Skip to content

Outside Of Time 870

Outside of Time
BC

บทที่ 870 พบเจ้าผู้ครอง

เมื่อแผ่นหยกลอยมา สวี่ชิงมีสีหน้าเย็นชา ไม่ได้ยื่นมือไปรับ แต่ปล่อยเส้นวิญญาณแทงทะลุแผ่นหยกและทำลายมันทันที

C

หากคนอื่นได้เห็น คงต้องตกใจและคิดว่าสวี่ชิงกำลังบันดาลโทสะ

แต่เทียนโม่จื่อในฐานะหนึ่งในอัจฉริยะฟ้าประทาน ได้สังเกตเห็นบางอย่างตั้งแต่ก่อนสวี่ชิงจะลงมือ ดังนั้นเขายังคงแสดงความเคารพและพูดว่า

“จี้ตงจื่อเจ้าคนชั่วช้านั่น เดิมทีมีเป้าหมายเป็นพยัคฆาคีรี แต่ไม่รู้ว่าเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้น จึงไปยังที่ที่รถผีอยู่ตั้งแต่เดือนที่แล้ว”

“จากการสืบสวนของข้า ตอนนี้มีผู้บำเพ็ญที่กำลังแย่งชิงรถผีจำนวนมาก ในอดีตมีฝานซื่อซวงไอ้สารเลวคนนั้นเป็นหลัก แต่เมื่อไอ้เดรัจฉานใจมารจี้ตงจื่อเข้าร่วม ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

“แต่ฝานซื่อซวงคนน่ารังเกียจนั้นเป็นพวกใจโฉด มหกรรมล่าเหยื่อครั้งนี้มันต้องเตรียมการลับไว้แน่ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากที่ไอ้ปีศาจร้ายจี้ตงจื่อเข้าไปในป่าเร้นลับรถผีแล้ว ก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย”

“มีความเป็นไปได้สูงที่สุนัข 2 ตัวนี้กำลังห้ำหั่นกันอยู่”

เทียนโม่จื่อไม่ปกปิดสิ่งใด บอกเล่าทุกอย่างที่เขารู้ และใช้ถ้อยคำต่างๆ ไม่ซ้ำกันในการโจมตี 2 คนที่เคยต่อสู้กับสวี่ชิง

แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ว่าเขามีจุดยืนเดียวกับสวี่ชิง

และเหตุผลที่เขารู้เรื่องนี้อย่างละเอียด ก็เพราะว่าเขาตั้งใจจะเข้าไปในป่าเร้นลับรถผีเช่นกัน

ส่วนเวลา ก็คือหลังจากที่จี้ตงจื่อและฝานซื่อซวงบาดเจ็บสาหัสแล้ว

พูดจบแล้ว เพื่อความปลอดภัย เทียนโม่จื่อคิดว่าสวี่ชิงเป็นทูตเทวะของตำหนักเทพซิงเหยียน จึงปล่อยกลิ่นอายของตำหนักเทพซิงเหยียนออกมา…

สวี่ชิงมีสีหน้าสงบ ขณะที่เส้นวิญญาณทะลุแผ่นหยก แม้ว่าจะทำลายมันไปแล้ว แต่สวี่ชิงก็ได้ตรวจสอบข้อมูลภายในผ่านเส้นวิญญาณแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่สอดคล้องกับสิ่งที่เทียนโม่จื่อพูด

ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำโจมตีของอีกฝ่าย หรือการปล่อยกลิ่นอายตำหนักเทพซิงเหยียน สวี่ชิงล้วนเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ อีกฝ่ายกำลังบอกเป็นนัยว่าเขาเป็นพวกเดียวกับตน

ดังนั้นสวี่ชิงจึงมองเทียนโม่จื่อด้วยสายตาลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่อีกฝ่ายส่งมา หรือสถานะของผู้บำเพ็ญซิงเหยียน ล้วนแต่ทำให้สวี่ชิงฆ่าเขาไม่ลง

ที่สำคัญที่สุดคือตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำเรื่องรนหาที่ตายเลย

ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่เก็บมาคิด แล้วเดินไปข้างหน้า

เขาเดินผ่านเทียนโม่จื่อ มุ่งหน้าไปยังที่ห่างไกลเบื้องหน้าทันที

ในพริบตาเดียว ก็ไปถึงขอบฟ้าแล้ว

เมื่อเขาจากไป เทียนโม่จื่อก็โล่งใจ หันมองตามทิศทางที่สวี่ชิงจากไป ในใจรู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตาย พร้อมกับความรู้สึกที่ซับซ้อน

“การต่อสู้ระหว่างสวี่ชิงกับจี้ตงจื่อก่อนหน้านี้ น่าจะไม่ใช่การซ่อนเร้นความสามารถ น่าจะอ่อนแอกว่าจี้ตงจื่อจริงๆ”

“แต่ใน 2 เดือนนี้ พลังของคนผู้นี้ก็ก้าวหน้าขึ้น อัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ การบุกทะลวงแต่ละครั้งมักนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าสะเทือนดินเสมอ”

“ส่วนหมอกสีเทานั้น…การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเขตต้องห้ามนพกาฬเมื่อไม่นานมานี้ ต้องเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้โดยตรง”

“และเขานำหมอกสีเทาของเขตต้องห้ามนพกาฬออกมา และควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ…”

เทียนโม่จื่อรู้สึกหนักใจ เขารู้ความหมายของเรื่องนี้ และเกิดความคิดที่เขาไม่กล้าเชื่อถือขึ้นมา

“หรือว่า เขาควบคุม…นพกาฬ!”

คิดถึงได้ดังนั้น เทียนโม่จื่อก็สูดหายใจเข้าลึก เขารู้สึกว่ามหกรรมล่าเหยื่อครั้งนี้ อันดับสุดท้ายอาจจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของเผ่านภาคิมหันต์อีกต่อไป

“ด่านแรกได้อันดับ 1 ด่านที่ 2 ก็ได้อันดับ 1 ถ้าด่านที่ 3 ยังได้อันดับ 1 อีกล่ะก็…”

“มหาขุนพลนภาทมิฬ!

เทียนโม่จื่อตกใจ

เผ่านภาคิมหันต์ ไร้มหาขุนพลนภาทมิฬมานานมากแล้ว

ครั้งสุดท้ายคือเมื่อหมื่นปีก่อน

“ถ้าครั้งนี้มีมหาขุนพลนภาทมิฬจริงๆ…”

เทียนโม่จื่อรู้สึกตื่นเต้น ความคิดพุ่งพล่านยิ่งขึ้น หลังจากนั้นไม่นาน สายตาของเขาก็ฉายแววเด็ดขาด ไม่ได้เหาะไปยังพื้นที่อื่น แต่ตามสวี่ชิงไป และตะโกนว่า

“พี่สวี่ชิง จี้ตงจื่อและฝานซื่อซวงเป็นคนชั่วช้าสามานย์ อาจจะร่วมมือกันท้ายที่สุด เพื่อไม่ให้พี่สวี่ชิงต้องลำบาก ข้าขอร่วมมือด้วย เพื่อช่วยพี่สวี่ชิง!”

พูดจบ เขาก็เร่งความเร็วขึ้น

สวี่ชิงเลิกคิ้วขึ้น มองเทียนโม่จื่ออีกครั้ง ในใจได้ยินเสียงเตือนจากบรรพจารย์สำนักวัชระ

“นายท่าน คนผู้นี้ไม่ปกติ ต้องมีแผนการเป็นแน่ นายท่าน ข้าขอแนะนำให้ฆ่าเจ้าคนมากเล่ห์นี่ทันที!”

สวี่ชิงไม่สนใจคำพูดของบรรพจารย์สำนักวัชระ เขามองเทียนโม่จื่อแล้วหรี่ตาลง ไม่ได้ปฏิเสธหรือเห็นด้วย หันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังที่ที่รถผีอยู่

เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงไม่ปฏิเสธ เทียนโม่จื่อก็รู้สึกดีใจ และเลือกที่จะตามหลังไป

ระหว่างทาง เพื่อสร้างความประทับใจที่ดีให้กับสวี่ชิง เทียนโม่จื่อจึงบอกข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินใหญ่ผืนคีรีอย่างละเอียด ซึ่งมีหลายอย่างที่หาซื้อไม่ได้จากภายนอก และเป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงได้รู้

เช่น นิสัยของสัตว์ประหลาดบางชนิด หรือสถานที่อันตรายที่ซ่อนอยู่ในป่าฝน ฯลฯ

ทั้ง 2 คนพุ่งตรงไปข้างหน้าเช่นนี้ ระยะห่างจากที่ที่รถผีอยู่ร่นระยะเข้ามาเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกัน ในพื้นที่วงแหวนบนของแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี ในป่าฝนที่พยัคฆาคีรีอาศัยอยู่ การไล่ล่าที่ดำเนินมานานหลายเดือนก็ยังคงดำเนินต่อไป

แต่ไม่เหมือนกับตอนที่จี้ตงจื่อไล่ล่าสวี่ชิง สวี่ชิงเดินทางไกลหลายพันลี้ ทว่าการไล่ล่าที่เกิดขึ้นในวงแหวนบนนั้น เกิดขึ้นในพื้นที่อยู่อาศัยของพยัคฆาคีรีตลอดเวลา

ผู้ถูกไล่ล่าคือเอ้อร์หนิว

คนที่ไล่ล่าคือเหยียนเสวียนจื่อ

เอ้อร์หนิวหลอกล่อเหยียนเสวียนจื่อให้วิ่งวนไปมาในพื้นที่ของพยัคฆาคีรี ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งยังพูดจาถากถาง

“ยังไม่เลิกราอีกหรือ ข้าแค่ขัดขวางการครอบครองของเจ้าก็เท่านั้น แล้วก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนประหลาดหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง เจ้าต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ!”

“เอาเถอะ เอาเถอะ เลิกตามข้าสักทีได้ไหม ข้าจะแนะนำคู่ฝึกเต๋าให้เจ้าเป็นไง”

“ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้ามีศิษย์น้องเล็ก…”

เมื่อนายกองพูดจบ เหยียนเสวียนจื่อก็ยกมือขึ้นทันที พลังสะกดเทียบเท่ากับมหาขั้นเตรียมสู่เทวะพุ่งออกมาจากมือของเขาอย่างโกรธแค้น กดทับร่างเอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างหน้า

ท่ามกลางเสียงคำราม ผืนฟ้าถล่มทลาย ร่างกายของเอ้อร์หนิวพลันแตกสลาย แต่ในทันทีนั้นเอง ก็มีหนอนสีน้ำเงินตัวหนึ่งบินออกมาจากดินโคลนในระยะไกล และกลายเป็นร่างใหม่ของเอ้อร์หนิวอย่างรวดเร็ว และวิ่งหนีต่อไป

แต่ในใจของเอ้อร์หนิวก็กำลังร้องไห้ แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น แต่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาก็ทุกข์ทรมานเหลือเกิน ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เขารู้สึกว่าเขาจะต้องแหลกสลาย

“ศิษย์น้องเล็กยังไม่มาอีกหรือ”

ในขณะที่เอ้อร์หนิวรู้สึกกังวล ในพื้นที่วงแหวนล่างของแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี นอกป่าฝนทะมึน มีเงา 2 เงาพุ่งเข้ามาจากท้องฟ้า

“พี่สวี่ชิง ที่นี่คือป่าเร้นลับรถผีแล้ว”

“สัตว์ร้ายในที่นี้ส่วนใหญ่เป็นพวกประหลาด ดุร้ายมาก รูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว ไม่มีวิธีการป้องกันตัวใดที่ได้ผลเลย”

“เผ่ารถผีอาศัยอยู่ที่นี่ พวกมันกินสิ่งประหลาดเป็นอาหาร พลังต่อสู้สูงมาก บางตัวที่แข็งแกร่งมากเทียบได้กับมหาขั้นเตรียมสู่เทวะ ดังนั้นการมาที่นี่เพื่อจับรถผีตัวเล็กๆ จึงเสี่ยงมาก”

เทียนโม่จื่อเหลือบมองสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว และพูดเบาๆ

สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น มองไปที่ผืนป่าที่ต่างจากที่อื่นๆ ต้นไม้ที่นี่เป็นสีดำ เช่นเดียวกับท้องฟ้า เมฆดำแผ่ขยายไปทั่ว สายฟ้าสีแดงแลบแปลบปลาบระหว่างเมฆ และฟาดลงมาเป็นครั้งคราว ก่อเกิดเสียงคำรามรุนแรง

และในป่าเร้นลับ ความน่าสะพรึงกลัวและเร้นลับแผ่ซ่านชัดเจน แม้แต่ภายนอกยังรู้สึกได้ว่าวิญญาณถูกดูดกลืน ราวกับว่าป่าเร้นลับแห่งนี้เป็นกระแสน้ำวนล่องหน คอยดูดกลืนวิญญาณทุกสรรพสิ่ง

บางครั้งก็เห็นเงาของผู้บำเพ็ญบางคน เดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ในป่า อย่างไร้ชีวิตชีวา

“พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญที่ตายที่นี่เมื่อเร็วๆ นี้ วิญญาณจะถูกกลืนกิน ร่างกายถูกป่าเร้นลับฟื้นคืนชีพ และจะค้นหาวิญญาณของตัวเองไปเรื่อยๆ…จนกระทั่งร่างกายถูกต้นไม้ในที่นี้กัดกร่อน กลายเป็นปุ๋ย”

ถ้อยคำของเทียนโม่จื่อเต็มไปด้วยความกลัวและความอดสู

“นอกจากนี้ ที่นี่ยังกว้างใหญ่ จี้ตงจื่อไอ้สารเลว และฝานซื่อซวงไอ้ชาติชั่ว ทั้ง 2 คนซ่อนตัวอยู่ในนี้มานานแล้ว เราเข้าไปหา ก็เหมือนกับอยู่ในที่แจ้ง อาจจะเจอกับการพลิกผันบ้าง”

พูดจบ เทียนโม่จื่อก็มองสวี่ชิงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงยังไม่มีปฏิกิริยาอะไร เขาก็กะพริบตาปริบๆ ยกมือขึ้นหยิบธูปขึ้นมาจุด

“แต่ข้าเตรียมตัวไว้แล้ว ผู้บำเพ็ญทุกคนที่ต้องการเข้ามาที่นี่เพื่อจับรถผี จะซื้อธูปศักดิ์สิทธิ์นี้จากตำหนักเทพ เพื่อปกป้องวิญญาณ จึงสามารถเข้าไปในป่าได้ในระดับหนึ่ง”

“ข้ามีอีก 7 หรือ 8 ก้าน น่าจะเพียงพอแล้ว”

สวี่ชิงละสายตาออกจากป่าเร้นลับรถผี มองมาทางเทียนโม่จื่อที่อยู่ข้างกาย

“เจ้าไม่ต้องทดสอบแล้ว”

เทียนโม่จื่อหัวเราะแห้งๆ คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะเป็นการแนะนำ แต่แท้จริงแล้วเป็นการทดสอบ เขาอยากรู้ว่าความสามารถพิเศษที่ทำให้สัตว์ร้ายยอมสยบของสวี่ชิง ยังมีประสิทธิภาพในที่แห่งนี้หรือไม่

สวี่ชิงไม่สนใจเทียนโม่จื่ออีกต่อไป เขารู้ว่าเรื่องที่เขาควบคุมนพกาฬนั้นปิดไม่มิดอยู่แล้ว และจะต้องมีคนล่วงรู้ในที่สุด ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปกปิดความสามารถ

ในขณะเดียวกัน เขาก็อยากรู้ว่านพกาฬที่เขาควบคุมได้นั้น สามารถทำอะไรได้บ้างในแผ่นดินใหญ่ผืนคีรี

ดังนั้น ขณะมองไปที่ป่าเร้นลับรถผีที่น่ากลัว สวี่ชิงก็พูดเบาๆ

“รถผี จงมา!”

เมื่อเขาพูดจบ พลังของนพกาฬก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของเขา แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า ครอบงำทุกสรรพสิ่ง

เมฆบนท้องฟ้าแตกสลาย สายฟ้าดับวูบ และหมุนวนกลับ กลายเป็นตาข่ายอัสนีสีแดง

เมื่อแผ่กระจายออกไป ต้นไม้ในป่าเร้นลับล้วนสั่นสะเทือน และโค้งคำนับลง

ในขณะเดียวกัน สิ่งประหลาดที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดต่างร้องครวญคราง ผู้ที่สัญจรไปมาอย่างไร้ชีวิตชีวาก็ล้มลงทันที ไม่ขยับเขยื้อน

เสียงคำรามของพงพีและพสุธาดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด ป่าเร้นลับรถผีก็เหมือนกับฟื้นคืนชีพทรงพลังจนน่าตกใจ

จากนั้น พลังที่น่าตกใจก็พุ่งขึ้นมาจากป่าเร้นลับที่สั่นสะเทือนนี้

ในทันทีนั้น สัตว์ร้ายรถผีแสนน่าเกลียดก็พุ่งทะยานออกมาจากป่าเร้นลับ

พวกมันมีขนาดต่างๆ กัน จำนวนมากถึง 100 ตัว พลังของพวกมันตั้งแต่สมบัติวิญญาณถึงมหาขั้นหวนสู่อนัตตา เมื่อปรากฏตัวขึ้น พวกมันก็ส่งเสียงคำราม และพุ่งเข้าหาสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกเรียกมา

ที่พวกมันผ่านไป ผืนฟ้าถล่มผืนดินทลาย พลังอันแข็งแกร่งสะเทือนขุนเขาไร้ใดเทียบเทียม เมื่อเข้าใกล้ สัตว์ร้ายรถผีเหล่านี้ดวงตาล้วนเปล่งแสง คุกเข่าลงต่อหน้าสวี่ชิง

ราวกับเห็นกษัตริย์ผู้ปกครอง

พลังของพวกมันแผ่กระจายออกไป เสียงคำรามดังกึกก้อง ฝุ่นละอองพัดผ่านทุกสรรพสิ่งราวกับพายุ

มีเพียงสวี่ชิงซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าพวกมันเท่านั้น ที่ยังคงสีหน้าเรียบเฉย

เทียนโม่จื่อนิ่งอึ้งอยู่กับที่

แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจยังไม่จบ

พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้น ผืนป่าสั่นไหว คลื่นความผันผวนที่สะพรึงน่ากลัว 3 คลื่นที่เหมือนกับมหาขั้นเตรียมสู่เทวะพุ่งขึ้นมาจากป่าเร้นลับ

พลังนี้รุนแรงเหลือคณา สะกดทุกสิ่ง ในพริบตาเดียว ก็มีสัตว์ร้ายรถผีขนาดใหญ่ 3 ตัวที่ปล่อยกลิ่นอายแห่งบรรพกาลออกมา ปรากฏตัวเหนือท้องฟ้า มองสวี่ชิง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เทียนโม่จื่อก็สูดหายใจเข้าเฮือก ขนลุกชัน เหงื่อผุดพราย

จากนั้น เสียงของสวี่ชิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ผู้บุกรุก จงปรากฏตัว”

เมื่อเขาพูดจบ พื้นดินก็สั่นสะเทือน ต้นไม้ในป่าเร้นลับแห่งนี้ต่างถอนรากจากพื้นดิน และกระจายตัวออกไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว

เปิดเผยผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเร้นลับแห่งนี้ และเตรียมการล่าด้วยวิธีการต่างๆ

พวกเขาทั้งหมดร่างกายสั่นสะท้าน เหงื่อกาฬผุดทั่วทั้งตัว หัวสมองขาวโพลน

เพราะเรื่องนี้เกินกว่าความเข้าใจของพวกเขา เข้าขั้นเทพปกรณัมก็ว่าได้

จากระยะไกล ยังมีผู้บำเพ็ญ 2 คนอยู่ห่างกันพันจั้ง กำลังเผชิญหน้ากัน

พวกเขาคือจี้ตงจื่อและฝานซื่อซวง

ทั้ง 2 คนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก หันไปมองทิศทางที่สวี่ชิงอยู่ เกิดคลื่นใต้น้ำในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!