บทที่ 919 ยืนกรานร่วมทางกับตัวกินแรง
“ส่วนศิษย์พี่ใหญ่เจ้า เรื่องของเราจบลงเมื่อไรจะส่งให้เจ้า”
หลานเหยากล่าวคำแช่มช้า เสียงเบายิ่ง ทว่าคำพูดชวนตกตะลึง ทำให้ชายหนุ่มแซ่เฟิงกับสวี่ชิงสีหน้าเปลี่ยน
ชายหนุ่มแซ่เฟิงแทบจะเอ่ยสวนคำ
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!”
“อ้อ? หรือสหายเฟิงมีวิธีอื่นที่ดีกว่า หรือมั่นใจว่าจะสังหารคนตรงหน้าได้โดยไม่เจ็บตัว”
“หากเจ้าทำได้ ตัวข้าก็ไม่มีความเห็นอันใด”
หลานเหยายิ้มบาง รอยยิ้มหวานทรงเสน่ห์
สวี่ชิงไม่เอ่ยคำใด นัยน์ตาวาบไหว
ชายหนุ่มแซ่เฟิงได้ยินแล้วลังเล ในใจเกิดความคิดมากมาย แต่ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้เขาต้องยอมรับคำพูดของหลานเหยา นั่นก็เป็นวิธีแก้ที่เหมาะกับสภาพการณ์ตรงหน้าที่สุดในตอนนี้อย่างแท้จริง
เรียกได้ว่าแทบจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์
พวกเขากลัวไม้ตายของสวี่ชิง ทั้งไม่วางใจให้อีกฝ่ายจากไป กระนั้นยังไม่อาจจับเขาไว้โดยง่าย อีกทั้งยากสังหารโดยไม่เจ็บตัว
เมื่อเป็นเช่นนั้น การเอาอีกฝ่ายเข้ามาด้วยจึงแก้สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนนี้ได้
ส่วนเรื่องหลังจากนั้นย่อมสามารถปรับตามโอกาส
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่วางใจคือเขาสงสัยว่าการกระทำของหลานเหยาอาจมีเจตนาอื่น แต่ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ อีกอย่างที่สำคัญที่สุดคือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้อยู่ในกำมือตน…
เช่นนั้นอำนาจฝ่ายรุกย่อมอยู่ฝั่งตน
เมื่อตริตรองแล้ว รอยยิ้มพลันแทนที่ความอึมครึมบนหน้าชายหนุ่มแซ่เฟิง
“ที่สหายหลานพูดค่อนข้างมีเหตุผล ด้วยกำลังรบของคนผู้นี้ก็มีคุณสมบัติให้เข้าร่วมกับเราโดยแท้ เป็นอย่างไร สหายเผ่ามนุษย์ผู้นี้ เจ้ายินดีร่วมด้วยหรือไม่ นี่เป็นโชคใหญ่จากสวรรค์เชียวนา!”
สวี่ชิงกวาดตามองนายกอง ในใจพึมพำหลายประโยค หากไม่ใช่ว่ามั่นใจทักษะการแสดงของนายกองและรู้จักเขาเป็นอย่างดี ตอนนี้เขาคงคิดว่านายกองอาจตายได้จริงๆ
แต่สิ่งที่คิดในใจย่อมไม่เผยทางสีหน้าสักน้อยนิด
ส่วนสถานการณ์ตอนนี้…
สวี่ชิงเยาะในใจ แต่ภายนอกกลับทำสีหน้าย่ำแย่ ไม่อยากเข้าร่วม แต่ด้วยนึกถึงความเป็นความตายของศิษย์พี่ร่วมสำนัก จึงมีท่าทีวิตกกังวล
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้า 2 คนเสร็จเรื่องแล้วจะปล่อยศิษย์พี่ใหญ่ข้าตามสัญญาหรือเปล่า” สวี่ชิงเอ่ยเสียงต่ำ
“นี่ไม่ยาก สหายเฟิงสาบานก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ” หลานเหยามองไปยังชายหนุ่มแซ่เฟิง
ชายหนุ่มแซ่เฟิงครุ่นคิด ไม่รู้คิดอย่างไรถึงพยักหน้าเอาจริง เขาสาบานต่อหน้าสวี่ชิง หากไม่ทำตามผลสะท้อนกลับจะกระทบไม่น้อย
คำสาบานระดับนี้มีผลแน่นอน เพียงรอสวี่ชิงเห็นพ้องก็เกิดผลได้
ทว่าสวี่ชิงยังคงลังเล
“แล้วข้าจะรู้ได้ยังไงว่าสุดท้ายพวกเจ้ามีวิธีอื่นเพื่อเลี่ยงผลสะท้อนกลับของคำสาบานหรือไม่”
หลานเหยามุ่นหัวคิ้ว
ชายหนุ่มแซ่เฟิงก็เช่นกัน แต่ไม่ได้แปลกใจกับคำพูดของสวี่ชิงเท่าไร กลับกันถ้าอีกฝ่ายเชื่อง่ายดายเช่นนั้นจริง เขาต่างหากที่จะรู้สึกไม่ชอบมาพากล
อย่างไรเปลี่ยนให้เขาเป็นอีกฝ่าย เผชิญเรื่องนี้ก็คงเป็นแบบเดียวกัน
แต่เบื้องหน้าเขาย่อมแสดงท่าทีไม่พอใจ แค่นเสียงเย็น สีหน้าขรึมตึง
“เจ้าอย่ามากเกินไป พวกเราถอยให้แล้ว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ เช่นนั้นอย่าโทษข้าที่สังหารศิษย์พี่ใหญ่เจ้าตายก่อน ส่วนเจ้า หากไม่เพราะข้าไม่อยากเจ็บตัว มีหรือจะร่วมทางกับเจ้า!”
“แต่ถ้าเจ้ายังได้คืบเอาศอกต่อไป เช่นนั้นไม่แน่ แม้ต้องเปลืองกำลังพอควรก็สังหารเจ้าได้”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงกล่าวเสียงเยียบเย็น จิตสังหารคล้ายปรากฏอีกครั้ง
หลานเหยาไม่เอ่ยคำ แต่นัยน์ตาเย็นเยือกไม่ต่าง แสดงท่าทีแล้วเช่นกัน
สวี่ชิงนิ่งเงียบ ผ่านไปค่อนวันค่อยกล่าวแช่มช้า
“สาบานเช่นนี้ก็ได้ แต่ไม่ทราบสหายทั้ง 2 ต้องการสิ่งใด”
ได้ยินสวี่ชิงยอมรับคำสาบาน ชายหนุ่มแซ่เฟิงสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลานเหยาก็เผยรอยยิ้ม
“เอาละ ทุกคนพูดมาถึงตรงนี้ก็เท่ากับเป็นคนกันเองแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าสหายเผ่ามนุษย์ผู้นี้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ว่ากระไร”
“เหยียนเสวียนจื่อ” สวี่ชิงกล่าวราบเรียบ
“สหายเหยียนเสวียนจื่อ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ไว้พูดคุย มิสู้เราเดินไปคุยรายละเอียดไปด้วย?”
หลานเหยาเลื่อนกลอกนัยน์ตาสวย ยิ้มเอ่ยคำ
สวี่ชิงถอนหายใจเบา พยักหน้า
ไม่นานทั้ง 3 กลายเป็นรุ้งสามสายมุ่งหน้าไกลออกไปยังขอบฟ้า
แต่ทุกคนต่างเว้นพื้นที่เล็กน้อย
ระหว่างทาง หลานเหยาก็ส่งคำพูดมาหาสวี่ชิง บอกสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนในนั้นจริงเท็จกี่ส่วนก็ต่างคนต่างความคิด
หลายวันผ่านไปเช่นนี้ ทั้ง 3 มาถึงหุบเขาใหญ่โตแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเขตปกครองพิสดารบันลือ
หุบเขาแห่งนี้ยิ่งใหญ่นัก ราวกับรอยถากบนแผ่นดิน ในนั้นมืดมิดทั้งผืน คล้ายลึกล้ำไม่อาจคาดเดา
ยังมีไอหมอกไหลอยู่ข้างใน รอบด้านไอพลังประหลาดเข้มข้น สรรพสิ่งเหี่ยวเฉา บางครั้งยังมีเสียงร้องประหลาดน่าเวทนาเขย่าจิตวิญญาณทอดออกมาจากในหุบเขา
ยืนอยู่บนหุบเขา ชายหนุ่มแซ่เฟิงยังคงหิ้วเอ้อร์หนิว ตลอดทางเขาไม่เคยปล่อยเลยสักนิด ยามนี้สายตาตกอยู่ในหุบเขา นัยน์ตามีความตื่นเต้นฉายวาบ
“ที่นี่ละ”
หลานเหยาเดินสองสามก้าวออกมายืนอยู่ริมหุบเขา ก้มมองลงไปเช่นกัน
ส่วนสวี่ชิงยืนมองหุบเขาห่างกับสองคนนั้นสิบกว่าจั้ง ในใจนึกถึงแผนครั้งนี้ที่ทั้ง 2 บอกระหว่างทาง
‘วารีพิสดารบันลือ?’
สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาไม่เคยได้ยินสิ่งนี้มาก่อน
แต่ตามที่พวกหลานเหยาบอก วารีพิสดารบันลือคือส่วนที่ดีที่สุดของต้นพิสดารบันลือ
ก่อนเสี้ยวหน้ามาเยือนก็เป็นของวิเศษสูงสุด ประโยชน์ล้ำกว่าผลพิสดารบันลือมากโข อีกทั้งเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพิสดารบันลือ
ตอนนั้นเผ่าพิสดารบันลือสร้างวังใต้ดินซ่อนไว้ใต้ต้นพิสดารบันลือ รวมรากแขนงต้นไม้ทั้งหมดไว้เป็นบ่อพิสดารบันลือแห่งหนึ่ง
บ่อนี้จะถูกเปิดใช้ทุก 100 ปี วารีพิสดารบันลือในนั้นจะถูกเอาไปทั้งหมด แต่ความจริงก็จำนวนไม่มาก ท่าทางจะมีแค่ไม่กี่ร้อยหยด
วารีนี้ยังมีสรรพคุณเหมือนกับผลพิสดารบันลือ แต่ประโยชน์มีมากกว่าร้อยเท่า สามารถช่วยให้คนตื่นรู้กฎเกณฑ์ในระดับที่คาดไม่ถึง
หยดหนึ่งเคยต้องจ่ายในราคาสูงยิ่งถึงจะได้มา
บัดนี้ด้วยต้นพิสดารบันลือสูญพันธุ์จึงยิ่งหายากเข้าไปใหญ่
‘เขตปกครองพิสดารบันลือนี้เคยมีผลพิสดารบันลือออกมามากจริงๆ…’
เสียงหลานเหยาทอดมาขณะสวี่ชิงครุ่นคิดพึมพำในใจ
“หากไม่เพราะสหายเฟิงให้ข้าดูแผ่นโบราณสืบทอดทางสายเลือดของเจ้า ข้าไม่อาจเชื่อจริงๆ ว่าของสุดวิเศษระดับนั้นถึงกับยังมีอยู่!”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงได้ยินแล้วกล่าวคำเรียบนิ่ง
“ก่อนจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ตอนนั้นพวกพิสดารบันลือเอาน้ำในบ่อไปทั้งหมดจริง อีกทั้งทำลายต้นไม้นี้ให้ผลกับวารีพิสดารบันลือสิ้นไปจากแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เพียงหยิบกิ่งไม้เตรียมปลูกใหม่บนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์”
“แต่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือปลูกพืชพรรณไม่สำเร็จ ต้นไม้นี้ออกห่างแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ถึงกับไม่อาจอยู่รอด”
“จากนั้นด้วยการตกต่ำอย่างเหนือคาดของบรรพจารย์ศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือก็ล่มสลายเพราะเหตุนี้ ถูกแต่ละฝ่ายแบ่งเฉือนดินแดน แต่ข้าในฐานะที่มีเลือดพิสดารบันลือกึ่งหนึ่ง หลังจากปู่ข้าโชคดีเลี่ยงหายนะครั้งนี้มาได้ บวกกับสายเลือดเผ่าปีกมารปลุกเร้า ข้าจึงได้มาถึงแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ปีกมารของเจ้า”
“กระนั้น ไม่มีใครรู้ว่าบรรพบุรุษสายเลือดข้าก็เคยเป็นผู้รับหน้าที่ลงมือทำลายต้นไม้นี้ ตอนนั้นเขาอาศัยจังหวะชุลมุน แอบเก็บไว้ส่วนหนึ่งตอนทำหน้าที่นั้น ไม่ได้ทำลายหมดสิ้น…”
“เพื่อวันหนึ่งสายเลือดของเขากลับมาจะได้มีพลังที่เป็นของตน และส่งต่อความลับนี้มาทุกช่วงอายุคนก่อนนั่งฌานละสังขาร”
“จนถึงบัดนี้ มีเพียงข้าคนเดียวที่รู้”
สวี่ชิงนิ่งเงียบ ฟังสองคนพูดคุย ในใจวิเคราะห์ความจริงเท็จของคำพูดนี้
ด้านหลานเหยากลับพยักหน้า นัยน์ตาฉายแววรอคอย
“วารีพิสดารบันลือทั่วไปก็ช่างเถิด ข้าสนใจวารีศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือที่อาจปรากฏตามสหายเฟิงว่ามากกว่า”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงหัวเราะ
“คิดว่าคงปรากฏ!”
“อย่างไรผ่านมาหลายหมื่นปี สถานที่ที่บรรพบุรุษซ่อนรากแขนงนั้นไว้ก็ลึบลับหาใดเปรียบ ดังนั้นนอกจากช่วงเวลานี้จะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย ไม่อย่างนั้นคงมีวารีพิสดารบันลือสะสมไม่น้อย และหลังจากตกตะกอนย่อมกลายเป็นวารีศักดิ์สิทธิ์พิสดารบันลือ”
นัยน์ตาสวี่ชิงจดจ่อ
แต่พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มแซ่เฟิงกลับกวาดสายตามองสวี่ชิงผาดหนึ่งแล้วมองไปยังหลานเหยา
“อีกเดี๋ยวลงไปข้างล่าง ตอนข้าใช้วิชาปลดผนึกต้องห้ามต้องพึ่งสหายหลานคุ้มครองข้า แล้วก็หลังเสร็จเรื่องเจ้าอย่าเสียใจกับสัญญาที่รับปากข้าไว้แล้วกัน”
หลานเหยายกยิ้ม ม้วนเส้นผมที่ถูกลมพัดสยายพลางกล่าวแช่มช้า
“สหายเฟิงวางใจ เจ้ามาร่วมมือกับข้าก็เพราะของชิ้นนั้นของสามีข้าไม่ใช่หรือ เรื่องที่ข้ารับปากไว้ย่อมไม่เสียใจ”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงพยักหน้า ไม่เอ่ยคำอีก มือขวายกโบก ฉับพลันแรงกดดันน่าหวาดกลัวแผ่ออกมา กลายเป็นเงานกยูงหลากสีสันตัวหนึ่งเคลื่อนลงไปยังหุบเขา
ในหุบเขาพลันเกิดเสียงสนั่น หมอกดำเป็นผืนถูกม้วนขึ้นพลิกตัวขยายวงกว้าง
เผยให้เห็นทางผ่านสายหนึ่ง
ชายหนุ่มแซ่เฟิงพลันเคลื่อนกายมุ่งไปยังทางผ่าน ชั่วพริบตาจมหายเข้าไปในนั้น
“สหายเหยียนเสวียนจื่อ เชิญ”
นัยน์ตางามของหลานเหยาตกที่กายสวี่ชิง
สวี่ชิงไม่เอ่ยคำใด เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งและเข้าสู่เส้นทางที่เปิดออกในไอหมอกนั้นเช่นกัน ผ่านไปไม่กี่ประกายก็ไม่เห็นร่องรอย
เห็นสวี่ชิงระวังตัวเช่นนี้ นัยน์ตาหลานเหยาฉายประกายคล้ายกวาดมองไกลออกไปตามใจนึก จากนั้นเคลื่อนเท้างามเยื้องย่างสู่ทางผ่าน
เมื่อทั้ง 3 หายไป ไม่นานหลังจากนั้นทางผ่านตรงนี้ก็ถูกไอหมอกรอบด้านถมเต็มอีกครั้ง ทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิม
มีเพียงเสียงคำรนโอดครวญในหมอกรุนแรงขึ้นฉับพลัน แต่ไม่นานก็ไร้สุ้มเสียง ตัดขาดจากทุกสิ่ง
กระทั่งหลายชั่วยามผ่านไป นอกหุบเขาแห่งนี้มีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากขอบฟ้าอย่างเงียบเชียบ
นั่นเป็นสตรีผู้หนึ่ง
นางรูปโฉมงามล้ำ มีความนุ่มนวลอ่อนหวานอย่างยิ่ง ผิวขาวยังไร้ด่างพร้อย ด้านหลังรูปร่างอ่อนช้อยคือปีกสีเงินคู่หนึ่ง
ส่วนเสื้อผ้าเหมือนผู้บำเพ็ญเฟิงหลาน 2 คน ล้วนเป็นชุดเสวียนผาวสีดำปักด้ายทอง เสริมให้ท่วงทีดุจเซียนกระฉับกระเฉงมากขึ้น
โดยเฉพาะดวงตาสว่างไสวราวเกล็ดหิมะ ยามนี้กลิ้งกลอกประกายเรียบนิ่งกวาดมองทั่วทิศ
“เฟิงหลินเทานั่นระวังตัวยิ่งนัก นอกจากวางเนตรสูญตาแล้วยังมีจิตทะลวงเวหา ถึงกับมีกลิ่นอายผนึกเอกภพศักดิ์สิทธิ์ด้วย…ใช้สิ่งนี้แอบตรวจสอบว่ามีคนมาหรือไม่”
“แต่ว่า…เมื่อข้าเตรียมตัวแล้ว เหล่านี้ยังมีประโยชน์อันใด”
สตรีผู้นี้คือเยวี่ยตงที่มาเยือนพร้อมชายหนุ่มแซ่เฟิงกับหลานเหยาในตอนแรก!
ยามนี้นัยน์ตานางฉายประกาย เดินมุ่งเข้าไปในไอหมอกของหุบเขา หายไปไม่ทิ้งร่องรอย…
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)


