บทที่ 908 แดนรกร้างที่ถูกทอดทิ้ง
ผ่านไป 1 ก้านธูป
สุดขอบซากแผ่นดินกินบริเวณ 7,000 จั้งที่เกิดจากพลังส่งข้ามอานุภาพมหาศาล เงาร่างสวี่ชิงกับนายกองค่อยเดินไกลออกไป
สุดท้ายเทพเจ้าทั้ง 3 ยังคงยอมให้พวกเขาจากไปเงียบๆ
กับเลือดเนื้อของเสี้ยวหน้า แม้เหล่าองค์ท่านรู้ว่านี่คือของวิเศษเลิศล้ำในต่ำใต้ มีประโยชน์กับตัวเองมากโข แต่ก็เหมือนกับสิ่งที่สวี่ชิงตระหนักรู้ นี่คือผลกรรมใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน
เป็นธรรมชาติของสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงของฝั่งนั้น
องค์ท่านทั้ง 3 ย่อมไม่ยินดีแปดเปื้อนผลกรรมเช่นนั้นในสถานการณ์ที่ตอนนี้แท่นเทวะพิสุทธิ์อยู่ตรงหน้า
อย่างไรเหล่าองค์ท่านก็เป็นเทพเจ้า
แต่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์คืออาหารของเสี้ยวหน้า มีชะตาถูกกลืนกินในภายหน้า
ทว่าเหล่าองค์ท่านไม่ใช่
ส่วนอุปสรรคสุดท้ายก็ถูกจักรพรรดิเหนือตัดขาดแล้ว นับแต่ชั่วเวลานั้น เหล่าองค์ท่านก็เป็นผู้สืบทอดเทพเจ้าอย่างแท้จริง
ต่อให้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์หายไป เหล่าองค์ท่านก็จะกลายเป็นเทพในสังกัดเสี้ยวหน้าหลังจากติดตามองค์ท่านสืบไป
แน่นอนว่าเหล่าองค์ท่านยังมีตัวเลือกอื่น อย่างเช่น…สังหารสวี่ชิงกับเอ้อร์หนิว ไม่ก็เอาโลหิตของเทพบิดรกลับมาและสังเวยกลับไป
ดังนั้น ขณะเงาร่างสวี่ชิงกับนายกองไกลออกไป นัยน์ตาเทพสุริยันบนฟ้ายังเย็นเยียบอยู่ตลอด สีหน้าองค์ท่านก็อึมครึมไม่เสื่อมคลาย
จิตสังหารขององค์ท่านยังอยู่
“พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไรกับวัวคลั่งตัวนี้”
เทพสุริยันเอ่ยคำราบเรียบ องค์ท่านกวาดตามองเทพจันทรากับเทพดารา สุดท้ายจับมองเทพจันทรา
นางนิ่งเงียบทอดมองไกลออกไป ไม่มีใครรู้ว่าองค์ท่านคิดอะไรอยู่
ส่วนปิ่นหงสาที่ลอยอยู่เบื้องหน้า องค์ท่านคล้ายไม่ได้มองเลยสักครั้ง
ทว่าเทพดาราที่ด้านข้างถือปิ่นหงสาอีกอันเล่นในมือครู่หนึ่ง รอยยิ้มกลับยกขึ้นมา
“2 คนนี้อย่างไรก็ถือว่าช่วยพวกเราครั้งหนึ่ง อีกอย่างการปรากฏตัวของพวกนั้นก็อยู่ในปัญญาของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องภายหลังวัวคลั่งตัวนั้นถึงกับอยู่เหนือความคาดหมายของเรา”
“น่าสนใจดีแท้ มิสู้ผูกมิตรไว้”
พอเทพดาราเอ่ยคำ เทพสุริยันมุ่นหัวคิ้ว
“เยว่เหยียนยังพอว่า ซิงเหยียนเจ้ากับกากเดนเศษสวะข้างกายวัวคลั่งนั่น…”
ไม่รอองค์ท่านกล่าวจบ นัยน์ตาหงสาของเทพดาราพลันเยียบเย็น เอ่ยแทรกคำองค์ท่าน เสียงก็เยือกลงในพริบตา
“เขาชื่อสวี่ชิง ไม่ใช่เศษสวะ และไม่ใช่กากเดน!”
เทพสุริยันหรี่ตา กำลังจะเอ่ยปากอีกครั้ง ทว่าเสียงเย็นของเทพจันทราทอดมา
“ไม่ต้องพูดคำไร้สาระเหล่านี้ ถ้าเจ้าอยากสังหารมนุษย์ชั้นต่ำนั่นก็ออกมือเลย ด้วยปัญญาของเจ้าย่อมมองเห็นผลลัพธ์อยู่แล้ว”
พูดจบ ร่างเทพจันทราเลือนหายไปไม่เห็นร่องรอย
ที่หายไปด้วยยังมีปิ่นหงสาเบื้องหน้าองค์ท่าน
เทพสุริยันเห็นเช่นนั้นแล้วนิ่งเงียบ
ปัญญาขององค์ท่านมองเห็นผลลัพธ์ได้จริง แต่ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงมากหลาย เพราะองค์ท่านไม่อาจเห็นการกระทำที่อาจเกิดขึ้นได้ของเทพจันทรากับเทพดารา ขณะเดียวกันก็เห็นฝ่ามือสีทองก่อนหน้านี้ในปัญญาไม่ชัดเจนเช่นกัน เหมือนอีกฝ่ายมีวิชาลับบางอย่างไว้กำบัง
เมื่อเป็นเช่นนั้นย่อมไม่อาจแน่ใจในบทสรุป
ส่วนทางด้านเทพดารา ยามนี้มองเทพสุริยันที่นิ่งเงียบอย่างล้ำลึก
“บทสรุปถูกกำหนดตั้งแต่คนผู้นั้นออกมือช่วยแล้วไม่ใช่หรือ”
“อีกอย่าง อาจารย์เขาก็มาแล้ว”
เสียงเทพดาราดังกังวาน ไม่เอ่ยคำใดอีก ร่างเลือนหายไปในฟ้าดินเช่นเดียวกัน แต่มีประโยคหนึ่งลอยมาตามสายลม
“แล้วก็ ข้าขอพูดอีกครั้ง เขาไม่ใช่เศษสวะ และไม่ใช่กากเดน เขาชื่อสวี่ชิง”
บนท้องนภา ยามนี้มีเทพสุริยันยืนตระหง่านอยู่ผู้เดียว ผ่านไปเนิ่นนาน องค์ท่านส่ายหน้า
เทพสุริยันถอนหายใจเบา องค์ท่านก็รู้ว่าแม้เหล่าองค์ท่านเดินบนเส้นทางเทพเจ้าเดียวกัน แต่อย่างไรต้นกำเนิดก็ต่างกับผู้เป็นเทพโดยกำเนิด
ก็เหมือนที่ชื่อหมู่มีอารมณ์ความรู้สึก
ความต่างมีเพียงกี่มากน้อยเท่านั้น
“ปัญญา ผู้ใดเล่าจะมีปัญญารอบรู้อย่างแท้จริง”
เทพสุริยันหลับตา ร่างเลือนหายไปบนม่านฟ้า
ขณะเดียวกัน ไกลออกไปหมื่นจั้ง สวี่ชิงกับเอ้อร์หนิวที่เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ยามนี้ยิ่งเพิ่มความเร็ว ยิ่งเหาะเหินขึ้นอากาศกลายเป็นสายรุ้ง
เหาะมา 3 วันเต็มถึงได้ลงบนภูเขาเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง
สวี่ชิงรีบตรวจดูรอบด้านแล้วจ้องมองท้องฟ้า ยามนี้ความรู้สึกบีบเกร็งผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
แม้ข้างในแน่ใจว่าโลหิตของเสี้ยวหน้ามีผลกรรม ทั้งเชื่อว่าอาจารย์ไม่มีทางสิ้นกำลังและโยนพวกเขาไว้ที่นั่นโดยไร้สาเหตุ ส่วนเทพจันทรากับเทพดารา นายกองกับตนก็ทำถึงที่สุดแล้ว
แต่อย่างไรทั้งหมดนี้ยังเหลือรู้ จนตอนนี้เขาถึงแน่ใจว่าเทพเจ้าทั้ง 3 ปล่อยพวกเขาไปจริงๆ
‘คงไม่เป็นไรแล้ว ตาเฒ่าโยนพวกเราไว้ที่นี่ ไร้ความรับผิดชอบยิ่งนัก หากไม่ใช่ข้ามีความสามารถบวกกับความสัมพันธ์ของอาชิงน้อยกับนางจิ้งจอก ครั้งนี้ก็จบเห่แล้ว!’
นายกองโล่งอก แอบกล่าวในใจ แต่ภายนอกเขาย่อมไม่แสดงความกลัว กลับเชิดคางทำหน้าภูมิใจ
“ศิษย์น้อง เป็นไงบ้าง ยอมแพ้หรือไม่!”
“แต่ข้าต้องตำหนิเจ้า คำพูดตอนเจ้ามอบปิ่นหงสาก่อนหน้านี้แข็งทื่อเกินไป โดยเฉพาะคำเรียก ยิ่งแข็งเหมือนปุ่มไม้อวี๋[1]”
“จุดนี้เจ้าต้องเรียนกับข้าให้ดี ต้องใส่ความรู้สึก ต้องทำให้อีกฝ่ายคิดว่าเจ้าเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนที่พร้อมบุกถึงขอบฟ้าเพื่อความรัก”
“มา ข้าสอนเจ้า เจ้าต้องพูดแบบนี้ ‘ดาวดวงน้อยยอดยาหยีผู้เป็นที่รักเพียงหนึ่งเดียวของข้า’ มา พูดสักรอบเผื่อไว้ใช้ทีหลัง”
นายกองเอ่ยคำออกมา สวี่ชิงอดนึกถึงคำที่นายกองเรียกตัวเองว่าหนิวหนิวก่อนหน้านี้ไม่ได้ สีหน้ายังคงเหยเกอย่างไม่อาจควบคุม มีความรู้สึกขนลุกบางประการ
เห็นท่าทางที่สวี่ชิงปฏิเสธ นายกองไม่เห็นด้วย
“อาชิงน้อย เจ้าอ่อนหัดเกินไป นึกถึงข้ากับพี่สะใภ้เจ้าตอนนั้น ข้าเรียกนางเยว่เยว่น้อย นางเรียกข้าหนิวหนิวที่รัก ช่วงเวลานั้น…”
สวี่ชิงกระแอมไอ เขาฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เห็นนายกองยังอยากถ่ายทอดวิชา จึงขัดความเคลิบเคลิ้มของเขา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ด้านอาจารย์เหมือนจะเอาเลือดเนื้อเสี้ยวหน้ามา 2 ก้อนใหญ่…”
หัวข้อที่สวี่ชิงเบี่ยงประเด็นใช้ได้ผลกับนายกองอย่างยิ่ง ยามนี้เมื่อได้ยินเขาก็ได้สติทันที นัยน์ตาฉายประกายเด่นชัด
“ถูกต้อง ข้าเองก็สังเกตเห็น ไม่ได้การ พวกเราต้องรีบกลับเผ่ามนุษย์ไปดีดดิ้นโวยวายกับตาเฒ่า แย่งเอามาสักหน่อย”
“ดีดดิ้นโวยวายอาจไม่ได้ผลเท่าไร ไม่สู้หาวิธีล่อหลอก” สวี่ชิงขยิบตา
นายกองฟังแล้วรู้สึกมีเหตุผล จึงเริ่มใช้สมองครุ่นคิดแผนต่างๆ มาหลอกนายท่านเจ็ด
เห็นนายกองเป็นปกติ หูสวี่ชิงกลับมาเงียบสงบในที่สุด เขาเงยหน้าทอดมองไปยังเผ่ามนุษย์ ในหัวปรากฏเงาร่างจื่อเสวียนรวมถึงกลุ่มคนในแดนใหญ่เมืองหลวงจักรพรรดิ
‘ได้เวลากลับแล้ว’
ครั้งนี้เขากับนายกองไม่ได้ออกมานานนัก แต่กลับเกิดเรื่องราวมากมาย ตอนนี้ทุกอย่างจบลง ความคิดอยากกลับบ้านก็เด่นชัดขึ้น
แต่ก่อนกลับไป ยังมีเรื่องหนึ่งต้องจัดการ
เรื่องนี้คือเหตุผลตั้งต้นที่เขามาเผ่านภาคิมหันต์
เดิมเรื่องนี้ดูไม่น่าเป็นไปได้เพราะพวกเขาได้เลือดเนื้อเสี้ยวหน้ามา แต่บัดนี้ท่าทีของเทพเจ้าทั้ง 3 ทำให้เรื่องนี้มีหวังอีกครั้ง
คิดถึงตรงนี้ นัยน์ตาสวี่ชิงฉายประกาย
‘ขุนพลนภา!’
ว่ากันถึงแก่น ชื่อนี้ยังคงเป็นในนามมหกรรมออกล่าของเผ่านภาคิมหันต์
แต่ในการย้ายภูเขารอบแรก สวี่ชิงอยู่อันดับ 1
แผ่นดินใหญ่ผืนคีรีรอบ 2 สวี่ชิงที่ได้จิ่วหลียังคงมีกำลังเหนือกว่ากลุ่มคนโดดเด่นจนได้เป็นที่ 1
ส่วนการล่าบนแผ่นดินเทวะในรอบที่ 3 แม้ภายหลังเกิดเรื่องราวมากมาย แต่…ไม่ว่าเทียนโม่จื่อหรือทั่วสือซานหรือฝานซื่อซวง หากสวี่ชิงบอกว่าตนเป็นที่ 1 คิดว่าคงไม่กล้ามาต่อสู้แย่งชิง
มีเพียงเหยียนเสวียนจื่อที่อาจไม่ยอมแพ้
‘ไม่เป็นไร ถ้านางไม่ยอม สู้จนยอมแพ้ก็สิ้นเรื่อง’
คิดถึงตรงนี้ ประกายเย็นฉายวาบในตาสวี่ชิง บนแผ่นดินเทวะเขาไม่ได้สนใจเหยียนเสวียนจื่อมากนัก ไม่รู้หลังจากเรื่องนั้นอีกฝ่ายจะสำเร็จขั้นเตรียมสู่เทวะหรือไม่
หากไม่ถึงขั้นเตรียมสู่เทวะ สวี่ชิงมั่นใจว่าแค่ยกมือก็เอาชนะอีกฝ่ายได้
หรือต่อให้บรรลุเตรียมสู่เทวะ ตราบใดที่ยังเป็นขั้นแรก สวี่ชิงพิเคราะห์ตัวเองว่าด้วยกำลังรบของตนในตอนนี้ก็ยังเอาชนะได้
ดังนั้นหลังเขาบอกทุกสิ่งที่คิดกับนายกอง นายกองตริตรองครู่หนึ่งแล้วแสดงออกว่าเห็นด้วย
แม้การทำเช่นนี้มีอันตราย แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปจัดการให้เสร็จสิ้น ดังนั้นเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดคิด พวกเขาหารือแล้วร่วมกันเตรียมทางหนีทีไล่ รวมถึงขนนกส่งข้ามที่เหลือไม่กี่เส้น
แม้ขนนกเหล่านี้ไม่ได้ถูกหลอมบูชา แต่บัดนี้ในกายทั้ง 2 มีโลหิตของเสี้ยวหน้า ใช้สิ่งนี้ไปหลอมสักหน่อยกลับจะมีอานุภาพไม่ธรรมดา
อีกอย่าง ศพจักรพรรดินั่นก็เป็นไม้ตายของพวกเขาเหมือนกัน
แม้ศพจักรพรรดิสภาพเละเทะ แต่อย่างไรนั่นก็เป็นร่างกายของจักรพรรดิเหนือ!
เพียงแต่เรื่องที่พวกเขาทำก่อนหน้านี้ใหญ่เกินไปโดยแท้ ดังนั้นต่อให้เตรียมตัวเท่าไรก็ยังไม่อาจทำให้พวกเขาสบายใจ
ยังดีที่นี่คือเผ่านภาคิมหันต์ ขอเพียงเทพเจ้าทั้ง 3 ไม่มีจิตสังหารกับพวกเขา ต่อให้เทพองค์อื่นมีใจละโมบก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามมาที่นี่ตอนนี้
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้
ไม่นานก็ผ่านไป 1 เดือน
ในเดือนนี้ เผ่าแข็งแกร่งแต่ละฝ่ายบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ล้วนคอยระวังนภาคิมหันต์และกำลังเตรียมรบ พวกเขาเตรียมตัวเพื่อการเปลี่ยนแปลงด้านสถานภาพที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากนี้
และพิธียิ่งใหญ่ของเผ่านภาคิมหันต์ก็เริ่มประกาศออกไปหลังจากมหกรรมออกล่าสิ้นสุดลง
ทุกครั้งที่มหกรรมออกล่าสำเร็จลุล่วง ล้วนจะมีงานเช่นนี้เพื่อมอบรางวัลแก่ผู้บำเพ็ญทุกคนที่ติดอันดับ แต่ครั้งนี้ด้วยเทพเจ้าทั้ง 3 เลื่อนขั้น พิธีที่จัดจึงยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ส่วนสถานที่ กลับเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เขาเทวะ!
ชั่วขณะหนึ่ง 3 อุปราชล้วนมาถึง ผู้แข็งแกร่งในเผ่าทยอยกลับมา
และสวี่ชิงกับนายกองก็มาถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์อย่างเงียบๆ ท่ามกลางนิมิตหมายอันดีทั่วม่านฟ้าซึ่งเกิดจากวิชาพลังวิเศษเป็นสาย
เสียงอื้ออึงปะทุบนนภาประดุจสายฟ้า
ในนิมิตหมายอันดีเหล่านั้นมีเงาอสูรศักดิ์สิทธิ์ มีดอกไม้เรืองรอง มีร่างเทพสงคราม พร้อมกับพลังชาวเผ่านับไม่ถ้วนที่สร้างเป็นอานุภาพยิ่งใหญ่สะท้านจิตใจบนม่านฟ้า
แต่แทบไม่มีใครสังเกตว่าเหนือนิมิตอันดีบนอากาศ ในเอกภพไร้สิ้นสุดนอกแดนต้องห้ามเทพเจ้า…ประกายดาวหลายร้อยดวงที่สวี่ชิงเห็นวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว!
พวกมันถึงกับเป็นหินอุกกาบาต บนนั้นปรากฏรอยตราอักขระนับไม่ถ้วน ให้ความรู้สึกเก่าแก่ไร้ใดเทียม แฝงไว้ซึ่งกลิ่นอายน่าหวาดกลัว
โดยเฉพาะชั่วขณะที่เข้าใกล้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกมันเลี่ยงบริเวณที่เสี้ยวหน้าอยู่ ต่างหลบซ่อนไม่ให้กลิ่นอายใดกระจายออกมา ไม่ว่าประสาทสัมผัสเทพหรือตาเนื้อล้วนยากสังเกตเห็นแม้เพียงนิด
พริบตาต่อมาทะลวงถึงแดนต้องห้ามเทพเจ้าที่เข้าได้ออกไม่ได้ ตกไปยังจุดต่างๆ บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อย่างไร้สุ้มเสียง
ในนั้นมีดวงหนึ่ง ตำแหน่งที่ตกลงไปคือดินแดนระหว่างเผ่านภาคิมหันต์กับเผ่ามนุษย์ มันชนเข้ากับภูเขารกร้างลูกหนึ่ง
ภูเขากลายเป็นเศษธุลีสลายหายในพริบตา ตำแหน่งที่เคยเป็นยอดเขาบนดินปรากฏหลุมลึกขนาดพันจั้ง
ไอเย็นกระจายออกจากในหลุมเป็นระยะ ขณะกลายเป็นความเย็นเยือกรอบด้าน มีเสียงทอดตามมาหลายสาย
“ในที่สุดก็กลับมาแล้ว”
“โลกแห้งแล้ง ปราณวิญญาณเบาบาง ลมหายใจเทพแทรกซึมทั่วทุกหัวระแหง…”
“ที่นี่ คือแดนรกร้างที่ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์เราทอดทิ้งในตำนานจริงด้วย…”
………………………………………
[1] ไม้อวี๋ ไม้ทนทานชนิดหนึ่ง นิยมใช้ทำเครื่องเรือน
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



