Skip to content

Outside Of Time 575

บทที่ 575 เป็นความผิดของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวทั้งหมด

เสียงอ่อนโยนดังมาจากท้องฟ้า มาพร้อมด้วยเสียงร่ายบทกวีต่ำทุ้มดังก้องไปทั่ว

“เมฆสูงกลางนภา ดุจภูผาตั้งตระหง่านฟ้า ศิลาในใจข้า อยู่สูงกว่าปฐพี!”

สวี่ชิงอึ้ง นายกองแปลกประหลาด อู๋เจี้ยนอูพลันเงยหน้ามองไปทางหญิงกลางท้องฟ้า เลิกคิ้ว เอ่ยเสียงราบเรียบ

“เขาเขียวเงียบนิ่งไร้วาจา ดุจราตรีไกลห่างรางเลือน แสงเดือนหายลับร้างไกล ใครผู้ใดรู้แจ้งกระจ่าง”

“เป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว เจ้าเรียกข้าว่าอวิ๋นเสียจื่อก็ได้” เห็นได้ชัดว่าหญิงกลางคนฟังกลอนของอู๋เจี้ยนอูออก ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา

ครั้งนี้เป็นตาอู๋เจี้ยนอูอึ้งตะลึงบ้างแล้ว

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวัน สายลมอ่อนโยนพัดมา หญ้าเขียวบนภูเขาไหวเอน เมฆหมอกบนท้องฟ้าเหมือนอยู่กลางสายลมจะเคลื่อนตัวเร็วขึ้น พัดผมของคนทั้งหลาย และพัดหัวใจของอู๋เจี้ยนอูสั่นไหว

เขาคิดไม่ถึงว่า ในฟ้าดินนี้จะมีคนที่ฟังเข้าใจกลอนของตัวเองจริงๆ ชื่นชมในความเก่งกาจสามารถของเขา คนที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันผู้นี้ทำให้เขาเหลือเชื่อนัก

ต้องรู้ว่านับแต่ที่เขาเริ่มเลียนแบบจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ทุกคนที่ได้พบในชาตินี้ล้วนเข้าใจในตัวเขาผิดทั้งนั้น แม้แต่อาจารย์ของเขาเองก็เช่นกัน

แต่เขาก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเองมาโดยตลอด จดจำประเพณีตกทอดของจักรพรรดิโบราณจนขึ้นใจ ตลอดทางที่เดินมาจนถึงตอนนี้ เขาชินกับความต้อยต่ำของมนุษย์โลก และชินกับการไม่เป็นที่ยอมรับแล้ว

จวบจนกระทั่งตอนนี้…

ในดวงตาทั้งสองของอู๋เจี้ยนอูฉายประกายแรงกล้า เขาเงยหน้า มือไพล่หลัง ลมพัดเส้นผมของเขาปลิวพริ้ว พัดอาภรณ์ของเขาสะบัด

แต่ทุกอย่างนี้เขาล้วนไม่สนใจ เขามองหญิงกลางคนกลางอากาศคนนั้น เอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกไป

“ขุนเขามหาสมุทรในเก้าทวีปล้วนสูงใหญ่ เมฆหมอกคลุมเครือรางเลือนคือสะพานเต๋าอย่างนั้นหรือ”

ผู้หญิงเกิดความสนใจ ร่างลอยต่ำลงมาจากกลางอากาศ มายืนอยู่ข้างหน้าอู๋เจี้ยนอู

แสงอาทิตย์ส่องบนร่างของนาง สะท้อนชุดนักพรตเรียบง่ายของนางเหมือนเกิดประกายแสงพรายรุ้ง ใบหน้าที่พอมีความงามบ้าง และเนื่องจากแสงในดวงตาดูแล้วยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างเซียน

นางพยักหน้าเล็กน้อย

“คุณชายเดาได้ถูกต้องแล้ว ข้าคือเจ้าสำนักของสำนักบุปผาหยินหยางทางใต้”

อู๋เจี้ยนอูดวงตาฉายประกายประหลาด เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“เมื่อวานสายลมดาราพัดมาเมื่อใด ไม่ทราบว่าธารสวรรค์มีสุนัขแมวร่วงลงมาหรือไม่”

ผู้หญิงยิ้ม

“ข้าเข้าใจแล้ว” พูดแล้ว นางก็หันหลัง สะบัดมือ ทันใดนั้นม่านแสงประตูสำนักก็แหวกออกเป็นช่องทางหนึ่ง เปิดออกจากทั้งสองฝั่งอย่างรวดเร็ว ยิ่งมีเสียงระฆัง สามครั้งดังมาจากยอดเขา

พิธีต้อนรับเช่นนี้ไม่ใช่พิธีเล็กๆ แล้ว

สวี่ชิงกับนายกองเหม่อลอยโดยสมบูรณ์ หนิงเหยียนก็อึ้งตะลึง ในใจสับสนงุนงง

เขามองอู๋เจี้ยนอู แล้วมองไปทางเจ้าสำนักคนนั้น เขารู้สึกว่าสมองทั้งสองคนนี้จะต้องมีปัญหาหนักอย่างแน่นอน

ไม่ใช่แค่หนิงเหยียนที่คิดเช่นนี้ ลูกศิษย์ทั้งสามที่เฝ้าประตูตอนนี้ในใจก็ว้าวุ่นปั่นป่วนเช่นกัน สำหรับคำกลอนของอู๋เจี้ยนอู เขาฟังไม่ออกแม้เพียงนิดเดียว แต่เจ้าสำนักของตัวเองกลับเหมือนว่าจะเข้าใจกระจ่างจริงๆ

นี่ทำให้พวกเขาอดคิดถึงข่าวลือของเจ้าสำนักตัวเองในสำนักขึ้นมาไม่ได้ ว่ากันว่าผู้ที่เจ้าสำนักเคารพบูชาที่สุดคือจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวเผ่ามนุษย์ ชอบคนที่มีความสามารด้านกลอนกวี กระทั่งว่าปกติแล้วยังแต่งกลอนออกมาด้วย

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเขาทั้งสามก็เคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง หลีกทางอย่างรวดเร็ว แอบๆ มองอู๋เจี้ยนอู

“คุณชาย เชิญ!”

หญิงวัยกลางคนคนนั้นเอ่ยเสียงแผ่วเบา ไม่ดูถูกเนื่องจากพลังบำเพ็ญของอู๋เจี้ยนอู ห่างชั้นกับตัวเองเลยแม้แต่น้อย กระทั่งว่าในสายตาของนาง ผู้บำเพ็ญที่พลังบำเพ็ญสูงพวกนั้นมีมากมาย แต่ในโลกนี้คนที่มีความสามารถด้านกลอนกวีช่างน้อยนัก

ดังนั้นในสายตานาง สวี่ชิงกับนายกองล้วนเป็นเพียงแค่ตัวขับเน้นเท่านั้น

อู๋เจี้ยนอูสีหน้าภาคภูมิองอาจ อกผายไหล่ผึ่งเชิดหน้าเดินไปข้างหน้า ตลอดทางมีอวิ๋นเสียจื่อคอยเคียงข้าง นางปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพมีมารยาทมาก

ทั้งสองอยู่ข้างหน้า หลังจากสวี่ชิงกับนายกองต่างมองหน้ากันก็เดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเชื่อฟังว่าง่าย หนิงเหยียนกำลังจะตามไป แต่อู๋เจี้ยนอูฝีเท้าพลันหยุดชะงัก เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“ครึ่งแผ่น หนึ่งแผ่น สองสามแผ่น สุนัขเตี้ยต้องก้มมองถึงจะเห็น!”

อวิ๋นเสียจื่อได้ยินก็หันหน้าไปมองหนิงเหยียน

หนิงเหยียนสั่นสะท้าน ไม่รอให้ได้อ้าปาก ม่านแสงก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าเขาอย่างรวดเร็ว สกัดกั้นเขาไว้ข้างนอก

“นี่มันอะไรกัน นี่ก็ฟังเข้าใจด้วยหรือ เป็นไปไม่ได้!” หนิงเหยียนอึ้งตะลึง เขารู้ว่าอู๋เจี้ยนอูใจคับแคบ แม้ตอนนี้จะโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง แต่ก็ทำได้แค่มองพวกสวี่ชิงทั้งสามคนเดินจากไปไกล

พวกเขาเข้าไปในสำนักบุปผาหยินหยางเช่นนี้เอง ระหว่างทางก็เห็นว่ากลางอากาศมีผีเสื้อหัวเสือฝูงหนึ่งโบยบิน จำนวนมากกว่าในป่าไม่น้อยเลย

มองไกลๆ เหมือนหมอกสีรุ้งผืนหนึ่ง ลอยวนเวียนระหว่างภูเขาสองลูก

นี่ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย ตลอดทางมาเขาเห็นผีเสื้อประเภทนี้อยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้มีมากที่สุด และจากแสงแดดที่ลาลับ เขาที่เดินตามอู๋เจี้ยนอูที่อยู่ข้างหน้า จู่ๆ เบื้องหน้าก็รางเลือนเล็กน้อย ทุกอย่างรอบๆ เกิดเงาซ้อนทับ

สวี่ชิงฝีเท้าหยุดชะงัก แต่เสี้ยวขณะต่อมาทุกอย่างก็ฟื้นคืนสู่ปกติ

นายกองอยู่ข้างหน้าหันมามองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ในดวงตาฉายความสงสัย

สวี่ชิงส่ายหน้า ดูเหมือนเป็นปกติ แต่ในใจกลับเกิดความระแวดระวังขึ้นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าร่างของตัวเองไม่มีปัญหาอะไร แต่ความรู้สึกเหมือนฝันและความรางเลือนข้างหน้าก็เกิดขึ้นอย่างค่อนข้างแปลกประหลาด

แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดอะไรมาก สวี่ชิงก้มหน้า เดินตามต่อไป จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็ถูกนำมายังเรือนที่พักแขกของสำนักนี้ เข้าพักอาศัยที่นี่

หลังจากเจ้าสำนักคนนั้นมองพวกอู๋เจี้ยนอูทั้งสามคนเข้าไปในเรือนที่พักแขกแล้วก็หันหลังจากไป

เดินอยู่ในสำนักพลางมีผีเสื้อจำนวนมหาศาลบินมาวนล้อมอยู่รอบกายนาง และในมิติข้างกายนางตอนนี้มีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้น คอยติดตามอยู่ทั้งซ้ายขวา

เงาร่างหนึ่งในนั้นเอ่ยเสียงต่ำทุ้มขึ้นว่า

“เจ้าสำนัก คนเหล่านี้จู่ๆ ก็เข้ามาปรากฏในเมืองต้อนรับวัวเมื่อสิบวันก่อน ก่อนหน้านี้ไม่ได้มาที่นี่ ไปยังโรงบ่อวิญญาณก่อน ทุกอย่างเป็นปกติ

“จากนั้นก็จากไป มุ่งหน้าไปในเทือกเขามิรู้สิ้น ร่องรอยขาดหาย”

“เป้าหมายที่มาสำนักเราไม่ทราบ

“ส่วนฐานะลูกศิษย์ของพวกเขาเป็นของจริง มาจากสำนักตะวันตก”

เงาร่างอีกร่างหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำทุ้มเช่นกัน

“ส่วนคุณชายที่มีความสามารถด้านกลอนกวีคนนั้น ในบรรดาพวกเขามีตำแหน่งไม่สูง แต่ก็ไม่มีร่องรอยการถูกบังคับ น่าจะติดตามด้วยความสมัครใจ

“อีกทั้งในบรรดาพวกเขาทั้งหลายล้วนมีร่องรอยคำสาป ความเป็นไปได้ที่จะเป็นคนนอกแผ่นดินใหญ่มีไม่มาก โดยเฉพาะหนึ่งในนั้นคำสาปในร่างฝังลึกมาก ถึงระดับที่จะปะทุขึ้นมาได้ทุกเมื่อแล้ว”

ฟังคำของคนข้างกาย อวิ๋นเสียจื่อผู้นี้พยักหน้า

“จับตามองไปก่อน หากพวกเขามาที่นี่เพียงเพื่ออาศัย ไม่ทำเรื่องคิดร้ายต่อสำนักก็ไม่ต้องสนใจ”

“หากว่า…” เงาร่างข้างๆ ลังเล

“หากมีจิตมาดร้าย…” ฝีเท้าของอวิ๋นเสียจื่อชะงัก เอ่ยราบเรียบ

“สังหารพวกเขาเป็นอาหารผีเสื้อเริงระบำ ส่วนคุณชายคนนั้น ทำพิธีฝังให้อย่างยิ่งใหญ่”

“น้อมรับบัญชา!” คนทั้งสองก้มหน้ารับคำ เงาร่างรางเลือน หายลับไป

เวลาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นนี้เอง ไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวัน

พวกสวี่ชิงทั้งสามคนพักอาศัยอยู่ที่นี่อย่างเป็นสุข ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายใดๆ ทั้งสิ้น สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แม้จะมีออกข้างนอกบ้าง แต่ก็ออกไปเที่ยวออกไปค้นหาความลับอะไร

พวกเขาก็รู้ว่าการมาเยือนอย่างกะทันหันของพวกตนจะต้องเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน แม้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากอู๋เจี้ยนอูจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลงก็ตาม

แต่จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ของสำนักนี้ จึงอาศัยอยู่บริเวณไหล่เขาของยอดเขาที่หนึ่งลงไปเท่านั้น

สถานที่อื่นๆ ทั้งสามคนไม่สามารถไปได้ตามใจชอบ ต่อให้เจ้าสำนักชื่นชอบ อู๋เจี้ยนอูก็ไม่สามารถทำลายกฎเพราะเหตุนี้ได้

แต่ว่าอาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นขั้นแรกของแผนพวกสวี่ชิงแล้ว

สวี่ชิงและนายกองไปมาสองครั้ง นั่งอยู่ในบ่อวิญญาณเงียบๆ ต่างกำหนดลมหายใจ พยายามควบคุมคำสาปอย่างเต็มกำลัง

คำสาปนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาคิดได้ระหว่างทางที่มาที่นี่

คิดจะโกหกก็จะต้องมีเรื่องจริงอยู่ในนั้นด้วย เช่นนี้ถึงจะซ่อนเรื่องเท็จในเรื่องจริงได้

ส่วนบ่อวิญญาณแม้จะไม่มีคุณสมบัติที่ส่งผลต่อคำสาปโดยตรง แต่กลับสามารถหล่อเลี้ยงกายเนื้อได้ ดังนั้นก็มีผลระดับหนึ่งในทางอ้อม

สถานที่เช่นนี้ในแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทราความจริงแล้วมีไม่น้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในจุดประสงค์ที่ก่อตั้งของพันธมิตรวัวสวรรค์

ระหว่างนี้สวี่ชิงรู้สึกเหมือนฝันและรางเลือนอีกครั้ง ทุกครั้งล้วนเป็นในยามที่ผีเสื้อหัวเสือจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้น และเขาก็รู้ชื่อผีเสื้อพวกนี้แล้ว

พวกมันมีชื่อว่าผีเสื้อเริงระบำ เป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่สำนัก บุปผาหยินหยางในฐานะที่ทำหน้าที่ระบำบวงสรวงนี้จะต้องมี

สำหรับเรื่องที่ตัวเองมีความรู้สึกเหมือนฝัน สวี่ชิงก็บอกนายกองลับๆ นายกองให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มา วิเคราะห์กับเขาอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่แท้จริง

สวี่ชิงสัมผัสได้เลาๆ ว่าเรื่องนี้ไม่ถูกเอาเสียเลย จึงไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ในใจให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในระดับสูง

และในเจ็ดวันนี้ สวี่ชิงกับนายกองก็ได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงในแผนของพวกเขา

นั่นก็คือเจ้าสำนักที่ชื่ออวิ๋นเสียจื่อคนนั้น นางมักจะอยู่ที่บ่อวิญญาณเป็นประจำ

มีนางอยู่ ต่อให้สวี่ชิงและนายกองทำตามแผนวางกับดักโยวจิงได้เยี่ยมยอด อีกทั้งการลงมือเองของนายกองไม่มีทางแผ่ระลอกคลื่นพลังอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด แต่จะอย่างไรก็อยู่ใต้สายตาของอีกฝ่าย

เช่นนี้แล้วไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ตัวแน่นอน

และห่างจากโยวจิงจะเดินทางมาชำระล้างก็ไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว

นี่ทำให้ในใจนายกองร้อนรนนัก แม้เขากับสวี่ชิงจะมีแผนรองรับ แต่สถานการณ์ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์จากคำพูดของอู๋เจี้ยนอูดีกว่า

ดังนั้นในวันที่แปด นายกองมาหาอู๋เจี้ยนอู โอบไหล่ของเขา เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“สหายพี่เจี้ยน เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้นะ”

อู๋เจี้ยนอูปรายตามองนายกอง ไม่พูดอะไร หลายวันนี้เขามีความสุขมาก ในใจมีร่างบทกลอนกวีจำนวนมหาศาล

นายกองกระแอมทีหนึ่ง คำพูดจายุยง

อู๋เจี้ยนอูแค่นเสียงขึ้นจมูก หลังจากมาถึงสำนักนี้ ตำแหน่งของเขาไม่เหมือนกับในบรรดาคนทั้งสาม ตอนนี้จึงโบกมืออย่างหยิ่งทะนง เอานกแก้วลูกชายของตัวเองออกมาวางไว้บนศีรษะตัวเอง

เขาไม่พูดอะไร นกแก้วเชิดหน้า เอ่ยคำแทนบิดา

“วิธีบ้าบออะไรกัน ช่างด้อยสติปัญญานัก เจ้าสำนักอวิ๋นเสียจื่อไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย ทันทีที่บิดาข้าไปล่อลวง นางจะต้องเกิดความสงสัยในใจแน่นอน

“ถึงตอนนั้น นางแค่สัมผัสบ่อวิญญาณเพียงเล็กน้อย ก็จับพวกเจ้าได้คาหลังคาเขา!

“พวกเจ้ารนหาที่ตายนั่นมันเรื่องของพวกเจ้า บิดาข้ากับพวกข้าไม่เข้าร่วมด้วยเด็ดขาด!”

สวี่ชิงมองนกแก้วตัวนั้นผาดหนึ่ง นกตัวนี้ขณะพูดก็เชิดหน้า เหมือนท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ใช้จมูกใต้ขนมองคน

นายกองสีหน้าแปลกประหลาด

“ข้าไม่ได้บอกว่าให้บิดาเจ้าล่ออวิ๋นเสียจื่อไปแล้ว พวกเราก็ไปวางค่ายกลที่บ่อวิญญาณสักหน่อย

“พวกเราจะลงมือกลับกันต่างหาก บิดาเจ้าไปล่อลวงนาง นางสงสัยดังนั้นจึงทำการตรวจสอบ แต่นางก็จะพบว่าทุกอย่างเป็นปกติ

“ทุกครั้งล้วนทำเช่นนี้ หลังจากทำซ้ำๆ กระทั่งถึงหลายสิบครั้ง นางย่อมไม่สงสัยขนาดนั้นแล้วไปตามธรรมชาติ

“เจ้าว่าจริงหรือไม่”

นกแก้วอึ้ง อู๋เจี้ยนอูสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

“ข้าวางค่ายกลไว้ในเศษเสี้ยวโลกได้ช่วงหนึ่งแล้ว ส่วนเอามันไปวางไว้ในบ่อวิญญาณอีกทั้งสร้างค่ายกลซ่อนอำพรางใช้เวลาแค่สามชั่วยามก็พอแล้ว”

นกแก้วก้มหน้าแอบมองบิดาของตน อู๋เจี้ยนอูในใจเกิดความสงสัย ส่วนนายกอง ก็รู้จักอู๋เจี้ยนอูเป็นอย่างดี ก้าวขึ้นไปเอ่ยโน้มน้าว ในยามที่อู๋เจี้ยนอูเริ่มหวั่นไหว นายกองช่วยกำหนดคำตอบ

“ร่างชาติก่อนของข้าอย่างดีก็ไม่เอา ข้าก็มีวิธีสำรองวิธีอื่น แต่ตำราโบราณห้าฉบับของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เฮ้อ เจ้าไม่ได้ครอบครองมันแล้วล่ะ

“ในนั้นเล่าเรื่องของจักรพรรดิโบราณเอาไว้มากมาย รวมถึงเจตจำนงในตอนแรกของจักรพรรดิโบราณ ทั้งยังเขียนเล่าเอาไว้ด้วยบทกลอน…

“ข้ายังจำเสี้ยวบทกลอนบทหนึ่งในนั้นได้ ข้าจะท่องให้เจ้าฟังนะ

“มรรคาสวรรค์ก้มหน้า อาทิตย์จันทราสาดแสงอีกครา ชำระล้างนครา รวมแปดทิศทักษาเป็นหนึ่ง!”

นายกองเอ่ยเสียงแผ่วเบา และประโยคนี้เมื่อดังออกมา รัศมีพลังอำนาจที่ยากพรรณนากลุ่มหนึ่ง ก็ซัดโหมตามมา

ฟังจนอู๋เจี้ยนอูสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ในดวงตาฉายแววมุ่งมั่นปรารถนา สุดท้ายก็คว้านกแก้วบนศีรษะ หลังจากเก็บมันลงไป เขาก็สูดลมหายในลึก พยักหน้าอย่างหนักแน่น

“ลงมือ!”

แววตาของเขามุ่งมั่น ตัวอักษรที่เอ่ยออกมาสองตัวแฝงด้วยความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว ในใจเต็มไปด้วยความแน่วแน่

เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองดวงตาฉายแววชื่นชม ท่าทางเหมือนชื่นชมท่าทีเช่นนี้ของอู๋เจี้ยนอูมาก ก้าวไปปรึกษาหารือแผนกับเขา

สวี่ชิงมองทุกอย่างนี้จากข้างๆ ถอนหายใจในใจ เดินออกไปนอกเรือนที่พัก ขณะเดียวกับที่ทำการคุ้มกันให้พวกเขาก็มองไปยังท้องฟ้าที่ไกล

ฟ้าดินที่เดิมควรจะมืดมิดกลับถูกขับเน้นไปด้วยแสงริบหรี่กลุ่มหนึ่ง

นั่นคือผีเสื้อหัวเสือ ผีเสื้อเริงระบำที่มีเฉพาะสำนักบุปผาหยินหยาง ไม่ใช่เพียงแผ่คำสาปอีกทั้งยังมีพิษร้ายแรงเท่านั้น ยิ่งสามารถแผ่ประกายแสงในยามค่ำคืนได้ด้วย

“แต่ว่าความรู้สึกเหมือนฝันของข้าสองครั้งก่อนหน้านี้เป็นเพราะอะไรกันแน่”

สวี่ชิงครุ่นคิด สัมผัสนิ้วเทพเจ้าในติงหนึ่งสามสองในร่างกาย พบว่าองค์ท่านหลับอย่างสุขสงบ…

“หรือจะเป็นก่อนหน้านี้ในยามที่ฟ้าดินปั่นป่วนเหนี่ยวนำเคราะห์ชะตา เป็นภัยแอบแฝงที่เกิดขึ้นภายหลังบางอย่าง”

สวี่ชิงขมวดคิ้ว วิเคราะห์ในใจ

ไม่นานนัก หนึ่งคืนก็ผ่านไป

ภายใต้แผนการของนายกอง ในยามที่แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณมาถึงจากฟ้าดินในที่ไกล แววตาของอู๋เจี้ยนอูล้ำลึก สีหน้าแฝงด้วยความเรียบเฉย มือไพล่หลังเดินออกมาจากเรือนที่พัก

เขาจะไปทำภารกิจที่นายกองมอบให้ ไปล่อลวงอวิ๋นเสียจื่อ!

ภารกิจนี้ยากเย็นแต่สำคัญนัก เพราะผลเก็บเกี่ยวจากการทำภารกิจสำเร็จเกี่ยวพันกับความฝันของตน ดังนั้นในใจของเขาจึงเปลี่ยนมาจริงจังตั้งใจ จนกระทั่งในเสี้ยวพริบตาที่เดินออกไปที่หน้าประตู แสงอาทิตย์สาดมายังร่างของอู๋เจี้ยนอู เขาหันไปมองทางสวี่ชิงและนายกองอย่างอดไม่ได้

นายกองยกแขนขึ้น ทำท่าให้กำลังใจ

‘เจ้าทำได้อย่างแน่นอน!’

อู๋เจี้ยนอูเชิดหน้า พยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง หันหลังเพียงไหววูบ ก็ตรงดิ่งไปยังที่ไกล

นายกองมองจนลับสายตา จนกระทั่งหลังจากนั้นหลายอึดใจ เมื่ออู๋เจี้ยนอูหายไปที่ปลายขอบฟ้า เขาก็เอาดวงตาออกมาดวงหนึ่ง นั่งยองๆ ที่มุมหนึ่ง กวักมือเรียกสวี่ชิง

สวี่ชิงไม่แปลกใจ เรื่องแบบนี้ เขาไม่เชื่อว่าด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นของนายกองจะไม่แอบสะกดรอยตาม ดีไม่ดีจะเก็บภาพเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วยซ้ำ

“ฮ่าๆ พี่เจี้ยนเจี้ยนคนนี้คบกันได้!” นายกองได้ใจ มองดวงตาที่อยู่ข้างหน้า จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกบันทึกภาพเคลื่อนไหวออกมาแผ่นหนึ่ง เริ่มทำการบันทึก

สวี่ชิงไม่พูดอะไร สายตาจับจ้องอยู่บนดวงตา ในนั้นสะท้อนเงาร่างของอู๋เจี้ยนอู ออกมา

อู๋เจี้ยนอูเดินอยู่ในสำนักบุปผาหยินหยาง ตลอดทางใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข คอยให้กำลังใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งมาถึงยังข้างศาลาแห่งหนึ่ง เขาสูดลมหายใจลึก เอาแผ่นหยกออกมาสื่อเสียงหาอวิ๋นเสียจื่อ

“วิหคอยู่กลางนภาไม่เห็นเงา สองเรามีบุพเพมีศาลาพานพบเซียนคนดี!”

ตอนนั้นอีกฝ่ายส่งพวกเขามา ก่อนจากต่างมอบแผ่นหยกไว้ให้กัน ตอนนี้สื่อเสียงเรียบร้อย อู๋เจี้ยนอูมือไพล่หลัง เงยหน้า ทอดสายตามองท้องฟ้า

ลมพัดมา พัดเส้นผมของเขาปลิว ขณะที่ปลิวพลิ้วไหวราวใจที่สั่นคลอน ข้างหลังเขาก็มีเสียงอ่อนโยนที่แฝงมาด้วยเสียงหัวเราะดังขึ้นมา

“คุณชายเรียกข้าหรือ”

อู๋เจี้ยนอูไม่ได้หันมา เอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งทะนง

“แสงประกายพรายรุ้งบนฝากฟ้า สาดแสงมาถักทอเป็นระลอกคลื่น แสงพรายรุ้งบนผิวพื้นปฐพี ก็ยังมีนักกวีร่ายบทกลอนท่องเที่ยวไป”

ดวงตาอวิ๋นเสียจื่อมีคลื่นแสง เดินมาข้างกายอู๋เจี้ยนอู มองใบหน้าด้านข้างของเขาแล้วพลันเอ่ยขึ้นมา

“ดวงจันทร์บรรพกาลเพรียกหาสายธารฉ่ำยามรุ่งสาง แต่ปล่อยวางวันนี้ดวงหทัยไร้เกลียวคลื่น”

อู๋เจี้ยนอูร่างสะท้านเฮือก หันหน้ามองอวิ๋นเสียจื่อที่อยู่ข้างกาย ดวงตาฉายประกายประหลาด

เดิมเขาคิดว่าอีกฝ่ายแค่เข้าใจตัวเขาเท่านั้น คำพูดที่นัดอีกฝ่ายมาร่วมร่ายบทกลอนกวีกันก็แค่พูดไปตามปากเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าอวิ๋นเสียจื่อคนนี้จะร่ายบทกลอนได้จริงๆ

ดังนั้นความตื่นเต้นยินดีจึงยิ่งพุ่งเพิ่มขึ้น จึงเอ่ยเสียงต่ำทุ้มออกไป

“วายุทมิฬมิคำรามก้อง ใครเล่าจะร้องขับขาน สายวารีขจีเขียว ยังคงซัดเกลียวคลื่นแผ่ระลอก!”

แสงอาทิตย์สาดแสงไปบนใบหน้าของอวิ๋นเสียจื่อ ทำให้เกิดเป็นแสงพรายแดงระเรื่อขึ้นมา นางมองไปยังขอบฟ้า เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“เขาเขียวมิแก่ชรา แม้ผืนนภาจะโยกคลอน สุดสะท้อนใจทอดถอน ชีวิตดุจฝันใครกันปีนได้สูง”

อู๋เจี้ยนอูเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เอ่ยขึ้นอีก

“บ๊วยเขียวสุกวันคืนเปลี่ยนผัน ใครจะร่วมกลั่นสุรา ร่วมสนทนาคืนวันที่เคยสุขสันต์!”

อวิ๋นเสียจื่ออยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ ขณะที่ความคิดแผ่ระลอกคลื่น เสียงอ่อนโยนก็ดังก้อง

“พานพบพูดคุยสุขอุรา สายลมพัดพาเลือนหาย สายสัมพันธ์เราสองยังอยู่ เป็นคู่คอยร่วมสนทนาธรรม”

อู๋เจี้ยนอูค่อนข้างผิดหวังเศร้าหมอง แต่ก็ยังคงฝืนพยายามยิ้มออกมา

อวิ๋นเสียจื่อยิ้มออกมาเช่นกัน ทั้งสองเดินลงไปจากศาลา เดินไปทางที่ไกล

ลมพัดอยู่เคียงข้าง แสงสะท้อนเส้นทางข้างหน้า ผีเสื้อเริงระบำบินล้อมวนเวียนรอบๆ ท่ามกลางความรางเลือน ก็ฉายความงดงามที่ยากบรรยายได้ออกมา

เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ในภาพที่งดงามนี้แฝงไว้ด้วยความเศร้าอยู่นิดๆ

“ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาคุยอะไรกัน” นายกองรู้ว่าจะทำลายบรรยากาศได้อย่างไร ตอนนี้มองสวี่ชิงอย่างงุนงง เอ่ยขึ้นอีกประโยคว่า

“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพวกเขากำลังส่งรหัสลับอะไรกัน”

สวี่ชิงก็งงงันไปเช่นกัน กลอนของอู๋เจี้ยนอู คนที่ฟังเข้าใจ จนกระทั่งตอนนี้ก็มีเพียงอวิ๋นเสียจื่อคนเดียวเท่านั้น

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ทั้งสองก็มองตากัน แล้วจับตามองอู๋เจี้ยนอูต่อไป

หนึ่งวันผ่านไป ในยามพลบค่ำ อู๋เจี้ยนอูเดินมา สีหน้าขมขื่น แฝงไว้ด้วยความซับซ้อนและสะท้อนใจ เมื่อกลับมาก็ไม่พูดไม่จา นั่งเงียบๆ บนเก้าอี้เหม่อลอย

เห็นเป็นเช่นนี้ นายกองก็เดินไปปลอบ พยายามลองถาม แต่อู๋เจี้ยนอูส่ายหน้า สุดท้ายก็ถอนใจ

“ชาตินี้ไม่อาจพานพบบุปผางามบานร้อยปี เม็ดธุลีริมฝั่งน้ำห่างไกลดารากั้นมิอาจเคียงข้างกัน”

นายกองขมวดคิ้ว มองไปทางสวี่ชิง

สวี่ชิงสายตาเย็นเยียบ เอ่ยราบเรียบ

“พูดภาษาคน!”

อู๋เจี้ยนอูใบหน้าทุกข์ระทม เอานกแก้วออกมาวางบนศีรษะ นกแก้วถอนหายใจ เอ่ยเสียงต่ำ

“พ่อข้าถูกปฏิเสธแล้ว”

“ไม่เป็นไร ผู้หญิงน่ะก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน ทำให้เจ้าไม่ได้ไปง่าย!” นายกองเมื่อได้ยินก็รีบโอบไหล่อู๋เจี้ยนอู หารือต่อไป

เช่นนี้เอง ในยามที่เช้าตรู่มาเยือนอีกครั้ง อู๋เจี้ยนอูก็ฮึดสู้ เดินออกไปอีกครั้ง ทำการนัดหมายต่อไป

เวลาหมุนผ่านไปช้าๆ ไม่นานนักก็ผ่านไปยี่สิบวัน ห่างจากวันที่โยวจิงจะมาเยือนไม่ถึงเจ็ดวันแล้ว

หลายวันนี้ แม้สวี่ชิงและนายกองจะไปบ่อวิญญาณบ้าง แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร ส่วนอู๋เจี้ยนอูทางนั้นก็มีการพัฒนาไปบ้างเล็กน้อย

เขาแทบจะนัดพบกับอวิ๋นเสียจื่อทุกวัน ทั้งสองคนบางครั้งไปท่องเที่ยวชานเมืองด้วยกัน บางครั้งมาร่ายกลอนด้วยกัน กระทั่งว่ามีหลายครั้งที่พูดคุยกันอย่างถูกคอ ชื่อชมความสามารถด้านกลอนกวีของจักรพรรดิโบราณด้วยกัน ระหว่างทั้งสองสนิทสนมกันโดยไม่รู้ตัว

ระหว่างนี้ สำหรับทิศทางแนวโน้มการเคลื่อนไหวของสวี่ชิงกับนายกอง ทุกวันก็ล้วนมีรายงานมาทางอวิ๋นเสียจื่อทางนี้ หลังจากที่ทุกอย่างเป็นปกติ ความสงสัยในตัวทั้งสองคนของอวิ๋นเสียจื่อก็ค่อยๆ จางไป

จวบจนกระทั่งห่างจากวันที่โยวจิงจะมาอีกสามวัน สวี่ชิงและนายกองก็ตัดสินใจลงมือ พวกเขาไปยังบ่อวิญญาณเหมือนอย่างทุกวัน แช่อยู่ในนั้น นั่งขัดสมาธิทำสมาธิ

แต่นิ้วเท้านายกองนิ้วหนึ่ง อยู่ในบ่อวิญญาณแยกกับร่างออกไป เปลี่ยนเป็นหนอนตัวเล็กตัวหนึ่ง คืบคลานไปใต้น้ำช้าๆ

หลังจากที่คลานไปทั่วทั้งบ่อวิญญาณอย่างเงียบงันรอบหนึ่ง ก็แปรเปลี่ยนเป็นโคลนก้อนหนึ่งที่กลางบ่อ ติดไปที่พื้นบ่อวิญญาณอย่างแนบสนิท

สวี่ชิงหลับตา ดูดซับพลังหล่อเลี้ยงในบ่อวิญญาณ ไม่เผยช่องโหว่ใดๆ ออกมา แต่ในตอนที่นายกองทางนั้นใกล้จะสำเร็จ บนท้องฟ้าก็มีผีเสื้อเริงระบำฝูงหนึ่งบินมา

พวกมันบินมาจากบนฟ้า สวี่ชิงในใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ ในพริบตาที่ลืมตาไปมอง ความรู้สึกเหมือนฝันและรางเลือนแบบนั้นก็ปรากฏขึ้นข้างหน้าอีกครั้ง

โลกทั้งใบเหมือนจะทับซ้อนกันอย่างรุนแรงในเสี้ยวขณะนี้ จะก้อนหิน ภูเขาก็ดี จะเป็นบ่อวิญญาณก็ดี และยังมีทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่างมีเงาซ้อนปรากฏขึ้นมา มีเพียงนายกองทางนั้นที่ชัดเจน!

กระทั่งว่าความเจ็บปวดในสมองเป็นระลอกๆ ก็เกิดขึ้นในเสี้ยวขณะนี้ แปรเปลี่ยนเป็นความวิงเวียน เหมือนว่าโลกทั้งใบมีเขาเป็นศูนย์กลางหมุนวนไปทิศทางหนึ่ง

ความรู้สึกนี้ทำให้สวี่ชิงจำต้องหลับตาไปตามสัญชาตญาณ ในขณะที่พอจะคลายความมึนงงไปได้ ความรู้สึกอ่อนแรงและคลื่นเหียนกลับไม่จางหายไป และที่หน้าผากก็ไม่รู้ว่ามีเหงื่อมหาศาลผุดออกมาตั้งแต่เมื่อไร

ต่อให้แช่อยู่ในบ่อที่อุ่น แต่ก็ไม่สามารถขจัดความเย็นเยือกที่แผ่จากข้างในไปข้างนอกได้ เสียงทุกอย่างข้างหูเหมือนมีมิติกั้น เปลี่ยนมาแผ่วเบาลงไป

ครั้งนี้เวลาที่เกิดขึ้นนานกว่าก่อนหน้านี้ หลังจากหลายสิบอึดใจสวี่ชิงถึงจะฟื้นสภาพกลับมา

ในพริบตาที่ลืมตาอีกครั้ง สวี่ชิงลมหายใจหอบถี่ สีหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือดใดๆ ทั้งสิ้น เขายันหินในบ่อข้างกายไปโดยสัญชาตญาณ ในยามที่มองไปทางนายกอง นายกองสีหน้าแฝงด้วยความเป็นห่วง พยุงร่างที่เกือบจะร่วงไปกองบนพื้นของเขาเอาไว้

นายกองเงียบนิ่ง ไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่ยิ้มออกมา ในดวงตาฉายแววจริงใจ เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“อาชิงน้อย เชื่อข้าก็พอแล้ว”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พยักหน้า ไม่ได้ซักไซร้ต่อ

และพวกเขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไปจากที่นี่ กลับไปยังเรือนที่พัก

เหตุการณ์ทั้งหมดไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น นี่ทำให้สวี่ชิงสัมผัสได้ตามสัญชาตญาณว่าทุกอย่างราบรื่นเกินไป เหมือนว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พวกเขาคิดเอาไว้

อู๋เจี้ยนอูสร้างความสัมพันธ์อันสนิทสนมกับอวิ๋นเสียจื่อได้สำเร็จ ทำให้อีกฝ่ายไม่สังเกตถึงการเคลื่อนไหวของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้การวางกับดักในแผนก็สำเร็จลงอย่างราบรื่น รอเพียงโยวจิงมาถึงเท่านั้น

แต่สวี่ชิงไม่ได้ถามคำถามนี้ออกไป ในวันที่สองเขาก็ไปจากสำนักบุปผาหยินหยางพร้อมกับนายกองและอู๋เจี้ยนอูอย่างเงียบนิ่ง

ก่อนจาก อู๋เจี้ยนอูเห็นได้ชัดว่ายังอาลัยอาวรณ์อยู่นิดๆ แต่เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ เขาก็กัดฟัน ภายใต้สายตาที่มองจนลับหายไปของอวิ๋นเสียจื่อ ก็จากไปไกลอย่างไม่แม้แต่จะหันกลับมา

หลังจากจากไปสามวัน โยวจิงก็ปรากฏตัวขึ้น

จากที่ไกลๆ ที่ปลายขอบฟ้า คนกลุ่มหนึ่งมาอย่างยิ่งใหญ่ สาวใช้โปรยดอกไม้ ดนตรีแว่วกังวาน เงาร่างโยวจิงอยู่ในนั้น ยุรยาตรย่างกรายมา เพียงแต่ไม่มีใครสังเกตว่าในเสี้ยวพริบตาที่นางมา ในภูเขายอดคู่มีดวงตาแก่ชราคู่หนึ่งลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปด้วยความหมายลึกซึ้ง

“น่าสนใจ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!