Skip to content

Outside Of Time 597

บทที่ 597 จะกินยามั่วซั่วไม่ได้

เสียงของนายกองดังอยู่ในหูสวี่ชิง สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไร เขารู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยกับสถานการณ์นี้

เขาจำได้ว่าตอนนั้นตนก็เจอกับผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าผู้บำเพ็ญร้อยพิษมิอาจกล้ำกรายคนหนึ่งในตำหนักขบถจันทร์เช่นกัน ตอนนั้นหลังจากแลกเปลี่ยนแล้วเขายังเตือนอีกฝ่ายไปอีกหลายหนว่าอย่ากินลูกกลอนลงไปทันที

ต่อมาอีกฝ่ายก็หายไป ส่วนตนก็ยุ่งอยู่กับการหลอมยาลูกกลอนจากหลี่โหยวเฝ่ย จึงไม่ได้สนใจ

‘คนเดียวกันหรือเปล่านะ’ สวี่ชิงพึมพำในใจ

“คนผู้นี้น่าจะร้อนรนมาก ดังนั้นค่าตอบแทนที่ให้จึงมหาศาลนัก” นายกองล้วงผลท้อออกมา กัดไปคำหนึ่ง เอ่ยต่อว่า

“ข้าคิดว่ามีท่านปู่อยู่ หากอีกฝ่ายกล้าล่อเหยื่อ พวกเราก็คงไม่เจอกับอันตรายอะไร หากเป็นการขอร้องอย่างจริงใจ วิถีพิษของอาชิงน้อย อยากจะแก้พิษก็เป็นเรื่องเล็กๆ

“เรื่องนี้สำหรับพวกเรา ก็เหมือนไปรับเงินนั่นแหละ”

นายกองพูดพลางล้วงผิงกั่วอีกลูกยื่นให้สวี่ชิง

“เป็นอย่างไรอาชิงน้อย จะจัดการเรื่องนี้หรือไม่ ถึงเจ้าจะเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มีศิษย์พี่ใหญ่อย่างข้าอยู่!”

สวี่ชิงรับผิงกั่วไป หลังจากครุ่นคิดก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้

เขาตัดสินใจจะไปดูว่าใช้คนผู้นั้นหรือไม่ หากใช่จริงๆ…ตนก็คงต้องลงมือแก้พิษให้ ถึงอย่างไรข้อมูลคำสาปที่อีกฝ่ายให้ไว้ตอนนั้นก็เป็นเรื่องจริง กินยาพิษของตนเข้าไปแล้วเกิดปัญหา ตนก็จำเป็นต้องช่วยเหลือเล็กน้อย

เห็นว่าสวี่ชิงเห็นด้วย นายกองก็แอบดีใจ เหลือบมองรัฐทายาทที่กำลังนั่งสมาธิ

“มีเตรียมสู่เทวะอยู่ ถ้าไม่ใช้เสียหน่อยก็น่าเสียดาย”

อันที่จริงเรื่องนี้ก็ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง นั่นคือการสร้างชื่อในตำหนักขบถจันทร์

นับตั้งแต่เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ นายกองก็พบกับโครงสร้างของที่นั่น รู้ว่าระบบค้าขายเช่นนี้ในภูเขา เรื่องชื่อเสียงสำคัญอย่างมาก และเขาก็ตัดใจขายของของตัวเองไม่ลง จึงคิดหาแนวทางใหม่ เปล่งรัศมีของตัวเองด้วยช่วยเหลือผู้อื่น

‘แล้วก็ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าคนนั้น มีผู้คนรออยู่ด้านนอกศาลเจ้าเขามากมายเหลือเกิน ข้าเบียดเข้าไปไม่ได้ ต้องหาวิธี’

นายกองความคิดแล่นฉิว เงยหน้ามองสวี่ชิง จู่ๆ ก็เอ่ยปาก

“อาชิงน้อย เจ้าศึกษาเรื่องคำสาปไปถึงไหนแล้ว”

“ได้แนวคิดมาบ้างแล้วขอรับ” สายตาสวี่ชิงหยุดอยู่ที่ร่างนายกอง ความได้ใจและการโอ้อวดที่ได้เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ก่อนหน้านี้ ทำให้สวี่ชิงคิดว่าอย่าเพิ่งบอกเรื่องที่ตนก็เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ไปแล้วดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้ความสุขของนายกองหายวับไปในพริบตา

“ไม่เป็นไร คำสาปก็ใช่ว่าจะแก้ได้ง่ายๆ แต่ตอนที่เจ้ามีเวลา อันที่จริงไปศึกษาลูกกลอนบรรเทาทุกข์เสียหน่อยก็ดี”

นายกองพูดพลาง ดวงตาก็เผยความคาดหวังออกมา

“อาชิงน้อย เจ้าไม่รู้ว่าลูกกลอนบรรเทาทุกข์สำหรับตำหนักขบถจันทร์แล้ว มีความหมายยิ่งใหญ่มาก

“ข้าก่อนหน้านี้บอกกับเจ้าไปไม่ใช่หรือว่าช่วงนี้ตำหนักขบถจันทร์เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น มีปรมาจารย์ปรากฏตัวขึ้นมา ก็คือสหายของข้าคนนั้นหรอกหรือ”

สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้า

“คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย เขาเป็นอัจฉริยะด้านวิถีลูกกลอน สามารถสร้างลูกกลอนบรรเทาทุกข์จำนวนมหาศาลได้ ก่อนหน้านี้ข้าโชคดีได้ทำความรู้จักกับเขา ข้านับถือความอัจฉริยะของเขา เขาก็ชื่นชมความรู้ของข้า พวกเราสองคนจึงสนิทกัน

“จากการสานสัมพันธ์ครั้งนั้น ข้าก็ได้รับรู้ความอัจฉริยะของปรมาจารย์ผู้นี้ลึกยิ่งขึ้น”

นายกองดวงตาฉายแววระลึกย้อนความทรงจำ ทำทีทอดถอนใจ

สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ไม่พูดอะไร

“อาชิงน้อย เจ้าก็อย่าหมดกำลังใจ ไม่เป็นไร ข้ากับปรมาจารย์เคยคุยกัน เขารับปากว่าจะให้ลูกกลอนบรรเทาทุกข์กับข้าเม็ดหนึ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะเอามาให้เจ้าศึกษาสักหน่อย ดูว่าพวกเราจะจำแนกและสร้างออกมาได้หรือไม่”

คำพูดของนายกอง ดึงดูดความสนใจของหนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอู หลี่โหยวเฝ่ยทางนั้นก็มองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมตำหนักขบถจันทร์ ไม่รู้ด้านในนั้นเกิดอะไรขึ้น

แต่ว่าเมื่อได้คำว่าปรมาจารย์รวมถึงประโยคที่ว่าจะสร้างลูกกลอนบรรเทาทุกข์ออกมาจำนวนมาก หลี่โหยวเฝ่ยก็ลอบมองสวี่ชิงด้วยสัญชาตญาณ

หนิงเหยียนที่อยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างอดไม่อยู่

“ศิษย์พี่เอ้อหนิว ปรมาจารย์จากตำหนักขบถจันทร์ผู้นั้นเก่งกาจขนาดสร้างยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์จำนวนมากได้เชียวหรือ”

หลังจากมาถึงแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา หนิงเหยียนกับอู๋เจี้ยนอูก็รู้มูลค่าของยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ผ่านประกาศจับของสำนักบุปผาหยินหยาง ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของนายกองก็ตกใจ

นายกองเชิดหน้า ยิ้มขึ้นอย่างได้ใจ

“แค่เก่งกาจเสียที่ไหน!

“ตอนที่ปรมาจารย์ลูกกลอนเก้าคนนั้นปรากฏตัว ศาลเจ้าของเขาสั่นสะเทือนอยู่สองเดือนเชียวนะ แผ่ท่วงทำนองเต๋าสูงส่งออกมา เพื่อนบ้านของเขาเหล่านั้นก็โชคดี หลังจากได้ยินคำสาปของร่างกายก็ถูกสะกด

“ทุกคนล้วนคาดเดาว่าตำหนักขบถจันทร์เป็นผู้เชื้อเชิญปรมาจารย์ท่านนี้มาด้วยตัวเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หนิงเหยียนสูดลมหายใจ อู๋เจี้ยนอูเบิกตากว้าง สีหน้าหลี่โหยวเฝ่ยก็ออกอาการ

เห็นคนเหล่านี้เป็นเช่นนี้ นายกองก็ยิ่งพูดอย่างตื่นเต้น

“แล้วที่ทำให้ตื่นตกใจกันที่สุด ก็คือยาลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของเขา มีราคาแค่หนึ่งส่วนจากในตลาดเท่านั้น ผลลัพธ์ก็น่าตกตะลึงยิ่งกว่า คนที่ซื้อไปไม่มีใครไม่สั่นสะเทือน

“พวกเจ้าไม่ใช่คนของตำหนักขบถจันทร์ จึงยังไม่เห็นสถานที่ที่ปรมาจารย์ผู้นั้นพักอยู่ ทุกวันมีคนนับร้อยไปนั่งรอ!

“ขอแค่ปรมาจารย์วางยาลูกกลอนไว้เม็ดหนึ่ง ในพริบตาก็จะมีผู้บำเพ็ญจำนวนมหาศาลแย่งกันหาวิธีเพื่อให้ได้มันมา

“ภาพฉากนั้นน่าตื่นตะลึงอย่างยิ่ง”

นายกองทอดถอนใจ อู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนใจสั่นสะท้าน มีเพียงหลี่โหยวเฝ่ยที่ในใจเริ่มปั่นป่วน เขายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าปรมาจารย์ผู้นี้น่าจะเป็นสวี่ชิง

สวี่ชิงครุ่นคิด ก็แสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อออกมา

“แต่ว่าพอมีชื่อเสียงก็ยิ่งดึงดูดความสนใจ สหายข้าคนนั้นก็กลัดกลุ้มมาก” นายกองกระแอมไอออกมา ถอนหายใจ

“ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของเขาราคาต่ำเกินไป ส่งผลกระทบกับการค้าของคนอื่น ก่อนหน้านี้เพราะชื่อเสียงของเขานั้นมากเกินไป ดังนั้นต่อให้คนเหล่านั้นไม่พอใจ แต่ก็พูดอะไรมากไม่ได้

“แต่ปรมาจารย์ไม่ได้วางยาลูกกลอนมาสักพักแล้ว พวกที่เสียผลประโยชน์เหล่านั้นจึงรีบฉวยโอกาส ตอนนี้ก็เกิดข่าวลือไม่ค่อยดีขึ้นมา

“และยังมีปรมาจารย์วิถีลูกกลอนบางคนกระโจนออกมา บางคนที่ชื่นชม บสงคนด้อยค่า บางคนบอกว่านี่เป็นของเลียนแบบที่มีผลข้างเคียงร้ายแรง สู้ลูกกลอนบรรเทาทุกข์ของจริงไม่ได้

“และบางคนบอกว่าที่ปรมาจารย์ไม่มาวางยาลูกกลอนนานถึงเพียงนี้ เพราะไม่ได้หลอมด้วยตัวเอง แต่ได้มาอย่างมิชอบ ตอนนี้ไม่เหลืออยู่แล้ว

“ยิ่งมีคนปล่อยข่าวลืออีกว่า ปรมาจารย์คนนี้จะต้องมีฐานะในตำหนักพระจันทร์สีชาดแน่ สิ่งนี้อาจเป็นลูกกลอนที่แฝงพิษร้ายแรงของตำหนักพระจันทร์สีชาดไว้แน่นอน

“วิพากษ์วิจารณ์กันไป่ต่างๆ นานา”

นายกองทอดถอนใจ ในใจอู๋เจี้ยนอูและหนิงเหยียนก็โหมระลอกคลื่น หลี่โหยวเฝ่ยเงียบนิ่ง

สวี่ชิงทางนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมา เขาไม่ได้เข้าตำหนักขบถจันทร์พักหนึ่งแล้ว เรื่องเหล่านี้ที่นายกองพูดมา เขาก็รู้ไม่เยอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับการใส่ร้ายป้ายสีช่วงหลังยิ่งไม่รู้

“ต้นไม้อยากจะอยู่อย่างสงบทว่าสายลมกลับไม่หยุดนิ่ง คำพูดของคนภายนอก ก็ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก”

สวี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว

“ถูกต้อง ข้าก็เตือนสหายของข้าเช่นนี้ และเพราะข้าเตือนไป สภาพจิตใจของเขาก็ดีมาก ไม่ถูกผลกระทบจากภายนอก”

นายกองเงยหน้าขึ้น เต็มไปด้วยความทอดถอนใจ

สวี่ชิงมองนายกองผาดหนึ่งอีกครั้ง พยักหน้าให้

นายกองได้ใจ ขณะที่กำลังจะพูดต่อ ตอนนี้เอง เจ้านกแก้วที่อยู่บนเข่าของรัฐทายาทก็ลืมตาขึ้น กวาดตามองมาทางพวกเขาอย่างจองหอง ร้องเสียงแหลม

“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่ตรงนั้น ไม่ทำงานทำการกันหรือ! หนิวอะไรนั่นน่ะ ร้อนเกินไปแล้ว ยังไม่มาพัดให้ท่านปู่ชราข้าอีก!”

นายกองถลึงตา แต่ก็สังเกตเห็นว่ารัฐทายาทฝึกบำเพ็ญเสร็จแล้ว จึงแอบถอนหายใจ ใบหน้าฉายแววประจบเอาใจ รีบวิ่งไป

เจ้านกแก้วมองเหยียด ตะคอกใส่คนอื่นต่อ ต่อให้เป็นบิดาของมัน มันก็ทำเช่นเดียวกัน

หนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอู อีกทั้งหลี่โหยวเฝ่ย เมื่อได้ยินก็รีบทำงาน

นี่ก็คือกิจวัตรประจำวันของคนในดวงอาทิตย์นี้

สวี่ชิงมองส่งเหล่านี้ก็ทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าเจ้านกแก้ว หลังจากนี้ไม่น่าได้เจอเรื่องดีๆ

แล้วความจริงก็เป็นเช่นนั้น ไม่กี่วันต่อมา ครั้งหนึ่งตอนที่รัฐทายาทพักผ่อนอยู่ นายกองพาหนิงเหยียนและอู๋เจี้ยนอู มาหาสวี่ชิง

พึ่งมาถึง นายกองก็กัดฟันเอ่ยขึ้น

“พี่เจี้ยนเจี้ยน นกแก้วของท่านตัวนั้นต้องจัดการเสียหน่อยนะ น่ารำคาญเสียจริง!”

หนิงเหยียนได้ยินก็พยักหน้าแรงๆ สายตามีจิตสังหาร หลายวันมานี้เขารู้สึกไม่พอใจเจ้านกแก้วกำเริบตัวนี้อย่างมาก

หลี่โหยวเฝ่ยก้มหน้าไม่พูดอะไร เขารู้ว่าเรื่องนี้เขาพูดอะไรไม่ได้ แต่ในใจก็เห็นด้วยอย่างมาก

เห็นเป็นเช่นนี้ อู๋เจี้ยนอูก็เงียบยิ่งไปครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึก สีหน้าฉายแววเจ็บปวด ร่ายกลอนเสียงต่ำ

“ลูกเลวฟ้ารังเกียจพ่อเสียใจ ข้าไม่เห็นอันใด ใครใคร่จักทำเยี่ยงไรก็ทำ!”

เขาเองก็กลัดกลุ้มกับเจ้าลูกเลวนั่น

ช่วงนี้เจ้านกแก้วกำเริบเกินไปแล้ว ตะคอกเขา อกตัญญูอย่างยิ่ง อู๋เจี้ยนอูก็รู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป บางทีวันหนึ่งเจ้าลูกเลวคงให้ตนเองเรียกมันว่าบิดาแน่

ทุกคนจึงเริ่มหารือกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีรัฐทายาทอยู่ เจ้านกแก้วนั่นก็ไม่ออกห่างเลยแม้แต่น้อย ยากที่จะจัดการ ทว่าด้วยแผนการของนายกอง วันที่พวกเขาตัดสินใจลงมือคือหลังจากไปถึงเทือกเขาทนทุกข์

เวลาจึงไหลผ่านไปเช่นนี้ ขณะที่ห่างจากเทือกเขาทนทุกข์ครึ่งเดือน ภายใต้การประจบเอาใจและขอคำแนะนำ รัฐทายาทก็เห็นด้วยที่จะเปลี่ยนเส้นทาง

คนผู้นี้จึงเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหวของดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเล็กน้อย มาถึงภูเขาเมฆาขาว

หรือก็คือตำแหน่งที่ผู้บำเพ็ญตำหนักขบถจันทร์ที่ฝึกร้อยพิษมิกล้ำกลายคนนั้นซ่อนตัวอยู่

ภูเขาเมฆาขาวตั้งอยู่เขตปกครองหยาดสวรรค์ ห่างจากเขตปกครองทรายครามสองเขตปกครอง ที่แห่งนี้มีพืชพันธุ์ขึ้นหนาแน่น มองจากบนฟ้าเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต

สภาพแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้มีเผ่ากับสำนักอยู่มากมาย และเพราะบุตรเทวะตำหนักพระจันทร์สีชาดบาดเจ็บหนักจนต้องปิดด่าน ทำให้หลายพื้นที่เกิดการจลาจลขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นขั้วอำนาจต่างๆ ในภูเขาเมฆาขาวนี้จึงมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติ

ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดจะมาปราบปรามเช่นเดียวกัน ตอนที่พวกสวี่ชิงมาถึงก็สัมผัสคลื่นพลังของตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดได้แต่ไกล

นายกองก็สัมผัสได้

เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปเรื่อยๆ ด้วยการอำพรางนี้ เพียงไม่นานตำหนักพระจันทร์สีชาดขนาดยักษ์ ก็ปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าห่างไกลจากพวกเขา

มีหินอุกกาบาตจำนวนมากลอยอยู่รอบตัวมัน ด้านบนมีผู้บำเพ็ญไม่น้อย แต่ละคนแผ่จิตสังหารออกมา

ทุกที่ที่แล่นผ่าน เงียบสงัดไปหมด

สังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ ความเร็วของดวงอาทิตย์ที่อำพรางอยู่ในความว่างเปล่าก็ลดลง นายกองที่อยู่ในนี้ร้อนรนเล็กน้อย

“ตำหนักเทพก็อยู่ที่นี่ร่องรอยของเจ้าดวงซวยนั่นถูกเปิดเผยแล้วอย่างนั้นหรือ”

ระหว่างที่พูด เขาก็รีบร้อนหยิบกระจกเข้าไปในตำหนักขบถจันทร์ ไม่นานก็กลับมา แล้วบอกกับสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว

“ข้าติดต่อกับเจ้าดวงซวยในตำหนักขบถจันทร์คนนั้นแล้ว ก่อนที่เจ้านั่นจะมอบภารกิจของความช่วยเหลืออย่างจนปัญญา น่าจะถูกพวกเจตนาร้ายแอบรายงานกับตำหนักพระจันทร์สีชาด

“ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าบอกตำแหน่งที่ซ่อนตัวกับพวกเรา”

นายกองพูดจบ สวี่ชิงก็เงยหน้ามองตำหนักพระจันทร์สีชาดที่อยู่ไกลออกไป พบว่าจู่ๆ ตำหนักพระจันทร์สีชาดก็เปลี่ยนเส้นทาง พุ่งไปยังทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว

“เหมือนตำหนักพระจันทร์สีชาดจะหาพบก่อนแล้ว”

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

เมื่อนายกองได้ยินก็ควบคุมดวงอาทิตย์ติดตามไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว สังเกตอย่างใกล้ชิดตลอดทาง ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดหยุดอยู่เหนือหุบเขาแห่งหนึ่ง

ดวงตาสีเลือดขนาดยักษ์นั่นแผ่แสงประหลาดออกมา พุ่งเป้าไปที่หุบเขาด้านล่าง จากนั้นแสงสีแดงสายหนึ่งก็ระเบิดออกมาจากดวงตานี้

เส้นสีเลือดนับไม่ถ้วนเปล่งแสงวูบวาบ รอบตัวกันเป็นอักขระทางหนึ่ง ประทับลงไปบนหุบเขา

แผ่นดินใหญ่สั่นสะเทือน หินภูเขาแตกกระจุย หุบเขาพังทลายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฝุ่นมหาศาลฟุ้งกระจายไปรอบๆ พื้นดินที่หุบเขาแต่เดิมอยู่ เวลานี้ก็ยุบจนกลายเป็นหลุมขนาดยักษ์

ด้านในมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่ง

ตรงกลาง ขณะที่ภูเขาหินดินโคลนนับไม่ถ้วนถล่มลงมา ก็เห็นมีคนนอนอยู่ด้านบนแท่นบูชาอยู่รางๆ เหมือนอยากจะดิ้นรน แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงจะผุดลุกขึ้น มีหมอกพิษมหาศาลแผ่ออกมาจากร่าง

โดยเฉพาะรอบๆ แท่นบูชามีกองเลือดสีดำหลายกอง มีทั้งแห้งไปแล้วและมีทั้งเลือดใหม่ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้อยู่ที่นี่มานานแล้ว ไม่รู้ว่ากระอักเลือดออกมากี่ครั้ง

หลังจากสวี่ชิงเห็น ก็ลอบถอนหายใจ

เขาจำพิษของตนเองได้…

นายกองกะพริบตาปริบๆ รู้สึกคุ้นตากับพิษนั้นเหลือเกิน จึงมองไปทางสวี่ชิงอย่างสงสัย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาถาม เขารีบมองไปทางรัฐทายาทเจ้าเหนือหัว ใบหน้าฉายแววประจบเอาใจ

“ท่านปู่ชรา…”

รัฐทายาทกำลังหยอกล้อกับเจ้านกแก้ว ทำเป็นไม่ได้ยิน

นายกองจนใจ ส่งสายตาให้สวี่ชิง

สวี่ชิงหันหน้า คารวะรัฐทายาท ส่งเสียงแผ่วเบาออกมา

“ผู้อาวุโส…”

เมื่อรัฐทายาทได้ยินก็มองมา เอ่ยเสียงเรียบ

“เรียกข้าว่ากระไรนะ”

สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ ตอบสนองทันที

“ท่านปู่ชรา”

รัฐทายาทยิ้ม กวาดตามองไปยังโลกภายนอก พริบตาต่อมา…จู่ๆ ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดที่ลอยอยู่เหนือหุบเขาก็สั่นสะเทือน

อุกกาบาตมหาศาลรอบๆ ระเบิดในพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เสียงครืนครันดังสนั่นไปรอบทิศในพริบตา ส่วนผู้บำเพ็ญบนอุกกาบาตเหล่านั้น เวลานี้ก็หมดสติ ทยอยร่วงลงมาประหนึ่งใส่เกี๊ยวลงในหม้อ

จากนั้น ตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดบนดวงตาสีเลือดคิดจะดิ้นรน แต่แค่อึดใจต่อมาก็เงียบสงบ แสงสีเลือดหม่นลง

ประตูใหญ่เปิดออก ทูตเทวะกลางคนในชุดคลุมสีแดงปักดิ้นทองผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านใน

ทูตเทวะผู้นี้หน้าตาเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว แม้จะเรียบนิ่งแต่ก็สง่างาม คลื่นพลังกลิ่นอายทั่วร่างดูไม่ธรรมดา เห็นได้ชัดว่าปกติอยู่ในตำแหน่งสูง แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองของเขาว่างเปล่า สีหน้าไร้อารมณ์ ทั้งตัวแผ่ความเฉยชา ก้าวออกมาทีละก้าวราวกับหุ่นไม้

ด้านหลังเขามีผู้รับใช้เทวะในชุดคลุมเทพสีแดงอีกสามคน หญิงสองชายหนึ่ง สีหน้าแบบเดียวกัน การเคลื่อนไหวก็เป็นหนึ่งเดียว ก้าวเท้าออกมาพร้อมๆ กัน

ด้านหลังถัดไปอีกยังมีทาสเทวะอีกหลายสิบคน ก้าวเท้าเดินออกมาเท้าเดียวกัน ราวกับว่าเหนือร่างพวกเขาแต่ละคนมีเส้นบางอย่างที่มองไม่เห็น ถูกคนเชิดอยู่

ขณะที่เลือนราง ก็มีความรู้สึกเหมือนเริงระบำบวงสรวงเช่นนั้น

คนกลุ่มนี้หลังจากเดินไปกลางอากาศ ก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน

ความแปลกประหลาดของภาพนี้ ทำให้อู๋เจี้ยนอูและหลี่โหยวเฝ่ยที่เห็นก็ใจสั่นสะท้านรุนแรง แม้พวกเขาจะรู้ความน่ากลัวของเตรียมสู่เทวะ แต่จะแข็งแกร่งเพียงใด ทั้งสองคนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก

ตอนนี้ได้เห็นกับตา สมองพวกเขาก็อดเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้

‘อย่างกับเทพเจ้า…’

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสั่นเทา หนิงเหยียนก็ถอนหายใจ ยิ่งตั้งใจถูพื้นขึ้นอีก

นายกองลิงโลด หลังจากส่งสายตาเป็นรางวัลให้สวี่ชิง ร่างก็ทะยานออกไป พุ่งไปยังหลุมลึกหุบเขาบนพื้น ส่งเสียงตะโกน

“สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่ง ใช่เจ้าหรือไม่!”

เสียงของนายกองสะท้อนก้อง ร่างเงาในหมอกพิษบนแท่นบูชา นิ้วมือขยับเล็กน้อย ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง คิดจะกระเสือกกระสนแต่ก็ทำไม่ได้ ทั่วร่างมีแค่ปากที่ยังฝืนให้เป็นปกติ ส่งเสียงอ่อนแรงออกมา

“พระจันทร์สีชาดมิใช่สิ่งนิรันดร์กาล…”

“นี่มันยามใดแล้ว ยังจะส่งรหัสลับอีก เจ้าใช่สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่งหรือไม่!” นายกองเข้าใกล้ มองร่างในหมอกพิษ

“ใช่…” ร่างในหมอกพิษตอบกลับอย่างอ่อนแรง

ขณะที่พวกเขาสนทนากัน สวี่ชิงก็เดินออกมาจากดวงอาทิตย์ มองความระเกะระกะบนพื้นผาดหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าในหลุมใหญ่มายังถ้ำด้านใน เขาเห็นเลือดสีดำรอบๆ รวมถึงร่างที่อยู่ในปราณหมอกนั่น

‘บอกเขาไปตั้งนานแล้วว่าอย่ากินเข้าไปในคำเดียว…’

สวี่ชิงแอบพูดในใจ

และยามนี้ หลังจากยืนยันหมายเลขของอีกฝ่าย นายกองก็นั่งยองๆ ลงด้านหน้าหมอกพิษ เอ่ยขึ้นอย่างแปลกใจ

“ทำไมเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้ได้เล่า ไม่ใช่ว่าเจ้าฝึกบำเพ็ญร้อยพิษมิกล้ำกรายหรอกหรือ ใช้ไม่ได้เลย”

เมื่อร่างเงาในหมอกได้ยินก็โอดครวญในใจ คิดจะเอ่ยปาก แต่อาการบาดเจ็บสะสมจะปะทุขึ้นมาตามสภาพจิตใจ จึงกระอักเลือดสีดำออกมา แล้วสลบไป

“คงยังไม่ตายหรอกระมัง”

นายกองตกใจ สวี่ชิงเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นหมอกพิษก็สลายไป เผยให้เห็นใบหน้าแท้จริงของเจ้าคนดวงซวย

เป็นชายชราผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมสีครามยับยู่ยี่ ผมเป็นสีดอกเลาทั้งหัว กระดูกโหนกแก้มสูง โครงร่างใหญ่ ดูให้ความรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าในเวลาปกติคงจะเป็นคนเด็ดขาดคำไหนคำนั้นแน่นอน

รอยเหี่ยวย่นที่เต็มใบหน้า ไม่ได้ขับเน้นให้ดูแก่ชรา แต่กลับทำให้น่าเกรงขามมากขึ้น แค่กูก็รู้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่

เพียงแต่ยามนี้ บนทั้งหมดทั้งมวล กลับมีความขมขื่นที่เข้มข้นเพิ่มมา คิ้วที่ขมวดแน่นแฝงความจนใจกับชีวิตเอาไว้ ทั้งเนื้อตัวแผ่ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก

โดยเฉพาะเลือดสีดำที่มุมปาก ทำให้รู้สึกขนลุกขนพอง

ทั้งกำปั้นที่กำไว้แน่น ราวกับคิดจะบีบความไม่ยินยอมในใจทั้งหมดให้แตกละเอียด แต่เห็นได้ชัดว่า…เขาทำไม่ได้

สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ แล้วแอบถอนหายใจอีกครั้ง ยกมือขวาขึ้นโบก ฉับพลันก็มียาลูกกลอนเม็ดหนึ่งลอยออกมา หลังจากไปอยู่เบื้องหน้าชายชราคนนี้ ยาลูกกลอนก็ระเบิดทันที่ กลายเป็นควันสีขาวแทรกซึมเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของชายชรา เริ่มขจัดพิษ

ไม่นานนัก พิษในร่างกายชายชราก็ถูกสวี่ชิงขจัดออกไปกว่าครึ่ง นายกองที่มองภาพเหล่านี้ข้างๆ สีหน้าก็ยิ่งสงสัย มองชายชราแล้วก็มองสวี่ชิง

เขารู้สึกว่าพิษนี้แก้ง่ายเกินไป ราวกับว่า…นี่เป็นพิษของสวี่ชิงเอง

แต่เขาก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ อาชิงน้อยเข้าไปตำหนักขบถจันทร์ไม่ได้ แล้วก่อนหน้านี้สองคนนี้ก็ไม่รู้จักกัน ความเป็นไปได้ที่จะวางยาพิษมีไม่มาก

นี่ทำให้นายกองรู้สึกสงสัย ส่วนชายชราเวลานี้ก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากการที่พิษถูกแก้ไป มองรอบๆ อย่างมึนงง แต่พริบตาต่อมาในดวงตาก็เฉียบคม ลุกขึ้นนั่งทันที

เมื่อสังเกตเห็นว่าพิษสลายไปมากแล้ว เขาก็มีสะกิดใจ มองไปทางนายกองกับสวี่ชิง

“พวกเจ้าแก้พิษให้ข้าได้อย่างไร”

สวี่ชิงไม่พูดอะไร ถอยออกไปหลายก้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนนายกองก็หัวเราะเหอะๆ พิจารณาชายชรา

“สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่ง เจ้าบอกข้ามาก่อน ว่าเจ้ามีสภาพนี้ได้อย่างไร”

ชายชราได้ยินก็เงียบนิ่ง เขาที่มีสถานะสูงส่ง น้อยนักที่จะเห็นผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดพูดด้วยน้ำเสียงปกติกับตน

แต่พิจารณาจากที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตตนเองเอาไว้ ทั้งยังแก้พิษให้ได้อีกด้วย ประกอบกับปรากฏตัวขณะที่พระจันทร์สีชาดล้อมไว้เช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจเขาเกิดความคิดมากมาย และมีความสงสัย

โดยเฉพาะไม่รู้สถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้…

คิดถึงตรงนี้ ชายชราก็สะกดความคิดในใจลง เขาแค่อยากจะออกไปให้ไวที่สุดจึงลุกขึ้นมาจัดระเบียบเสื้อผ้า และความน่าเกรงขามก็โหมขึ้นตามมาด้วย เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“ขอบคุณสหายตัวน้อยทั้งสอง แต่ช่างเรื่องส่วนตัวไปเถิด นี่เป็นชะตากรรมของข้า ไม่อยากจะบอกกับผู้อื่น”

ขณะที่พูด เขาก็ล้วงถุงเก็บของออกมา โยนให้นายกอง

“ในนี้คือค่าตอบแทนที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้ อยู่ที่นี่นานไม่ดี หากได้พบกันหลังจากนี้ ข้าจะมีค่าตอบแทนอื่นให้อีก”

พูดจบชายชราก็ร่างไหววูบ ลอยตัวขึ้น ไม่สนใจสวี่ชิงกับนายกองอีก กระตุ้นพลังบำเพ็ญ พุ่งไปยังโลกภายนอก เตรียมตัวต่อสู้

แต่พริบตาที่พุ่งออกจากถ้ำ เขาก็เห็นสถานการณ์ด้านนอก ฝีเท้าหยุดชะงัก ทั้งหมดตรงหน้า ทำให้ในใจเขาโหมระลอกคลื่นลูกมหึมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นแปลกใจระคนสงสัยในพริบตา

สิ่งที่เห็นรอบๆ มีผู้บำเพ็ญตำหนักเทพพระจันทร์สีชาดนอนอยู่เกลื่อนกลาด แต่ละคนไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย ทว่านอนหมดสติ และที่ทำเขาพรั่นพรึงที่สุดคือเขาเห็นทูตเทวะพระจันทร์สีชาดยืนอยู่กลางอากาศ

“เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย!!”

ภาพนี้ทำให้ในใจชายชราโหมกระหน่ำ เขาสังเกตเห็นว่าทูตเทวะบนท้องฟ้า เหมือนจะถูกสะกดให้นิ่งอยู่ตรงนั้น

สิ่งนี้ทำให้เขาสั่นสะท้าน อดหันกลับมามองด้านหลังไม่ได้ ก็แอบคิดในใจว่าสองเดือนที่มัวแต่ถูกพิษเล่นงานนี้ ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วสองคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร…

เขาค่อนข้างสงสัย นึกถึงท่าทีก่อนหน้าของตน จึงหันหลังกลับมาที่ถ้ำ เก็บความน่าเกรงขามทั้งหมด เปลี่ยนเป็นความเกรงใจ

“ก่อนหน้านี้ข้าร้อนใจ บางคำพูดจึงค่อนข้างอวดดี ขอบคุณสหายเต๋าทั้งสองมากที่ช่วยชีวิต ด้านนอกนี่…”

ชายชรามองสวี่ชิงกับนายกอง ถามหยั่งเชิงขึ้นมา

เขาสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดจากร่างผู้คนของตำหนักเทพด้านนอกเหล่านั้น แต่เขานึกไม่ออกอลยว่ามีพื้นเพอย่างไรรวมถึงความสามารถอะไรกันแน่ จึงทำให้พวกผู้บำเพ็ญรวมถึงทูตเทวะของตำหนักพระจันทร์สีชาดด้านนอกหมดสติไป

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนนายกองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องไปกังวลเรื่องด้านนอกหรอก สามเจ็ดเก้าห้าหนึ่ง พิษบนตัวเจ้าหนักหนามาก ถูกศัตรูเล่นงานเอาหรือ”

เขารู้สึกสงสัยอาการบาดเจ็บจากพิษของชายชราคนนี้มาก

ชายชรามองสองคนตรงหน้า จากนั้นก็กวาดตามองไปยังสถานการณ์น่าครั่นคร้ามด้านนอก ในใจก็ครุ่นคิด จากนั้นจึงถอนหายใจ เลือกที่จะบอกออกมา

“ก็ไม่มีอะไรมาก”

“อย่างไรหรือ” นายกองสงสัย

“สองเดือนก่อนข้าซื้อยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งมาจากคนผู้หนึ่งในตำหนักขบถจันทร์” ชายชราเอ่ยช้าเนิบ

“แล้วยาลูกกลอนนั้นมีปัญหาหรือ” นายกองรีบถามต่อ

ชายชราเงียบนิ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อ ตอนแรกเขาเพียงจะเอ่ยประโยคง่ายๆ สองสามประโยค แต่ผ่านไปสี่ห้าประโยค ขณะที่นายกองก็ตอบสนองอย่างให้ความร่วมมือ ความอัดอั้นที่สะสมมาช่วงนี้ จึงหลายเป็นความปรารถนาที่อยากจะบอกเล่า

“เดิมข้าคิดว่ามันเป็นลูกกลอนพิษธรรมดา แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเด็กเวรนั่นจะตลบหลังข้า!

“ตอนข้าเพิ่งกลืนลูกกลอนนั่นเข้าไปก็ยังดีอยู่ เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ใครจะรู้ว่าผลภายหลังจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมาระเบิดเอาตอนสุดท้าย ข้าที่ไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกพิษเล่นงานจนหงายไปแล้ว!”

“เกินไปจริงๆ!” นายกองตกอกตกใจ กวาดตามองสวี่ชิง

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ชายชราเปี่ยมล้มไปด้วยโทสะ

“ใช่ เกินไปจริงๆ! ช่วงนี้ข้าจะขยับตัวก็ขยับไม่ได้ ทุ่มสุดกำลังต้านท้านพิษ ผ่านภยันตรายเกือบเอาชีวิตไม่รอดจนพวกเจ้ามาถึง นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำกันแล้ว!

“ข้าสงสัยว่าเจ้าเด็กนั่นน่าจะเป็นศัตรูของข้าส่งมา ข้าประมาทเกินไป สารเลวจริงๆ!!

“ที่หนักกว่านั้นคือยาลูกกลอนนั่นยังเป็นพิษผสม พิษผสมเชียวนะ ราคามันต้องแพงมากๆ แต่เขาดันขายให้ข้าถูกแสนถูก แค่แลกเปลี่ยน ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สารเลวจริงๆ!”

นายกองก็อุทานตกใจผสมโรง ความอยากเล่าของชายชราก็รุนแรงขึ้นด้วยเหตุนี้ แต่คิ้วของสวี่ชิงก็เลิกขึ้นตามคำกล่าวว่าเจ้าเด็กเวรนั่นๆ

“ทั้งเจ้าเด็กเวรนั่นก่อนจะจากไปยังทำให้ข้าตายใจ แสร้งเตือนข้าไม่ให้กลืนมันลงไป ต้องปาดเป็นผงก่อน คิดดูตอนนี้ นี่เป็นการยั่วยุข้าชัดๆ!”

ชายชรายิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ สุดท้ายก็ถอนหายใจยาว

“แต่ก็ต้องโทษนิสัยไม่ยอมแพ้ของข้านั่นล่ะ ข้ากลืนมันลงไปในคำเดียว…

“เจ้าว่าถ้านี่จะไม่ใช่ศัตรูของข้าแล้วจะใคร เข้าใจข้าถึงเพียงนี้ พุ่งเป้ามาที่นิสัยข้า ข้าจะต้องหาศัตรูของข้าคนนี้ให้พบ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!