Skip to content

Outside Of Time 909

Outside of Time
H

H

H

บทที่ 909 ผู้บำเพ็ญแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์

แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เขตปกครองพิสดารบันลือ

เขตปกครองนี้ในยุคบรรพกาลเป็นของเผ่ามนุษย์ เป็นหนึ่งในเขตปกครองส่วนนอกของดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์

ในอดีตเนื่องจากผลพิสดารบันลือที่มีผลต่อการสัมผัสรับรู้กฎเกณฑ์ไม่น้อย มีชื่อเสียงอย่างมากในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

แต่การมาเยือนของเสี้ยวหน้า เคราะห์ภัยพิบัติบังเกิดบนโลก กลิ่นอายเทพเจ้าโจมตีฟ้าดิน เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง นับจากนั้นไม่เพียงผลพิสดารบันลือสูญพันธุ์ เขตปกครองนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมถูกโจมตีอย่างสาหัสรุนแรงเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย

ไอพลังประหลาดในนั้นก็เข้มข้นเกินกว่าสถานที่อื่นๆ หลายเท่า

เช่นนี้แล้วจึงไม่เหมาะที่จะเป็นที่พำนักอาศัยของชนเผ่าดั้งเดิม ก็ค่อยๆ กลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่า

มีเพียงอสูรกลายพันธุ์ที่กำเนิดจากไอพลังประหลาด และตัวตนแปลกประหลาดเหล่านั้นถึงจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้

ส่วนเผ่าพันธุ์ที่แต่เดิมเคยอยู่ที่นี่ก็ย้ายถิ่นฐานไปรอบๆ ถูกอสูรกลายพันธุ์ สิ่งประหลาดรบกวนโจมตีอยู่ตลอด

ไม่ใช่ไม่อยากย้าย เพียงแต่ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ สำหรับเผ่าพันธุ์เล็กๆ เหล่านี้แล้ว สุดท้ายก็ไม่มีที่ให้ไป ในเมื่อสถานที่ที่ไอพลังประหลาดน้อยก็ล้วนแต่มีเจ้าของแล้วทั้งสิ้น

กลับกันไม่เหมือนกับที่นี่ แม้จะมีอันตรายในระดับหนึ่ง แต่อย่างน้อยก็ไม่ค่อยมีการโกหกหลอกลวง แค่เผชิญหน้ากับอสูรร้ายและสิ่งประหลาด พวกเขาพอจะปกป้องตัวเองได้

โดยเฉพาะตำแหน่งของเขตปกครองนี้พิเศษมาก ตั้งอยู่ระหว่างเผ่านภาคิมหันต์และเผ่ามนุษย์ กลายเป็นพื้นที่กันชนของ 2 เผ่าไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็ทำให้เผ่าพันธุ์เล็กๆ เหล่านี้ อยู่ในพื้นที่แคบได้รับผลประโยชน์ในระดับหนึ่ง

ตอนนี้ ทางตะวันตกของเขตปกครองพิสดารบันลือ ในทิวเขาที่ทอดตัวยาว มีเงาร่าง 3 ร่างเป็นชาย 1 หญิง 2 เดินออกมา

3 ร่างนี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ แต่มีส่วนคล้ายกับเผ่ามนุษย์ เพียงแต่ข้างหลังตามีปีก อีกทั้งที่หว่างคิ้วมีตาที่ 3

ผู้บำเพ็ญที่อยู่ข้างหน้าเป็นชายหนุ่ม สวมชุดเสวียนผาวสีดำปักไหมทอง คนที่อยู่ตรงกลางเสื้อผ้าอาภรณ์ปลิวสะบัด เส้นไหมทองในนั้นกะพริบวูบวาบ ฉีกทึ้งมิติรอบๆ เป็นรอยแยกบางๆ!

เห็นได้ถึงความไม่ธรรมดาของอาภรณ์ชุดนี้

และบริเวณที่เขาผ่านยังมีลมน้ำแข็งติดตามอีกด้วย เหมือนว่าเป็นทูตที่มาจากหุบเหวเยือกเย็นมืดมิด

รูปร่างของเขาสูงใหญ่กำยำ สูงกว่าคนทั่วไปมาก ราวกับภูเขาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรู้สึกกดดัน หน้าตาดูแข็งแกร่งเด็ดขาด คางเป็นสันคมราวมีดสลัก เผยความแข็งแกร่งและเย็นชาออกมาอย่างโดดเด่นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

ถึงดวงตาล้ำลึก ราวท้องฟ้าราตรีอันมืดมิด เพียงแต่ในส่วนลึกของดวงตาคู่นั้น กลับฉายประกายแสงเจ้าเล่ห์ ไร้จิตใจและเหี้ยมโหดออกมาวูบวาบ ทำให้คนไม่กล้าจ้องมองตรงอย่างส่งเดช

ตอนนี้เขาเคลื่อนไปข้างหน้าพลางกำลูกตาสีแดงข้างหนึ่งเล่นในมือ ในลูกตานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือด กำลังดิ้นรนสุดกำลัง ฉายประกายแสงสีแดงวูบวาบไม่หยุด ส่งเสียงครวญครางหวีดแหลม

แต่อยู่ในมือชายหนุ่มคนนี้ กลับไม่อาจดิ้นหลุดได้เลยแม้เพียงน้อยนิด

หากมีผู้บำเพ็ญที่อาศัยในบริเวณนี้อยู่ที่นี่ ก็จะต้องจำได้ทันทีว่า ตาข้างนี้เป็นปีศาจลูกตาต่างเผ่าที่ขึ้นชื่อเสียงโหดเหี้ยมในบริเวณนี้

ปีศาจชนิดนี้เชี่ยวชาญเรื่องวิชาอำพรางซ่อนกาย ในขณะที่ร่องรอยยากที่จะคาดเดา ก็มีพรสวรรค์ในการจัดการกับวิญญาณ โดยปกติแล้วต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาพบเจอ ก็ต้องย่นคิ้วไปเช่นกัน

แต่ตอนนี้…อยู่ในมือชายหนุ่มคนนั้น กลับอเนจอนาถน่าสังเวชปานนี้ หลังจากร้องครวญครางอยู่สามสี่ทีก็ถูกชายหนุ่มคนนั้นบีบแหลก

“แดนรกร้างสกปรกโสมม กลิ่นชวนให้คลื่นเหียนนัก ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่า ที่นี่จะเป็นต้นกำเนิดพลังบรรพชนของแดนศักดิ์สิทธิ์เรา ท่าทางเผ่าพันธุ์ที่นี่ อาศัยในพื้นที่แบบนี้ ก็ล้วนแต่เป็นหนอนสกปรกโสโครก ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉานสักเท่าไร”

อารมณ์ของชายหนุ่มเหมือนจะไม่ดีเอามากๆ เอ่ยเสียงเย็นขึ้น

แต่ทันทีที่เขาพูดออกมา เสียงเยียบเย็นก็ดังมาจากข้างหลัง

“สหายเฟิงกล่าววาจาเกินไปแล้ว เจ้าทั้งๆ ที่รู้ว่าที่นี้เป็นเช่นนี้เพราะเหตุจากซ่างฮวงนั่น แดนศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายต่างๆ ตอนนั้นจากไปก็เพราะอับจนหนทาง และเผ่าพันธุ์ที่นี่ก็ล้วนหาต้นกำเนิดสายเลือดที่เชื่อมต่อกันได้ในแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น”

“เพียงแต่พวกเราอยู่บนฟ้า พวกเขาอยู่บนดิน เดิมก็โดดเดี่ยว มีชีวิตอยู่อย่างลำบากอยู่แล้ว คำพูดเหยียดหยามของเจ้า ค่อนข้างจะเกินสมควรไปแล้ว”

คนที่พูดเป็นผู้หญิงที่อยู่เยื้องทางขวาของชายหนุ่ม

ผู้หญิงคนนี้รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ข้างหลังมีปีกสีเงิน ผิวขาวเนียนไร้มลทินราวหยก มีสีชมพูระเรื่อๆ แซม

สวมชุดเสวียนผาวสีดำปักไหมทองเช่นกัน ในตัวนางมีความรู้สึกพิเศษ ร่วมกับบุคลิกราวเซียนในภาพวาดแล้ว ก็ประดุจหมอกประดุจควัน

ทั้งยังมีคิ้วยาวขุนเขาไกลลิบ บางเบายาวเรียว ดวงตาสุกใสเป็นประกาย เนตรงามทั้ง 2 มีประกายแสงความสงบนิ่งไหลวน ทำให้คนในขณะที่เกิดความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู ก็มีความรู้สึกที่ไม่กล้าดูถูก

และคำพูดนางดังออกมา ชายหนุ่มคนนั้นเหมือนจะอยากพูดอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างระแวงสหายร่วมเดินทางคนนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่เงยหน้ามองไปยังเสี้ยวหน้าที่อยู่สูงบนท้องฟ้า

แต่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่อยู่เยื้องไปทางด้านซ้ายของเขา ตอนนี้กลับหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา

“สหายเยวี่ยตงเจ้ากล่าวผิดแล้ว ตอนนั้นมหาจักรพรรดิของเผ่าต่างๆ และจักรพรรดิแม้จะเดินจากไป แต่ผู้มีพรสวรรค์ทุกคนล้วนติดตามไปด้วยทั้งสิ้น พวกที่อยู่พวกนั้นก็เป็นพวกคนชั้นล่างที่พรสวรรค์ทั่วไปหรือไม่ก็พวกนักโทษก็เท่านั้น”

“และคนชั้นล่างจะก็สมกับเป็นคนชั้นล่าง ในหลายหมื่นปีที่กลิ่นอายเทพโจมตีเช่นนี้ก็ยังสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ไปได้ทุกรุ่นทุกรุ่น ก็น่าสนใจดี หากเจ้ารู้สึกสงสาร ไม่สู้อยู่ที่นี่หาคนชั้นล่างมาฝึกคู่ด้วย ทิ้งชนรุ่นหลังไว้ให้มากหน่อย ก็นับว่าสนองจิตใจเมตตาของเจ้าเซียนเยวี่ยตงได้เต็มที่แล้ว”

ผู้หญิงที่เอ่ยรูปโฉมงดงามราวดอกบัว ผมยาวดำขลับเรียบลื่นดุจสายน้ำ สิ่งที่ดึงดูดสายตาคนที่สุดคือเอว เอวบางอ่อนช้อยคล้ายกิ่งหลิวเรียวเล็กช่อหนึ่ง ที่พลิ้วไหวและมีชีวิตชีวา

ส่วนขาเรียวงามทั้ง 2 ข้างอยู่ภายใต้เสวียนผาววับแวม เพิ่มความเย้ายวนขึ้นมาอีกหลายส่วน

เพียงแต่คำพูดของนางกลับเต็มไปด้วยความแดกดัน

ผู้หญิงที่ชื่อเยวี่ยตงคนนั้นได้ยินก็ดวงตาเย็นเยียบ

“หลานเหยา เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”

ระลอกคลื่นพลังระดับเตรียมสู่เทวะกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง ส่วนผู้หญิงที่ชื่อหลานเหยาคนนั้น ในดวงตาแผ่จิตสังหารออกมาเช่นกัน พลังบำเพ็ญปะทุ เป็นระดับเตรียมสู่เทวะเช่นกัน!

เพียงแต่ว่าค่อนข้างน่าประหลาด ทั้ง 2 ดูเหมือนระดับเดียวกัน แต่ก็เหมือนไม่ใช่ระดับเดียวกัน เหมือนถูกผนึก

เห็นผู้หญิงทั้ง 2 คนไม่ลงรอยกัน ชายหนุ่มคนนั้นขมวดคิ้ว มองไปทางเยวี่ยตง เอ่ยเย็นเยือก

“สหายเยวี่ยตง การลงมาครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของแดนศักดิ์สิทธิ์หลายแห่ง และพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อปฏิบัติภารกิจตามเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูล ร่วมกับผู้ลงมาเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ เพื่อวางจุดรับตัวไปตามที่ต่างๆ เจ้ายั่วยุปลุกปั่นเช่นนี้ หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง!”

“อย่าหาว่าข้าแซ่เฟิงไม่เตือนเจ้าก่อน หากเส้นทางต่อจากนี้ เจ้ายังกระทำตัวเช่นนี้อีก ข้ากับสหายเหยาหลานก็ไม่แน่ว่าคงต้องจับตัวเจ้าเอาไว้แล้ว”

คำพูดนี้เมื่อดังออกมา ความเย็นเยือกแผ่ลาม รอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นธงเล็กมายามากมายปรากฏขึ้นรอบๆ เหนี่ยวนำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี เห็นได้ชัดว่าเป็นปรากฏการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากพลังวิเศษพันธนาการบางอย่าง

ส่วนเหยาหลานคนนั้นหัวเราะออกมา ยกมือคว้าไปกลางอากาศ ทราย 7 สีแถบหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า แล้วแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นวนที่นี่ วนล้อมอยู่บนท้องฟ้า

รัศมีอำนาจท่วมท้น ระลอกคลื่นพลังหมื่นจั้ง คล้ายว่าจะเทลงมาได้ทุกเมื่อ

เห็นเป็นเช่นนี้ เยวี่ยตงที่ถูกทั้ง 2 คนจับเป้าหมายก็หรี่ดวงตา เอ่ยขึ้นราบเรียบ

“ในเมื่อเส้นทางต่างกัน เช่นนั้นก็แยกกันไปปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน ส่วนของข้าส่วนนั้น ข้าจะทำมันให้เสร็จสิ้นด้วยตัวเอง”

พูดแล้ว ร่างของเยวี่ยตงก็รางเลือน เสี้ยวขณะต่อมา ก็มาปรากฏอยู่ที่ไกล กะพริบวูบวาบก็หายลับไป

มองทิศทางที่เยวี่ยตงจากไป ชายหนุ่มแซ่เฟิงและหลานเหยามองหน้ากัน

“นางก็รู้ตัวดี จากไปด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ข้าต้องออกแรง ไม่เช่นนั้น ด้วยนิสัยของนางจะต้องเพิ่มอุปสรรคให้กับเรื่องของข้าต่อจากนี้อย่างมากแน่นอน” ชายหนุ่มแซ่เฟิงยิ้มเย็น

“สหายเฟิง ข้าร่วมมือกับเจ้าบีบให้เยวี่ยตงแยกตัวไปแล้ว เรื่องที่ท่านบอกกับข้าก่อนมา หากโกหกกัน ข้าน้อยก็ไม่ร่วมด้วยหรอกนะ” หลานเหยามองหน้าชายหนุ่มแซ่เฟิงพลางยิ้มหวานหยด

แต่ในดวงตากลับเย็นชา

“เจ้าวางใจได้ หากไม่ได้รู้ความลับนี้จากตำราโบราณมรดกตระกูลเล่มหนึ่งเข้า ข้าก็ไม่มีทางเสนอตัวเข้าร่วมภารกิจนี้กับแดนศักดิ์สิทธิ์หรอก ในเมื่อที่นี่มีเทพเจ้าอยู่”

ชายหนุ่มแซ่เฟิงเงยหน้า มองไปทางเสี้ยวหน้าอีกครั้ง จากนั้นก็มองหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าอีกครั้ง

“อีกทั้ง ข้าก็ให้เจ้าดูหลักฐานแล้ว นอกจากนี้ด้วยตำแหน่งของคู่ฝึกเต๋าในแดนศักดิ์สิทธิ์ตระกูลข้า ข้าจะไปกล้าโกหกปกปิดเจ้าได้อย่างไร”

หลานเหยายังคงยิ้มเช่นเดิม ได้ยินคำก็พยักหน้า

“เอาล่ะ พวกเราก็รีบออกเดินทางเถอะ ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้รู้ข้อมูลโลกภายนอกบางส่วนจากเหล่าสัตว์อสูรที่นี่ รู้ว่าละแวกนี้มีเผ่ามนุษย์ชั้นล่างจำนวนหนึ่ง และเรื่องนั้นที่พวกเราจะทำ หากทำการสังเวยโลหิตก็จะยิ่งราบรื่น”

ชายหนุ่มแซ่เฟิงทอดสายตามองไปที่ไกล เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“สังเวยโลหิตอย่างนั้นหรือ สหายเฟิงคงไม่ได้ดูถูกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นี่ คิดว่าผู้บำเพ็ญที่นี่ไม่มีผู้แข็งแกร่งจริงๆ หรอกใช่ไหม”

หลานเหยาคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“ข้าย่อมไม่โง่เช่นนั้น คำพูดที่พูดกับเยวี่ยตงก็แค่จงใจเท่านั้น ความระมัดระวังรอบคอบที่จะเป็นย่อมต้องมี แต่ว่าในเผ่าเล็กๆ จากบันทึกในดวงตาพวกนั้นไม่มีระดับเตรียมสู่เทวะ”

พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มแซ่เฟิงก็ก้าวไปข้างหน้า หลังจากก้าวไปสามสี่ก้าวก็พลันหันกลับมา สายตาฉายประกายวาบขึ้นมา

“ใช่แล้ว หากเยวี่ยตงนั่นอำพรางกายติดตาม ขัดขวางเรื่องของพวกเรา สหายหลานเหยารู้ใช่ไหมว่าต้องทำเช่นไร”

“ข้าย่อมจัดการเอง”

หลานเหยายิ้ม ย่างเยื้องปทุมก้าวออกไปอย่างแผ่วเบา ไม่นานนักเงาร่างของทั้ง 2 คนก็หายไป

ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ร้อยกว่าแห่งในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็มีอุกาบาตที่เหมือนกันตกลงมา ในนั้นมีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่เท่ากันเดินออกมา แล้วแยกกันไปในทันที ทยอยกันไปปฏิบัติตามภารกิจของแดนศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองให้สำเร็จ

แน่นอน ในนั้นก็มีผู้ที่มีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นๆ แต่ว่าไม่ว่าอย่างไร ปฏิบัติตามคำสั่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง วางจุดรับตัวหลายๆ แห่ง ทำให้แผนการในอนาคตราบรื่น เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ

เพราะนี่เกี่ยวพันกับการที่พวกเขาจะกลับไปได้หรือไม่…

แดนต้องห้ามเทพเจ้า ทำได้เพียงแค่เข้ามาเท่านั้น ออกไปไม่ได้!

แต่เห็นได้ชัดว่า กล้ามาที่นี่ ย่อมมีที่พึ่งของตัวเอง

กระทั่งว่ามีบางเผ่ารู้เรื่องเหล่านี้ตั้งนานแล้ว แอบติดต่อช่วยเหลืออย่างลับๆ หรือไม่ก็ไม่ทราบได้

สรุปแล้ว จากการตกลงมาของอุกาบาตร้อยกว่าลูกที่เหมือนหน่วยสำรวจ ทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ คลื่นใต้น้ำแผ่ระลอก…

จากเสียงสะท้อนก้องเป็นระลอกๆ นั่น จากนิมิตมงคลนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นบนม่านฟ้า ประกายแสงภูเขาเทพพลันฉายวูบวาบ มีเสียงระฆังดังมา มีเสียงโห่ร้องยินดีดังแซ่ซ้องมาจากทั่วทุกสารทิศ พิธีกำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

3 อุปราชลอยอยู่หน้ารูปสลักเทพเจ้าทั้ง 3 ในภูเขาเทพ แผ่รัศมีอำนาจยิ่งใหญ่ ข้างหลังพวกเขาคือเทพเจ้า ข้างหน้าคือสมาชิกเผ่านภาคิมหันต์มากมายมืดฟ้ามัวดิน

สมาชิกเผ่าเหล่านี้แบ่งเป็น 3 ฝ่าย เรียงลำดับด้วยพลังบำเพ็ญและฐานะ ต่างมีอ๋อง มีโหว ผู้แข็งแกร่งมากมาย จะเห็นได้ถึงความน่ากลัวของพลังรากฐานของเผ่านภาคิมหันต์ในฐานะที่เป็นเผ่าแข็งแกร่งแห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

ส่วนคนที่อยู่รอบๆ มีมากยิ่งกว่า ผู้นำระดับสูงและคนสำคัญของเผ่าที่สวามิภักดิ์ทุกเผ่าล้วนมาเยือนอย่างสมเกียรติ รัศมีอำนาจที่เกิดจากการรวมมาของทุกฝ่ายทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบทะลัก

ที่ไกลออกไปอีก เป็นผู้บำเพ็ญที่ล้อมดูรอบๆ พวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้ามาใกล้จนเกินไป แต่มองพิธีมาจากที่ไกลๆ ก็ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้นับว่าไม่เสียเปล่า

นี่ก็คือพิธีของเผ่านภาคิมหันต์ ไม่มีพิธีการที่ซับซ้อนอะไร และไม่มีการบูชาที่หรูหราฟุ่มเฟือยอะไร ทุกอย่างล้วนดั้งเดิมและทรงพลัง

ตอนนี้ มีขุนนางแห่งเทพเจ้าสรรเสริญเทพเจ้า จากนั้นก็มีผู้ทำพิธีที่เป็นตัวแทนอำนาจ อ่านโองการอุปราช คำพูดวาจาแฝงไว้ด้วยความปลุกใจ ดังก้องไปในฟ้าดิน

ส่วนสวี่ชิงและนายกองตอนนี้ก็เปลี่ยนรูปโฉมแล้ว ซ่อนตัวอยู่ในผู้บำเพ็ญที่ล้อมดูเหล่านั้น กำลังมองพิธีมาจากที่ไกลๆ ฟังโองการแห่งอุปราชไปด้วย พลางส่งกระแสจิตถึงกันไปด้วย

“อาชิงน้อย คิดดีแล้วหรือยัง”

“อืม มหาขุนพลนภาทมิฬไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคว้าเอามาให้ได้” ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกาย เอ่ยตอบอย่างสงบนิ่ง

ระหว่างทางมา ในใจของเขามีแผนการแล้ว ตอนนี้กำลังจะพุ่งตัวออกไป แต่ในตอนนี้เอง ผู้ทำพิธีที่อ่านโองการแห่งอุปราชคนนั้น คำกล่าวก็พลันเปลี่ยนไป

“จากนี้ จะประกาศผู้ที่ได้ครอบครองตำแหน่งขุนพลฟ้าทมิฬในมหกรรมล่าเหยื่อครั้งนี้!”

“มหกรรมล่าเหยื่อด่านที่ 1 ย้ายภูเขา สวี่ชิงแห่งเผ่ามนุษย์อันดับ 1 !”

“มหกรรมล่าเหยื่อด่านที่ 2 แผ่นดินใหญ่ผืนคีรี สวี่ชิงแห่งเผ่ามนุษย์อันดับ 1 !”

“มหกรรมล่าเหยื่อด่านที่ 3 แผ่นดินเทวะ สวี่ชิงแห่งเผ่ามนุษย์อันดับ 1 !”

“จากการยอมรับของเทพทั้ง 3 ประทานสมญามหาขุนพลฟ้าทมิฬ!”

“สวี่ชิง ยังไม่ขึ้นมาบนแท่น เข้าพบอุปราชทั้ง 3 ของเผ่าข้าอีกหรือ!”

คำพูดนี้เมื่อดังออกมา ทั่วทุกสารทิศฮือฮา แม้เรื่องด่านที่ 1 และด่านที่ 2 คนทั้งหลายจะรู้กันแล้ว แต่เรื่องที่เกี่ยวกับในแผ่นดินเทวะ กลับไม่ใช่ใครๆ ก็ล่วงรู้

ดังนั้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดนี้ย่อมฮือฮาเป็นธรรมชาติ

สวี่ชิงกะพริบตาปริบๆ “ท่าทางปิ่นเล่มนั้นของท่านจะได้ผลไม่น้อยเลยทีเดียว”

นายกองหัวเราะฮี่ๆ

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!