บทที่ 742 ผู้เดินทางไกล หนทางยาวไกลเท่าดวงตะวันไปหาจันทรา
สวี่ชิงได้พบสหายเก่าที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณแล้ว จากนั้นเขาก็กลับไปที่เขตปกครองผนึกสมุทร เวลาก็ล่วง ไปอีกหนึ่งเดือน
หนึ่งเดือนนี้ แดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์รวมถึงแดนใหญ่วิญ ญาณทมิฬครึ่งหนึ่งก็จัดสรรอำนาจเสร็จสิ้นด้วยกลยุทธ์ของ โหวเหยาและนายท่านเจ็ด กลายเป็นหนึ่งเดียวกันโดยพื้นฐานแล้ว
ขณะที่เขตปกครองผนึกสมุทรคอยบริหารจัดการให้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็มีการสร้างสะพานขนาดใหญ่ขึ้น มา 17 แห่งที่แม่น้ำเซ่นทมิฬชายแดน แดนใหญ่เซ่นจันทรา สะพานขนาดใหญ่เหล่านี้พาดข้ามแม่นํ้าเชื่อมคลื่น ศักดิ์สิทธิ์และเซ่นจันทราให้ถึงกัน
นับจากนั้นนอกจากการขนส่งทางแม่นํ้า กลุ่มพ่อค้าที่
มาจากทั้งสองแดนใหญ่จะมีการขนส่งทางบกเพิ่มขึ้นอีกทาง
สิ่งนี้สำหรับผู้บำเพ็ญระดับตํ่า ถือว่าสะดวกขึ้นมาก ค่ายกลส่งข้ามก็สร้างและเชื่อมถึงกัน ดังนั้นในระดับหนึ่ง พื้นที่ที่อยู่ในความครอบครองสวี่ชิงทางใต้ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ทั้งในทางตรงและทางอ้อมมีถึงสองแผ่นดินกับอีกครึ่ง
ขั้วอำนาจเช่นนี้ พบเห็นในเผ่าต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่ ต้องประสงค์ไม่มากนัก
สำหรับเผ่ามนุษย์ในตอนนี้ เหนือกว่าเจ้าครองนครแล้ว ทำให้ต่างเผ่าสั่นสะท้านกันไม่น้อย
และขณะเดียวกัน การขยายของอาณาเขตก็ทำให้เขต ปกครองและมณฑลต่างๆ มีการแบ่งอำนาจกันใหม่ ในบรรดา นี้หลักๆ คือโยกย้ายบุคคลากร ซึ่งส่วนใหญ่จะมาจากเขต ปกครองผนึกสมุทร
ต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ดังนั้น เรื่องการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจึงราบรื่นเป็นพิเศษ สุดท้าย ก็จัดตั้งจวนดินแดนขึ้น
สวี่ชิงถูกเลือกให้เป็นเจ้าดินแดน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ พลังบำเพ็ญแต่อย่างใด เป็นเพราะมีแต่เขาที่มีสัมพันธ์กับแดน ใหญ่เซ่นจันทรา กดดันต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกัน ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากนักบวชเผ่าฟ้าทมิฬ
หากเป็นคนอื่น เซ่นจันทรา คลื่นศักดิ์สิทธิ์และฟ้าทมิฬ คงยากที่จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
และการบริหารปกครองแดนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว บางครั้งก็ใช้เจตจำนงของคนคนเดียวชี้นำไม่ได้จึง จัดการประชุมหารือในจวนดินแดน
โหวเหยา จักรพรรดิสามรัฐของคลื่นศักดิ์สิทธิ์และ ศาสดาโหยวซางอีกทั้งตัวแทนฝ่ายเซ่นจันทรา รวมถึงเผ่าขั้ว อำนาจไม่ธรรมดาบางส่วนในแดนใหญ่ ล้วนรับหน้าที่เป็น ผู้เข้าร่วมการประชุมหารือนี้
พวกเขาจะสรุปการประชุมที่เกี่ยวข้องกับแดนใหญ่ทั้งสอง จากนั้นก็มอบให้สมาชิกอาวุโสที่ตำแหน่งสูงกว่า
จำนวนสมาชิกอาวุโสมีไม่มากนัก ประกอบด้วยต้ากงคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสเก้ารวมถึงกรมบวงสรวงฟ้าทมิฬที่ถูก
ผ้าห่อไว้ทั้งตัวคนหนึ่งรับผิดชอบ นอกจากนั้นนายท่านเจ็ดก็ถูก เลือกให้เป็นสมาชิกอาวุโสเช่นกัน
หลังจากพวกเขาทั้งสี่ จะเป็นรัฐทายาทรวมถึงสวี่ชิง ด้วยโครงสร้างเช่นนี้ แดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ แดนใหญ่เซ่นจันทรา แดนใหญ่วิญญาณทมิฬอีกครึ่งหนึ่งก็เริ่มฟื้นฟูขึ้น มาได้อย่างแท้จริง ส่วนความแข็งแกร่งที่เกิดจากการร่วมมือ กันระหว่างพวกเขาก็มากพอที่จะปกป้องตนเองได้ จากนั้น การเดินทางไกลจึงใกล้จะเริ่มขึ้น สวี่ชิงและหนิงเหยียนจะเดินทางไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ มนุษย์ที่แดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
การเดินทางครั้งนี้ ต่างจากครั้งที่สวี่ชิงกับนายกองลอบ เข้าไปในแดนใหญ่เซ่นจันทรา ตอนนั้นพวกเขาจำเป็นต้องพรางตัว อีกทั้งตำแหน่งฐานะก็ไม่เหมือนกับบัจจุบัน
ตอนนี้สถานะรวมถึงขั้วอำนาจที่สวี่ชิงเป็นตัวแทน ล้วน ทำให้เขาไปเพียงลำพังไม่ได้
ดังนั้นการเดินทางของเขาต้องมีเหล่าองครักษ์ไปด้วย
ผู้ครองกระบี่จากเขตปกครองผนึกสมุทรผ่านสงคราม มาหลายครั้ง จึงติดตามไปยังแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิด้วย โดยมีหลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่รับหน้าที่เป็นผู้นำทัพ ด้วยตัวเอง
ซ่งเสียงหลงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ที่ร่วมเดินทางไปด้วยยังมีจื่อเสวียน และเดิมทีอู๋เจี้ยนอูก็ ไม่ได้อยากไป แต่ทัดทานการรบเร้าของหนิงเหยียนไม่ไหว จึง ฝืนใจร่วมทางไปด้วย
แน่นอนว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่ขาดไปไม่ได้ ก็คือนายกองนั่นเอง
ด้วยการดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอนทั้งหมดในแดน ใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาทั้งคณะก็เริ่มออกเดินทางไปยังแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิเช่นนี้
ส่วนแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิก็อยู่ไกลจากแดน ใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เนื่องจากจักรพรรดิโบราณเสวียน โยวรวมต้องประสงค์จนเป็นหนึ่ง ตำแหน่งของมันจึงตั้งอยู่ใจกลางแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
เมื่อก่อนที่นั่นได้รับการเคารพบูชาจากเผ่าต่างๆ เป็น จุดสูงสุดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ยิ่งเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นไม่ได้แค่มีความหมายพิเศษเท่านั้น ลักษณะภู มิประเทศก็ยังแตกต่างออกไปด้วย
หากจะเดินทางในเส้นทางทั่วไป ต้องใช้เวลายาวนาน รวมถึงต้องผ่านอาณาเขตขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์ต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน ยากลำบากอย่างยิ่ง
ดังนั้นหากจะไปยังแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่เพียงต้องส่งข้ามในระยะไกลหลายครั้ง ยิ่งต้องมีเส้นทางที่ เหมาะสม
เส้นทางนี้ มีมาตั้งแต่ยุคสมัยจักรพรรดิโบราณ เป็นถนน โบราณสายหนึ่ง
ดินแดนปิดล้อมของเผ่ามนุษย์ทั้งเจ็ดแห่งก็สร้างขึ้นบน ถนนโบราณนี้ นี่จงเป็นสาเหตุที่กองทัพองค์ชายเจ็ดรวมถึง อ๋องเทียนหลันเดินทางจากแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิมาถึงแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาสั้นๆ
แต่หากจะใช้ค่ายกลส่งข้ามขั้นสูงของดินแดนปิดล้อมทั้ง เจ็ด ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งสองฝั่งถึงจะใช้ได้ การส่งข้ามฝั่งเดียวไม่อาจทำได้ ดังนั้นฝั่งที่เดินทางมาจากแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ จึงใช้ค่ายกลส่งข้ามคนละที่กับฝั่งที่เดินทางไปแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ
ฝ่ายหน้ามีอำนาจสั่งให้เขตปกครองทั้งหมดที่เดิน ทางผ่านเตรียมตัวและเปิดใช้ค่ายกลส่งข้ามโดยไวที่สุดได้ ยิ่ง มีอำนาจมองข้ามการควบคุมทั้งสองฝั่ง แค่ฝ่ายหลังนั้นไม่มีอำนาจที่ว่า และทุกครั้งที่ใช้การส่งข้ามขั้นสูงข้ามแดนเช่นนี้ ล้วน ต้องใช้เวลานานในเตรียมพร้อม ค่าใช้จ่ายก็น่าหวาดหวั่น ทั้งหมดนี้พวกสวี่ชิงต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ
โชคดีที่พวกเขามีพระราชโองการ อีกทั้งฐานะของแดน ใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ก็ไม่เหมือนเดิม การติดต่อจึงราบรื่น อย่างยิ่ง
ส่วนค่ายกลส่งข้ามเช่นนี้ในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ย่อม มีอยู่เช่นกัน เดิมถูกสร้างไว้ที่มณฑลสงบเงียบของเขตปกครอง ผนึกสมุทร กินอาณาเขตไปเกือบครึ่งมณฑล
มันถูกเปิดใช้ไปเพียงครั้งเดียวในช่วงหลายปีมานี้
นั่นก็คือการมาเยือนขององค์ชายเจ็ด และมีเพียงเขาที่ มีอำนาจในตอนนั้น
หลังจากนั้นค่ายกลส่งข้ามขั้นสูงนี้ก็ถูกปล่อยให้ ทรุดโทรมไประยะหนึ่งด้วยองค์ชายเจ็ดยังไม่ยอมจากไป จึงสร้างแห่งที่สองในแดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
ยามที่อ๋องเทียนหลันมาเยือน ก็ใช้ค่ายกลส่งข้ามที่องค์
ชายเจ็ดสร้างขึ้นมาแห่งนั้น
ตอนนี้พวกสวี่ชิงยืนอยู่บนค่ายกลส่งข้ามขนาดมโหฬาร ที่องค์ชายเจ็ดสร้างขึ้น
ขนาดของค่ายกลนี้ใหญ่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งมณฑล มองไปไม่เห็นขอบค่ายกล พื้นถูกปูด้วยหยกสีเขียวที่สลักอักขระไว้นับไม่ถ้วนทั้งสิ้น
จากการที่หยกสีเขียวเปล่งแสงออกมา จากการที่อักขระ กะพริบวูบวาบ เสียงครืนครันสะท้านฟ้าสะเทือนดินกึกก้อง ไปทั่วสารทิศราวสายอัสนี ค่ายกลขนาดมโหฬารแห่งนี้ก็ถูก แสงเจิดจ้าปกคลุม
แสงสว่างเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ ขณะที่พร่างพราย ทิ่มแทงดวงตา ค่ายกลก็โคจรเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่ค่ายกลนี้ใกล้จะทำงาน ในกลุ่มคน สีหน้านายกอง เฝ้ารอเสียเต็มประดา สำหรับการเดินทางไปแดนใหญ่ เมืองหลวงจักรพรรดิครานี้ เขาเตรียมแผนไว้แล้ว
‘ชาตินี้ยังไม่เคยไปแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิมาก่อน แม้ชาติก่อนๆ จะไปมาสองสามครั้ง แต่ทุกครั้งก็ปล้น สุสานพลาดตลอด ลองดูว่าครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่’
นายกองเสียริมฝีปาก ดวงตาฉายแววคลุ้มคลั่ง
อู๋เจี้ยนอูที่ยืนอยู่ข้างๆ นายกองมองเห็นแววตาของเขา เขาแค่นเสียงเย็น เชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง
“ทะเลเพลิงเดือดพล่านจิตหาญกล้า ข้าไปเมือง จักรพรรดิสักการะวีรชน!”
ครั้งนี้ที่เขาตกลงไปกับหนิงเหยียน เหตุผลหลักคือเขา อยากเห็นวังของจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว ไปดูว่าที่นั่นมีร่องรอยบทกลอนของจักรพรรดิโบราณหรือไม่
เขาเชื่อว่ากลอนของตนมาถึงคอขวดแล้ว เขาต้องไปตามหาร่องรอยของจักรพรรดิโบราณให้มากกว่านี้ และ ทำให้ตนเดินตามรอยจักรพรรดิโบราณที่ชื่นชมได้อย่างแท้จริง คิดถึงตรงนี้ ดวงตาอู๋เจี้ยนอูก็เปล่งประกาย หนีงเหยียนสังเกตเห็นแสงในดวงตาของนายกองกับอู๋เจี้ยนอู แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ สภาพจิตใจเขาตอนนี้ปั่นป่วนไม่น้อย ทอดถอนใจอย่างยิ่ง
คิดถึงสาเหตุที่ตนแอบหนีออกมาในตอนนั้น คิดถึง เมืองหลวงจักรพรรดิที่เยือกเย็นแห่งนั้น ความจริงใช่ว่าเขา จะอยากอยากกลับไป แต่เห็นได้ชัดว่าไม่กลับไปไม่ได้ ‘มีลูกพี่อยู่ ข้าน่าจะไม่เป็นไร’
หนิงเหยียนสูดลมหายใจลึกๆ มองสวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ ด้วย สัญชาตญาณ
ข้างกายสวี่ชิง นอกจากจื่อเสวียนรวมถึงซ่งเสียงหลงแล้ว หลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่ก็อยู่ด้วย กำลังพูดคุยกับสวี่ชิง “เจ้าดินแดน การเดินทางไปแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิต้องส่งข้ามขั้นสูงถึงเจ็ดครั้ง ผ่านเขตปกครองเผ่ามนุษย์อื่นๆ หกแห่ง จนกระทั่งส่งข้ามเข้าไปในแดนใหญ่ เมืองหลวงจักรพรรดิเป็นครั้งสุดท้าย
“การส่งข้ามขั้นสูงนี้จะทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ดังนั้น หลังจากส่งข้ามทุกครั้งล้วนต้องพักผอนสักระยะถึงจะไปต่อได้ “ปลายทางการส่งข้ามครั้งแรกของพวกเราคือเขต ปกครองประชาสุขสงบ ตั้งอยู่ในแดนใหญ่เอ้าตง แดนใหญ่ แห่งนี้มืความขัดแย้งกับเผ่ามนุษย์เราไม่น้อย ดังนั้นเขต ปกครองประชาสุขสงบในความเป็นจริงจึงไม่ได้สุขสงบดังชื่อ มาหลายปีแล้ว”
หลังจากที่หลี่อวิ๋นซานรู้ว่าต้องรับผิดชอบ ความปลอดภัยตลอดการเดินทาง จึงศึกษาเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว คำพูดและสีหน้าเวลานี้เจือความสุขุมเอาไว้
“แต่บางครั้งเขตปกครองประชาสุขสงบกับเขตปกครอง ผนึกสมุทรของเราก็มีการไปมาหาสู่กัน การติดต่อครั้งนี้ก็ราบรื่นยิ่ง พวกเขาเปิดค่ายกลไว้แล้ว ทำให้พวกเราส่งข้ามไปได้
“จากนี้ ค่ายกลส่งข้ามกำลังจะเปิด”
“เพื่อความปลอดภัย การส่งข้ามครั้งนี้จะแบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือข้าจะพาผู้ครองกระบี่ออกไปก่อน กลุ่ม ที่สองคือคนข้างกายเจ้าดินแดน และท้ายสุดถึงจะเป็น เจ้าดินแดน’’
สวี่ชิงพยักหน้าให้อย่างสุภาพ เขาไม่ได้มีความเห็นอื่น กับลำดับที่หลี่อวิ๋นซานวางไว้ ยามนี้มองฟ้าดินที่คุ้นเคยผืนนี้ เกิดคาดหวังกับการเดินทางไปที่เมืองหลวงจักรพรรดิขึ้นมา
จื่อเสวียนที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มเล็กน้อย จับมือสวี่ชิงไว้ สวี่ชิงถอนสายตากลับมา ตอนที่มองไปทางจื่อเสวียน
แสงสีเขียวก็สาดส่องขึ้นมาจากค่ายกล เสียงครืนครันดัง สนั่นหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เริ่มส่งข้ามกลุ่มแรก
ลมที่โหมขึ้นจากการที่ค่ายกลส่งข้ามทำงาน พัดเส้นผม ของจื่อเสวียนจนปลิวสยาย ทำให้ดวงหน้างามงอนของนาง ส่องสะท้อนอยู่ในดวงตาสวี่ชิงอย่างชัดเจนยิ่ง
กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง ลมพัดเบาลง เสียงของจื่อเสวียน ดังขึ้นผะแผ่ว
“สวี่ชิง ข้าสังหรณ์ใจว่าการเดินทางไปเมืองหลวง จักรพรรดิครั้งนี้ จะมีความหมายมากสำหรับเจ้า”
จื่อเสวียนมองตาสวี่ชิง ยิ้มอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หาย ไปจากค่ายกลพร้อมกับพวกนายกองหนิงเหยียนท่ามกลาง แสงสีเขียวเจิดจ้าครั้งที่สอง
สุดท้าย ทั้งค่ายกลนี้ก็เหลือเพียงสวี่ชิงผู้เดียว
เขาสูดลมหายใจลึกๆ มองไปบนท้องฟ้า
กลางท้องฟ้า ร่างของผู้อาวุโสเก้าเดินออกมา จ้องมอง
สวี่ชิง
เขาไม่มีทางไปเมืองหลวงจักรพรรดิกับสวี่ชิง หากอยาก ให้เหยี่ยวเติบใหญ่ จะให้เอาแต่อยู่กับผู้ดูแลไม่ได้ บางครั้งต้อง ปล่อยมือบ้างถึงจะพัฒนา
เหตุผลนี้ เขาเคยบอกกับสวี่ชิงไปแล้ว สวี่ชิงเข้าใจ ประสานหมัดคารวะไปทางท้องฟ้า จากนั้นก็ คารวะไปทางเขตปกครองผนึกสมุทร
แสงสีเขียวเจิดจ้าพร่างพราย กลายเป็นทะเลแสงกลืน ทุกสรรพสิ่ง
เนิ่นนานจากนั้น จากการที่ทะเลแสงสลายไป จากการที่ค่ายกลสงบลง ร่างของสวี่ชิงก็หายไปจากในค่ายกล ผู้อาวุโส เก้าหันกาย เดินไปทางเซ่นจันทรา ขณะเดียวกันในหอของเมืองหลวงเขตปกครองผนึกสมุทร นายท่านเจ็ดยืนอยู่ตรงนั้น มองไปทางทิศค่ายกลส่งข้าม ความรู้สึกเหมือนส่งลูกๆ เดินทางไกลทำให้สีหน้าค่อนข้างห่อเหี่ยว
“เจ้าใหญ่รนหาที่ตายอยู่หลายชาติ น่าจะรับรู้ความลึก ตื้นหนาบางของเมืองหลวงจักรพรรดิ จึงไม่ต้องห่วง หาก จะรนหาที่ตายอีก เช่นนั้นก็ปล่อยให้ตายๆ ไปเสีย”
“แต่เจ้าสี่…ก็ควรไปเมืองหลวงจักรพรรดิสักรอบหนึ่งจริงๆ”
“มีประวัติศาสตร์ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์บางอย่างที่ให้เขาได้ไปเห็นเองที่เมืองหลวงจักรพรรดิจะเข้าใจ ลึกซึ้งกว่าการที่ข้าบอก”
“โดยเฉพาะ เรื่องที่เกี่ยวกับเซียนคิมหันต์”
นายท่านเจ็ดพึมพำ หลับตาลง



