก็ทำให้เขาเข้าใจว่าตะเกียงแห่งชีวิตของตนคล้ายคลึงกับตะเกียงแห่งชีวิตที่มีพลังการรบดวงอื่น ไม่ใช่ประเภทที่มีพลังน่าครั่นคร้ามในพริบตา ที่สามารถมองเมินผู้บำเพ็ญและสยบไปทั่วสารทิศ
สวี่ชิงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
แต่เขาก็เข้าใจว่านั่นไม่ใช่ความเป็นจริง
‘ตะเกียงแห่งชีวิตของตนเองกับตะเกียงแห่งชีวิตของคนอื่น จุดที่แตกต่างกันมากที่สุดคือความเป็นและความตาย ตะเกียงแห่งชีวิตของคนอื่นสำหรับข้าแล้วเป็นของตาย ไร้พลังแฝง ทำได้แค่ยืมพลังมาใช้เท่านั้น
‘แต่ตะเกียงแห่งชีวิตของข้า จะเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของข้า มันมีพลังแฝงที่ไร้ขีดจำกัด และเติบโตไปด้วยกันกับข้า
‘ส่วนพลังกาลเวลาของมัน คงมาจากผลึกวารีสีม่วง’
สวี่ชิงครุ่นคิด ส่วนรายละเอียด เขารู้ว่าสภาพแวดล้อมที่ตนอยู่ในตอนนี้ไม่เหมาะจะจมดิ่งกับความคิด ถึงอย่างไรรอบด้านของคลื่นวนพันจั้งนี้ ก็ดึงดูดความสนใจมากเกินไป
และหลิงเอ๋อร์ก็ส่งเสียงอย่างร้อนรน
“พี่สวี่ชิงรีบหนีเร็ว คนชั่วมาแล้ว คนชั่วมากมายเต็มไปหมด!”
เสียงของหลิงเอ๋อร์แฝงความตึงเครียด แม้ลางสังหรณ์วิถีสวรรค์ของสวี่ชิงจะรุนแรง แต่หลายวันมานี้ก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก นี่จึงอธิบายได้ว่าสัมผัสของหลิงเอ๋อร์เฉียบคมแม่นยำยิ่งกว่า
ขณะเดียวกันก็เก็บผลึกสีแดงที่ตกผลึกบนร่างกายหลังจากสร้างตะเกียงแห่งชีวิตหลายเม็ดทั้งหมด
ครั้งนี้ จำนวนของผลึกที่ปรากฏไม่น้อยเลย เพียงพริบตาก็ปรากฏออกมาถึงยี่สิบกว่าเม็ด
คลื่นวนในอาณาเขตพันจั้งก็ค่อยๆ หมุนวนช้าลงจากการจากไปของเขา
หลังจากสวี่ชิงจากไปสามชั่วยาม คลื่นวนก็สลายไป ไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องกลุ่มหนึ่งก็แล่นหวีดหวิวมาจากทะเลเพลิงสวรรค์ไกลๆ
เสี้ยวขณะที่ใกล้มาถึงที่นี่ แม้คลื่นวนจะสลายไป แต่พลังที่เหลืออยู่ก็ยังคงน่าตื่นตะลึง ผู้บำเพ็ญเงาคันฉ่องเหล่านั้นเพิ่งจะเข้าใกล้ ก็มีคนร้องอย่างตกใจทันที
“ที่นี่ไม่ชอบมาพากล!”
ระหว่างที่กล่าว ผู้ที่ตกใจก็ถอยอย่างรวดเร็ว ร่างที่เขาสิงอยู่ ตอนนี้เริ่มแห้งเหี่ยวอย่างเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ได้ถูกช่วงชิงพลังชีวิต แต่เป็นพลังชีวิตหายไป!
ภาพนี้ ทำให้ผู้นี้หน้าเปลี่ยนสี
ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องตนอื่นต่างสูดลมหายใจ
“ที่นี่ไม่ผู้แข็งแกร่งมาจุติ ก็มีสมบัติลึกลับบางอย่างปรากฏขึ้นใต้ทะเลเพลิงสวรรค์ เกี่ยวข้องกับกาลเวลา นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก!
“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เข็มทิศก็จับสัมผัสได้ว่ามีผลึกเพลิงสวรรค์ระดับสูงปรากฏขึ้นยี่สิบกว่าเม็ดในคราวเดียว จำนวนขนาดนี้…ก่อสงครามได้เลย!”
หลังจากกลุ่มคนมองตากัน สายตาเผยความครั้นคร้ามรวมถึงความละโมบออกมา
“ราชครูอยู่ระหว่างทาง พวกเราไปตรวจสอบกันก่อน!”
“แจ้งบอกเผ่าเราที่อยู่ในทะเลเพลิงสวรรค์ทั้งหมดให้มาที่นี่ทันที!”
ผู้บำเพ็ญเงาคันฉ่องเหล่านี้ หลังจากส่งสื่อเสียงแล้วก็แยกย้ายทันที ต่างออกสำรวจ
ขณะเดียวกัน ไม่เพียงแค่ผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องเท่านั้นที่มา ที่ไกลๆ ยังมีผู้บำเพ็ญอีกมากมาย หลังจากสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเข็มทิศ แต่ละคนก็หายใจหอบถี่ รีบทะยานมาที่แห่งนี้
บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็มาเป็นกลุ่ม ในบรรดานี้จำนวนมากที่สุดคือเผ่าผืนนภา พวกเขามาจากอีกด้านหนึ่ง กำลังพุ่งตรงมาที่นี่
ส่วนสวี่ชิงตอนนี้ ลางสังหรณ์วิถีสวรรค์รุนแรงอย่างมาก เสียงของหลิงเอ๋อร์ก็สั่นเทา รีบเอ่ยว่า
“พี่สวี่ชิง คนมาเยอะมากเกินไปแล้ว และข้าก็สัมผัสได้ว่าที่ไกลยิ่งกว่า มีตัวตนที่แข็งแกร่งมากๆ สองตนกำลังไล่มา”
สวี่ชิงขมวดคิ้ว เขาคิดถึงคลื่นวนที่ตะเกียงแห่งชีวิตของตนก่อขึ้นเป็นอันดับแรกที่ดึงดูดความสนใจจากทั้งแปดทิศ แต่สิ่งนี้ก็อธิบายเรื่องลางสังหรณ์วิถีสวรรค์หลายครั้งก่อนหน้านี้ไม่ได้
‘หรือจะเป็นเจ้าผลึกสีแดงนั่น’
สวี่ชิงครุ่นคิด แต่ในพริบตานั้น เขาก็ชะงักไป ยกมือขวาขึ้นแตะหินหนืดด้านบน
แทบจะพริบตาที่เขาแตะ พลังมหาศาลวูบหนึ่งก็พุ่งจากเหนือทะเลเพลิงลงมา กลายเป็นหน้ากากขนาดยักษ์อันหนึ่ง จมลงมาในหินหนืด สัมผัสกับฝ่ามือของสวี่ชิง
ขณะที่ส่งเสียงครืนครัน หินหนืดที่นี่ร้อยจั้งก็ยุบลงมาหนึ่งจั้ง เปลวเพลิงสาดกระเซ็นไปรอบด้าน เผยร่างสวี่ชิงออกมา
และแรงกดดันที่มาจากในทะเลเพลิง ขณะที่อีกฝ่ายด้านบนฟาดพลังลงมาก็คล้ายกับลูกโป่งที่ถูกบีบอัด ปรากฏเค้าลางว่าจะแตก
พริบตาต่อมา สวี่ชิงทะยานขึ้นกลางอากาศ หินหนืดทะเลเพลิงโหมขึ้นมา ขณะที่ส่งเสียงสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ก็แบ่งบานเป็นดอกไม้เปลวเพลิงขนาดยักษ์ดอกหนึ่ง
ขณะที่เปลวเพลิงโปรยปรายไปรอบทิศราวสายฝน สวี่ชิงก็เห็นผู้ที่ลงมือกับตนยืนอยู่กลางอากาศ
เป็นผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาผู้หนึ่ง ร่างสูงใหญ่เกือบเจ็ดจั้ง ทำให้เขาที่อยู่บนท้องฟ้า เปี่ยมไปด้วยพลานุภาพทรงพลัง โดยเฉพาะเกราะสีทองทั้งร่าง ทำให้เขาที่อยู่ในแสง สีเพลิงนี้ สะท้อนแสงเจิดจ้าแยงตา
พลังบำเพ็ญก็ไม่ธรรมดา เจ็ดปราณก่อกำเนิดในกาย กลายเป็นหน้ากากขนาดยักษ์เจ็ดอันอยู่นอกร่าง ทุกอันกำลังหลับตา ระดับปราณก่อกำเนิดสองทัณฑ์ระดับสูงสุด และเหมือนอยู่ห่างจากทัณฑ์ที่สามไม่ไกล
ที่โจมตีสวี่ชิงเมื่อครู่ คือหนึ่งในนี้
“ทำตัวลับๆ ล่อๆ ดำผุดดำว่ายอยู่ในหินหนืด เผ่ามนุษย์ต้อยต่ำอย่างเจ้า คิดจะใช้สิ่งนี้หลบเลี่ยงการค้นหารึ”
ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนนี้มองสวี่ชิงอย่างเย็นชา หน้ากากบนหน้าถักทอขึ้นจากเส้นใยหลากสีจำนวนมหาศาล ตอนนี้ที่ตำแหน่งดวงตาทั้งสองมีเส้นใยหมุนวน ก่อเป็นคลื่นวนสองวง กลายเป็นดวงตา
ดวงตานี้ไม่ธรรมดา มีพลังพิเศษ นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงเห็นสวี่ชิงที่อยู่ใต้ หินหนืด
ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาจ้องสวี่ชิงเขม็ง ก้าวมาทีละก้าว เอ่ยเสียงราบเรียบ
“เช่นนั้นดูท่า คงเป็นเจ้าที่เอาผลึกเพลิงสวรรค์ไปสินะ”
“ข้าอยากได้แค่ห้าเม็ด ให้ข้า แล้วข้าจะทำเป็นไม่เห็นเจ้า เจ้าลองคิดดูดีๆ ไม่นานนักหรอก ผู้บำเพ็ญมากมายที่นี่ล้วนกำลังค้นหา”
ใครก็ตามที่เผชิญหน้ากับคำกล่าวเช่นนี้ สภาพแวดล้อมเช่นนี้ เว้นเสียแต่พลังบำเพ็ญเพียงพอที่จะบดขยี้ ไม่เช่นนั้นคงชั่งน้ำหนักเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นพริบตาที่กล่าวประโยคนี้ออกมา ร่างของเผ่าผืนนภาก็ไหววูบฉับพลัน
เขาปะทุความเร็วขึ้นในพริบตา โหมพลังที่น่าตกตะลึงพุ่งทะยานไปหาสวี่ชิง
เข้าประชิดในพริบตาอย่างรวดเร็ว ใช้ขณะที่สวี่ชิงกำลังชั่งน้ำหนัก เพียงแต่ความคิดของเขาสูญเปล่า เพราะสวี่ชิงไม่ได้ชั่งน้ำหนักอันใด ลงมือพร้อมกัน
สำหรับสวี่ชิง คำกล่าวเช่นนี้ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง เขามองความคิดอีกฝ่ายออกอย่างชัดเจน
ชั่วพริบตา ที่แห่งนี้ก็ส่งเสียงครืนครัน เผ่าผืนนภาตนนั้นถอยไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าเปลี่ยนไป แววตาฉายประกายประหลาด
“สิบสามปราณ ตะเกียงแห่งชีวิตห้าดวง!!”
“มิน่าข้าถึงได้รู้สึกว่าค่อนข้างผิดปกติ เจ้าไม่ใช่คนจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา!”
สีหน้าผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนนั้นตื่นเต้น แลบลิ้นเลียริมฝีปาก
“สมบัติล้ำค่าอย่างตะเกียงแห่งชีวิต เจ้ากลับมีถึงห้าดวง! ดูท่าจะเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่ามนุษย์โลกภายนอกที่บุกเข้ามาในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราของพวกเรา…ไม่รู้ว่าถ้ากินเจ้าเข้าไปรสชาติจะเป็นเช่นไร”
ขณะที่กล่าว ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนนี้ก็ประกบปางสองมือ หน้ากากเจ็ดปราณด้านหลังทั้งหมดพลันลืมตาขึ้น จ้องไปทางสวี่ชิงเขม็ง ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
เสียงนี้ฝ่าอากาศ กลายเป็นระลอกคลื่น พลังน่าตกตะลึง
สวี่ชิงถอยหลังไปเช่นกัน เจ้าเงาแผ่ไปในเงามืด ก้างปลาในมือ จิตสังหารคละคลุ้งในใจ
เขาทราบดีว่าต้องรีบสู้รีบจบ ไม่เช่นนั้นหากดึงดูดมามากกว่านี้ คงหลบหนีออกไปได้ยากยิ่ง จึงร่างไหววูบ แผ่นหลังก่อร่างปีกออก ระเบิดความเร็วทั่วร่าง พุ่งเข้าหาศัตรูที่บุกมา
ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนนั้นหัวเราะเยาะ พุ่งมาเช่นกัน
แต่ไม่ทันที่ทั้งสองฝ่ายจะปะทะกัน จู่ๆ ม่านตาสวี่ชิงก็หดเล็กลง เขาเห็นร่างเลือนรางร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาคนนั้นอย่างไร้ซุ่มเสียงในพริบตานี้
อย่างไม่มีเค้าลาง อย่างไม่มีร่องรอย ขณะที่ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนนี้ไม่ทันสังเกต ร่างเงานั้นก็ยกมือซ้ายขึ้น วางไว้ที่ปาก ทำท่าทางบอกให้สวี่ชิงเงียบๆ
จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้น กดไปที่ศีรษะผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาตนนี้
พลังบำเพ็ญที่ใกล้เคียงกับสมบัติวิญญาณวูบหนึ่ง เปล่งแสงวาบจากร่างเงานี้แล้วหายไป ผู้บำเพ็ญเผ่าผืนนภาไม่ทันได้ต้านทาน เสี้ยวขณะที่รู้สึกตัว ความพรั่นพรึงบนหน้ากากก็กลายเป็นนิจนิรันดร์
เสียงโพละดังขึ้น ร่างสูงใหญ่ของเขาแตกสลายทันที กระทั่งเจ็ดปราณก็เช่นกัน แตกสลายไปทั้งหมด เหลือเพียงหน้ากากบนใบหน้าที่ยังอยู่
เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนรวมถึงเนื้อวิญญาณของปราณก่อกำเนิดถูกชักนำไปทางหน้ากากนี้ หลังจากทำให้หน้ากากนี้กลายเป็นสีเลือด ร่างเลือนรางที่จัดการตบคนจนตายด้วยฝ่ามือเดียวก็ยกมือขึ้น รับหน้ากากนั้นเอาไว้
“ดวงดีไม่เลว เจ้าเด็กเผ่าผืนนภาคนนี้ เป็นพวกทายาทตระกูลสูงศักดิ์จริงๆ ทั้งทำให้ข้ารวบรวมเนตรสวรรค์เพิ่มมาได้อีกดวง”
ร่างเงานั้น เวลานี้ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย
ชายชราร่างผอมแห้งราวกับโครงกระดูกคนหนึ่ง แววตาแฝงความเย็นเยียบแผ่กลิ่นอายจิตสังหาร แต่ดูรูปร่างเขาแล้วเป็นเผ่ามนุษย์
เขากวาดตามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
“เผ่ามนุษย์จากพื้นที่ภายนอกรึ”
สวี่ชิงหวาดระแวงอย่างยิ่ง ถอยหลังไปหลายก้าว พลังพิษต้องห้ามในร่างโอบล้อม แอบซ่อนก้างปลาไว้ เจ้าเงาหลบอยู่ในแสงเพลิง ล้อมรอบอยู่ทุกด้าน ไม่แสดงตัวออกมาแม้แต่น้อย
ชายชราเผ่ามนุษย์ตรงหน้าคนนี้ สร้างแรงกดดันให้สวี่ชิงมหาศาลจริงๆ
พลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายคล้ายจะเป็นสมบัติวิญญาณ แต่ก็คล้ายจะไม่ใช่ เห็นได้ชัดว่ามีการปกปิดไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยก็เป็นระดับปราณก่อกำเนิดห้าทัณฑ์ขั้นบริบูรณ์
ส่วนคำกล่าวนี้ของอีกฝ่าย ชั่วขณะนี้สวี่ชิงเดาความคิดคนผู้นี้ไม่ได้ เขาจึงเลือกไม่ตอบคำถาม
เขาไม่เชื่อว่าหลังจากอีกฝ่ายสังหารเผ่าผืนนภาไปแล้ว จะยังอยู่ที่นี่ต่อ
ความคิดของสวี่ชิงถูกต้อง ขณะที่ชายชราผู้นี้กล่าว สายตาก็กวาดไปรอบด้าน จากนั้นก็มองมาทางสวี่ชิงอีกครั้ง
เขาคล้ายจะไม่ใส่ใจกับการเงียบนิ่งของสวี่ชิง ยกมือขวาขึ้นประกบปาง ฉับพลันระลอกคลื่นสายโลหิตเผ่ามนุษย์ ก็ปะทุขึ้นมาพร้อมกันที่ร่างของทั้งสองคน
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าชายชราก็ผ่อนคลายลง
“เจ้าหนู เห็นแก่ว่าเจ้าก็เป็นเผ่ามนุษย์เช่นกัน ข้าจะเตือนเจ้าให้รีบเก็บผลึกเพลิงสวรรค์ในถุงเก็บของเจ้าในกล่องใบนี้ หากไม่อยากถูกผู้บำเพ็ญทั้งทะเลเพลิงสวรรค์มาไล่ล่าสังหาร”
ชายชราพูดพลางยกมือขวาขึ้น โยนกล่องหยกสีดำใบหนึ่งออกมา ลอยอยู่เหนือหินหนืด
วัสดุกล่องหยกใบนี้พิเศษ อยู่ในนหินหนืดก็เป็นปกติ ไม่ถูกเปลวไฟทำลายแม้แต่น้อย
“ของสิ่งนี้ราคาหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ รวมถึงข้อมูลกับการใช้งานกล่อง!” ชายชราจ้องสวี่ชิง
และที่ไกลๆ ก็มีกลิ่นอายปะทุขึ้น กำลังเข้ามาใกล้
สวี่ชิงไม่พูดจา หยิบถุงเก็บของใบหนึ่งโยนไป หันหลังจะพุ่งออกไปไกลอย่างเร็วรี่
“ไม่เอากล่องหรือ” ชายชราเพิ่งพูด กล่องที่ลอยอยู่ในหินหนืดก็อันตรธานหายไป
ภาพนี้ ทำให้ชายชราเผ่ามนุษย์เลิกคิ้ว
“มีลูกเล่นอยู่บ้าง”
เขาพูดพลางร่างไหววูบ ไปอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็วไกลๆ ร่องรอยหายไปในพริบตา
โลกนี้น้อยนักที่จะมีพวกเจตนาดีโผล่มากะทันหันเช่นนี้ ดังนั้นสำหรับการเอ่ยปากร้องขอหินวิญญาณของชายชรา สวี่ชิงจึงโล่งใจ แต่ก็ย่อมไม่ลดความระแวดระวังที่ควรมีลง
ขณะที่จากไป เขาก็ซ่อนเร้นกลิ่นอายสุดกำลัง สังเกตรอบๆ เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตามมาจึงแผ่พิษของตนเองไปรอบด้าน
และยืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง
ส่วนกล่องสีดำนั่น เขาให้เจ้าเงาเก็บกลับมา
ขณะที่พุ่งด้วยความเร็วสูงตอนนี้ เจ้าเงาก็ส่งคลื่นอารมณ์มาหาเขา ยืนยันว่ากล่องใบนี้ไม่มีกลไกอะไรซ่อนอยู่ เป็นแค่กล่องที่ทำจากวัสดุพิเศษเท่านั้น
สวี่ชิงถึงรับมาตรวจสอบอีกรอบ เมื่อมั่นใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็แผ่พิษต้องห้ามเข้าไปด้านในอีกหลายรอบถึงวางใจ
จากนั้นก็ดำลงไปในหินหนืด หยิบผลึกสีแดงสามสิบกว่าก้อนในถุงเก็บของใส่ลงไปในนั้นทั้งหมด
‘จากการพิจารณาก่อนหน้านี้ของข้ารวมถึงคำพูดของเผ่าผืนนภาตนนั้น ร่างข้ามีผลึกเพลิงสวรรค์อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็น่าจะเป็นผลึกวารีสีแดงที่เกิดจากการใช้ไฟหลอมตะเกียงแห่งชีวิตที่นี่แน่
‘กล่องใบนี้ หลบเลี่ยงได้หรือ
‘ต้องรีบพิสูจน์ให้ไวเสียแล้ว’
ขณะที่สวี่ชิงใคร่ครวญ ก็ลอยออกมาจากหินหนืด ในเมื่อเผ่าผืนนภาสามารถมองลงไปใต้หินหนืดได้ เช่นนั้นการดำดิ่งเพื่อซ่อนตัวก็ไม่มีประโยชน์
แววตาสวี่ชิงฉายประกายประหลาด ไหววูบไปไกล
ผ่านไปสี่วันเช่นนี้
ในสี่วันนี้ อาจเพราะกล่องใบนั้นใช้งานได้จริงๆ แม้สวี่ชิงจะเจอกับผู้บำเพ็ญต่างเผ่าบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจเขา พุ่งหวีดหวิวผ่านไป บางทีก็มีพวกที่สกัดอยากจะตรวจสอบ แต่ก็ถูกสวี่ชิงสังหารทิ้งในพริบตา
จานเข็มทิศ เขาก็ได้มาชิ้นหนึ่ง กล่องสีดำก็ไม่ได้มีแค่ใบเดียว
ของสิ่งนี้ดูเหมือนเป็นของธรรมดาทั่วไปมาก ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนมี ด้านในบ้างก็ว่างเปล่า บ้างก็ใส่ผลึกสีขาวไว้หลายเม็ด
สวี่ชิงก็ทดลองในจุดที่ไม่มีคนไปบ้างแล้ว พบว่าเมื่อนำผลึกวารีสีแดงของตนออกจากกล่องก็จะปรากฏขึ้นบนจานเข็มทิศ เมื่อเก็บลงไปก็ถูกอำพรางไว้
“ได้ผลจริงๆ!”
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สวี่ชิงก็ยังโยนกล่องของชายชราทิ้งไป ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาสัมผัสได้ว่าไม่มีปัญหา แต่อาจจะมีวิธีการอื่นที่เขาตรวจสอบไม่พบก็ได้
ทว่าก่อนที่จะโยนทิ้ง เขาก็วางพิษบางส่วนไว้ด้านใน จากนั้นก็ใส่ลงไปในกล่องที่ตนแย่งมาแทน แล้วจากพื้นที่เพลิงสวรรค์แห่งนี้ไป
และหลังจากที่เขาจากไปหนึ่งวัน จู่ๆ ชายชราเผ่ามนุษย์ลึกลับคนนั้นปรากฏตัวตรงจุดที่เขาโยนกล่องทิ้งไว้ ค้นหาอยู่ครู่หนึ่งก็พบกล่องใบนั้น
แต่เมื่อสัมผัส ชายชราก็หน้าเปลี่ยนสี รีบโยนทิ้งไป ล้วงยาแก้พิษออกมากลืนลงไปทันที ปากก็ก่นด่า
“อะไรกัน คนหนุ่มสาวจากภายนอกเจ้าเล่ห์ถึงเพียงเชียวรึ ไม่ใช่แค่โยนของทิ้งซี้ซั้วยังวางยาพิษไว้อีก ไม่มีคุณธรรมของผู้บำเพ็ญเลย!”
ชายชราเอ่ยอย่างแค้นเคือง หันหลังจะจากไป แต่พริบตาต่อมา เขาก็ก้มหน้าลงและเห็นว่ามือตนกำลังเน่าเปื่อย หลังจากพบว่ายาแก้พิษไม่ได้ผล ก็สูดลมหายใจ
“นี่มันพิษอะไรกัน!”
ตอนที่ชายชรากำลังตื่นตระหนก สวี่ชิงที่อยู่เหนือทะเลเพลิงสวรรค์ กำลังมองผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องที่กำลังสั่นเทาเบื้องหน้าคนหนึ่งอย่างเย็นชา เดิมอีกฝ่ายสหายมาด้วยสามคน ชนเผ่าน่าจะเรียกมาช่วยปิดล้อมและตรวจสอบอาณาบริเวณนี้
หลังจากเห็นสวี่ชิง พวกเขาก็เข้ามาสอบถาม และคิดจะตรวจถุงเก็บของของเขา
เรื่องทำนองนี้ สวี่ชิงเจอมาแล้วหลายครั้งในช่วงไม่กี่วัน ที่ถูกค้นไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ต่างเผ่าทั้งหมดนอกจากเผ่าผืนนภาและเผ่าเงาคันฉ่องล้วนถูกตรวจสอบทั้งสิ้น
ดังนั้นสวี่ชิงจึงลงมือ หลังจากสังหารไปหลายคน ก็จับกุมคนผู้นี้มา เอ่ยอย่างเป็นมิตร
“ประโยชน์ของผลึกเพลิงสวรรค์ระดับสูง คือมีไว้เพื่อบูชาแด่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาด…
“ทุกหนึ่งร้อยปีตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจะมีหนึ่งครั้ง ที่รอของเซ่นไหว้จากต่างเผ่าที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ ใต้รอยแยกซึ่งปรากฏอยู่ในส่วนลึกของทะเลเพลิงสวรรค์ และผลึกเพลิงสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในของเซ่นไหว้
“นอกจากนี้ ทุกครั้งจะมีการร้องขออย่างอื่น ล้วนต้องทำให้พึงพอใจ”
เผ่าเงาคันฉ่องตรงหน้าสวี่ชิงเอ่ยอย่างสั่นกลัว
ร่างเขาเต็มไปด้วยบาดแผล โดยเฉพาะกระจกที่หว่างคิ้วมีรอยแตกอยู่สิบกว่ารอย ก้างปลาท่อนหนึ่งลอยอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววเย็นชา นี่เป็นผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องตนที่สี่ที่เขาถามตลอดทาง คำตอบที่ได้รับเป็นแบบเดียวกัน และได้รู้เรื่องที่ราชครูเผ่าเงาคันฉ่องที่มาที่ทะเลเพลิงสวรรค์ด้วย
เขายังรู้ว่าพลังบำเพ็ญของราชครูคือสมบัติวิญญาณ ผู้แข็งแกร่งระดับสมบัติวิญญาณในเผ่าเงาคันฉ่องมีทั้งหมดสามตน ส่วนเรื่องมีสมบัติลับกี่คลังนั้น คนในเผ่าทั่วไปไม่มีใครล่วงรู้
ท่าทางเผ่าผืนนภาก็คงสถานการณ์คล้ายๆ กัน
‘ไม่มีหวนสู่อนัตตา?’
สวี่ชิงค่อนข้างแปลกใจ
เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีหวนสู่อนัตตา แต่ต่อให้ไม่มีจริงๆ ผู้แข็งแกร่งสมบัติวิญญาณ พลังคุกคามก็ถือว่าไม่น้อยเช่นกันสำหรับเขา
ในใจสวี่ชิงจึงยิ่งระแวดระวัง มองไปยังก้างปลา
บรรพจารย์สำนักวัชระในก้างปลาเข้าใจทันที ก้างปลาแทงทะลุกระจกอย่างรุนแรง จากนั้นเสียงกร๊อบก็ดังก้อง เผ่าเงาคันฉ่องตนนี้ก็แตกดับทั้งกายและวิญญาณ
ปราณก่อกำเนิดของเขาถูกสวี่ชิงชิงไปก่อนหน้านี้แล้ว
ขณะที่สวี่ชิงหันหลังจากไป เห็นได้ว่าด้านหลังเขา มีร่างมารฟ้าอยู่สิบกว่าร่างลอยอยู่
พวกมันเหมือนดวงวิญญาณ แผ่ความมืดมนเยือกเย็น ลอยรอบๆ สวี่ชิง ทำให้ร่างสวี่ชิงแผ่ความชั่วร้ายออกมา
‘ไม่ว่าอย่างไร ออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อนเป็นดี’
สวี่ชิงครุ่นคิด ทะยานไปทางชายฝั่ง
บริเวณทะเลเพลงสวรรค์แห่งนี้ ต่อให้เป็นเขาก็ยังอยู่ไม่ได้นานนัก พลังความร้อนของเปลวเพลิงระหว่างฟ้าดินมีอยู่ทุกหนแห่ง โดยเฉพาะการปะทุของดอกหินหนืดทุกครั้งล้วนทำให้อุณภูมิของที่นี่เพิ่มสูงขึ้น
สวี่ชิงสัมผัสได้ว่าตนแทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว เขาจึงตัดสินใจกลับไปพักผ่อนบนฝั่งเสียรอบหนึ่ง ค่อยไปอีกทางเพื่อหลอมตะเกียงแห่งชีวิตของตนเองต่อ
ถึงอย่างไรทะเลเพลิงสวรรค์ในตอนนี้ ผู้บำเพ็ญของสองเผ่านั่นก็มากเกินไป
อีกอย่าง เขายังต้องหาที่ที่ปลอดภัยสักแห่ง เพื่อศึกษาตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดของตนเองด้วยว่ามีประโยชน์อย่างไร
หลายวันมานี้ แม้เขาจะกำลังตรวจสอบ แต่อันตรายรอบด้านก็เต็มไปหมด ไม่อาจสงบใจได้
“แล้วก็ตาเฒ่านั่น เป็นใครกันแน่”
คำถามนี้ สวี่ชิงก็ถามกับผู้บำเพ็ญเผ่าเงาคันฉ่องแล้ว แต่จากที่เขาเล่า อีกฝ่ายก็ไม่รู้ ท่าทางรูปร่างหน้าตาที่ชายแก่เผ่ามนุษย์คนนั้นเผยออกมาก็น่าจะเป็นของปลอม
ทั้งหมดนี้ ทำให้สวี่ชิงยิ่งระแวดระวังมากขึ้น
ผ่านไปหลายวัน ขณะที่กำลังระแวดระวังเช่นนี้ ในที่สุดสวี่ชิงก็ออกจากทะเลเพลิงสวรรค์ มาถึงชายฝั่งแห่งหนึ่ง
เขาเลือกยอดเขาโล้นที่นั่นแห่งหนึ่ง ขุดเป็นถ้ำพำนัก จัดวางค่ายกล ทำเป็นที่พักชั่วคราวของตนเอง
จวบจนจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้น สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในถึงถอนหายใจโล่ง
หลังจากที่รู้สึกปลอดภัยขึ้นบ้างแล้ว เขาก็ไม่ลังเล ผสานจิตเข้าไปในตะเกียงแห่งชีวิตนาฬิกาแดดของตน เข้าไปตรวจสอบประโยชน์ของตะเกียงนี้ผ่านการชักนำในสายโลหิต
เวลาไหลผ่านไปเจ็ดวัน
ในถ้ำพำนักมืดมิด สวี่ชิงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ความตื่นเต้นฉายขึ้นมาบนใบหน้า
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
“หนาวแล้วดูแลสุขภาพด้วยนะคะ ขออภัยที่มาช้า”