บทที่ 920 : 3 กึ่งเพื่อนร่วมทางพิสดารบันลือ
ตั๊กแตนมัวจับจักจั่น นกขมิ้นจ้องมองอยู่ข้างหลัง
สำหรับชายหนุ่มแซ่เฟิงกับหลานเหยา นกขมิ้นตัวนี้ดูเหมือนจะเป็นสตรีนามว่าเยวี่ยตงผู้นั้น
แต่ยามนี้ ภายในหุบเขาใหญ่โต ณ เขตปกครองพิสดารบันลือ ไอหมอกพลิกม้วนรุนแรง ในนั้นสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด เสียงหวีดคำรามทะลวงไอหมอกมาเป็นสาย แฝงไว้ซึ่งความน่าเวทนาและโหดเหี้ยม
กระทั่งผ่านไปค่อนวัน หลังเสียงของหนักตกพื้นดังทอดออกมาติดต่อกัน มวลพายุพลันระเบิดในส่วนล่างของหุบเขาขนาดใหญ่
ขณะกวาดซัด ไอหมอกตรงก้นหุบเขาพลันถูกแหวกออก คล้ายมีฝ่ามือล่องหนโบกในนั้น ทำให้ไอหมอกหนาหนักในที่นี้ขึ้นไปข้างบน
เผยให้เห็นผืนดินก้นหุบเขาที่เคยถูกไอหมอกบดบัง!
นั่นเป็นผืนดินรกร้างกว้างใหญ่
บนผืนดินรกร้างคือสิ่งก่อสร้างหน้าตาโบราณเรียบง่ายจำนวนมาก ไม่ว่าหอสูง ถนนหนทาง หรือบ้านคนล้วนมีอยู่ทุกหนแห่ง
กล่าวให้ถูก นี่คือคูเมืองขนาดย่อมแห่งหนึ่ง
จินตนาการได้ว่าในอดีตที่นี่ต้องมีคนอาศัยอยู่มากมาย
แต่ตอนนี้ สิ่งก่อสร้างที่นี่กว่าครึ่งล้วนเป็นซากปรักหักพัง อยู่ในสภาพสมบูรณ์น้อยนัก ขณะเดียวกันร่องรอยที่ถูกไอพลังประหลาดโจมตียังชัดเจนไม่น้อย
ทว่าไม่มีซากศพโบราณเลยสักร่าง ที่มีเป็นเพียงซากนกประหลาด 2 หัวที่เลือดสดไหลอาบกว่าร้อยตัวตกกระจายอยู่ในผืนดินรกร้าง
มีหลายตัวยังไม่ตายสนิท กำลังดิ้นรนส่งเสียงโอดครวญ
ต่อมา เงาร่างสายหนึ่งพุ่งออกจากไอหมอกด้านบน ลงมาในผืนดินรกร้างและยืนบนร่างนกประหลาดตัวหนึ่งที่กำลังดิ้นรน
พริบตาที่เหยียบลงไป ร่างนกประหลาดตัวนี้เกิดเสียงดังลั่น กลายเป็นเลือดเนื้อแยกสภาพไม่ออก
คนผู้นี้คือชายหนุ่มแซ่เฟิงนั่นเอง
จากนั้นมีเงาร่างอีก 2 สายพลันห้อตะบึงลงมาอยู่ด้านหลังเช่นกัน
เป็นหลานเหยากับสวี่ชิง
สวี่ชิงมองแดนรกร้างโดยรอบ ภายนอกสีหน้าปกติ แต่ในใจแอบเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เขากวาดสายตาผ่านรอบด้านแล้วมองนายกองในมือชายหนุ่มแซ่เฟิง
อีกฝ่ายยังคงหมดสติ
สวี่ชิงถอนสายตากลับเงียบๆ มองไปยังซากนกประหลาดเหล่านั้น
ก่อนหน้านี้อยู่ในไอหมอก ตอนแรกพวกเขา 3 คนยังนับว่าราบรื่น แต่ไม่นานก็ถูกลอบโจมตี การมีอยู่ที่ลอบโจมตีพวกเขาคล้ายหลอมรวมกับไอหมอกได้
สิ่งกึ่งจับต้องได้นั้นรับมือยากยิ่ง
สวี่ชิงย่อมไม่ทุ่มเทแรงทั้งหมด แต่ชัดว่าชายหนุ่มแซ่เฟิงร้อนใจยิ่งกว่า หยิบพัดขนนก 5 สีออกมาโบก ถึงกับบีบให้การมีอยู่กว่าครึ่งที่ลอบโจมตีพวกเขาเผยกายออกมา และลงมือสังหารเสียเลือดเนื้อสาดกระจายไม่น้อย
ต่อมาหลานเหยาก็ออกมือ สวี่ชิงคอยช่วยอยู่ด้านข้าง ฆ่าไปอีกกว่าร้อยตัวถึงได้โผล่พ้นไอหมอก
สิ่งที่ลอบโจมตีพวกเขาก็คือนกประหลาดเหล่านี้
“โลกใบนี้ทั้งสกปรกและอันตรายหนักหนาโดยแท้ นกกระจอกธรรมดาถึงกับกลายเป็นสภาพนี้ด้วยการโจมตีจากกลิ่นอายเทพเจ้า”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงกล่าวด้วยหดหู่
“สหายหลาน หนทางต่อจากนี้อาจมีอสูรคล้ายกันนี้อีกมาก หากเจ้ายังเป็นเช่นเมื่อครู่ เกรงว่าการเดินทางของพวกเราจะล่าช้าอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้น…น่ากลัวจะมีเหตุการณ์อื่นเกิดขึ้น”
พูดถึงตรงนี้ ชายหนุ่มแซ่เฟิงมองไปยังสวี่ชิง
“แล้วก็ สหายเหยียนเสวียนจื่อ ข้าบุกอยู่ข้างหน้าตลอด หากเจอการมีอยู่บางอย่างที่รับมือยาก เช่นนั้นไม่อาจรับรองว่าข้าจะไม่เอาศิษย์พี่ใหญ่เจ้าเป็นโล่ป้องกัน”
สวี่ชิงได้ยิน ประกายเย็นในตาฉายออกมา จ้องชายหนุ่มแซ่เฟิงพลางเอ่ยแช่มช้า “ข้าน้อยไม่ถือสาหากจะต่อศึกชี้เป็นชี้ตายก่อนหน้ากับท่านที่นี่!”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงหรี่ตา ความเยียบเย็นแผ่จากกายเขามาปกคลุมรอบด้านฉับพลัน พร้อมกันนั้นมือที่บีบคอนายกองยิ่งออกแรงกว่าเดิม
ด้านนายกอง 2 ขากระตุก สีหน้าทรมาน
หลานเหยาที่ด้านข้างสังเกตเห็นความเป็นศัตรูระหว่างทั้ง 2 พลันหัวเราะเบาๆ และก้าวเดินไปอยู่ระหว่างพวกเขา
“เอาละ สหายเหยียนเสวียนจื่อ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ค่อยได้ออกแรงจริงๆ ไม่แปลกที่สหายเฟิงจะไม่พอใจ”
“แต่ว่าสหายเฟิง ในเมื่อทุกคนตัดสินใจร่วมมือกัน เจ้าก็อย่าเอาแต่ทำกะบึงกะบอนอยู่เลย”
“เอาอย่างนี้ หากหนทางข้างหน้ารับมือยากเช่นก่อนหน้านี้ พวกเราออกมือด้วยกัน ถ้าไม่อย่างนั้นต้องออกมือคนละครั้ง”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงได้ยินแล้วแค่นเสียง พลันเคลื่อนตัวเหาะไปข้างหน้า
แต่มือที่บีบคอนายกองยังคงผ่อนลงเล็กน้อย 2 ขาของนายกองหยุดกระตุกในที่สุด
สวี่ชิงมองเงาหลังชายหนุ่มแซ่เฟิง ไม่เอ่ยคำ หลานเหยาที่ด้านข้างกลับมองสวี่ชิงอย่างลึกล้ำผาดหนึ่ง
“ไปเถอะ สหายเหยียนเสวียนจื่อ”
สวี่ชิงรู้ว่าพวกเขา 2 คนไม่มีทางปล่อยให้ตนอยู่หลังสุด ตอนอยู่ในไอหมอกก็เป็นเช่นนี้ เขาจึงก้าวเหาะเหินไปข้างหน้าโดยไม่เอ่ยคำใด
ก็เป็นเช่นนี้ ตลอดทางทั้ง 3 ห้อตะบึงอยู่เหนือคูเมืองแดนรกร้างโดยมีชายหนุ่มแซ่เฟิงเป็นผู้นำ
แต่ต่างคนตั้งใจเว้นระยะห่างกันหลายร้อยจั้ง โดยเฉพาะด้านชายหนุ่มแซ่เฟิงยิ่งห่างออกไปพันจั้ง
หลังจากมุ่งหน้าไป เมืองบนแดนรกร้างแห่งนี้ก็ยิ่งปรากฏชัดแก่ตาสวี่ชิง เพียงเห็นระหว่างสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ยังมีรากแขนงต้นไม้แห้งเหี่ยวจำนวนมาก
เรียงรายแน่นขนัดเป็นหลายกลุ่มใหญ่ แต่มีจำนวนไม่น้อยที่หักหมดแล้ว
และตรงริมคูเมือง รากไม้นับไม่ถ้วนหยั่งลึกลงไปในหินหุบเขา
คล้ายคูเมืองแห่งนี้สร้างอยู่ท่ามกลางรากแขนง
สมองสวี่ชิงก็วาดภาพออกมาเพราะสิ่งนี้ ในอดีตที่นี่เหมือนจะมีต้นไม้ใหญ่ยักษ์ต้นหนึ่ง ต้นไม้นี้โตอยู่นอกหุบเขา อาจประคองท้องฟ้า ทั้งอาจงอกงามจนเป็นม่านฟ้าเสียเอง
รากแขนงของมันยังขยายอยู่ในผืนดิน
ส่วนที่ตั้งของคูเมืองนี้ ตอนนั้นคงเป็นถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง
จนกระทั่งวันหนึ่ง คงมีผู้พลังวิเศษมากล้นปรากฏตัว ทำให้ผืนดินนี้เกิดร่องน้ำสายหนึ่ง ที่นี่จึงมีหุบเขามหึมาเส้นนี้ และถ้ำใต้ดินก็เผยออกมาข้างนอก
‘แล้ว ต้นไม้ต้นนั้นล่ะ…อาจถูกเผ่าพิสดารบันลือย้ายไป หรืออาจสลายไปตามกาลเวลา แต่รากแขนงยังมีร่องรอย แม้ลำต้นสลายก็ต้องยังมีร่องรอยจึงถูก’
‘แต่ข้างนอกไม่มีร่องรอย เช่นนั้นดูแล้วน่าจะถูกย้ายไป ส่วนคนย้าย…ถ้าไม่ใช่พิสดารบันลือ ก็เป็นเผ่ารุ่นหลังสักเผ่าหนึ่ง’
สวี่ชิงครุ่นคิดบางอย่าง เขาย่อมไม่เชื่อคำที่ชายหนุ่มแซ่เฟิงพูดตอนอยู่นอกหุบเขาก่อนหน้านี้ กับเรื่องที่ยังไม่รู้ ด้วยนิสัยของสวี่ชิงทำให้เขาเชื่อเพียงความคิดและการสังเกตของตัวเอง
เว้นแต่คนพูดเป็นคนที่เขาไว้ใจ
ขณะตริตรอง สายตาสวี่ชิงตกบนสิ่งก่อสร้างในแดนรกร้าง ดูจากรูปแบบสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ที่นี่มีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับเผ่ามนุษย์ แต่รายละเอียดบางอย่างกลับต่างกัน
นี่ก็เข้าใจได้ ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยว เผ่ามนุษย์เป็นเผ่าสูงส่งบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ เผ่าทั้งหลายล้วนเลียนแบบเผ่ามนุษย์โดยสัญชาตญาณ ใช้สิ่งนี้เป็นตัวประเมินสุนทรียภาพ
ขณะสวี่ชิงสังเกตการณ์ หลังจากเข้าใกล้ใจกลางคูเมืองแดนรกร้างแห่งนี้ พลันเกิดเสียงลั่นดังมาจากฝั่งชายหนุ่มแซ่เฟิงที่อยู่หน้าสุด ขณะเดียวกันมวลคลื่นไม่ธรรมดาก็ขยายวงกว้างในชั่วลมปราณ
สวี่ชิงตั้งจิตทันที กายพลันเหาะขึ้นไปอยู่ในจุดสูงกว่าเดิม หลานเหยาที่ด้านหลังตัดสินใจเช่นเดียวกัน
ด้วยความสูงระดับนี้ ทุกสิ่งข้างหน้ายิ่งปรากฏชัดแก่ตาสวี่ชิง เขาพลันสังเกตตรงใจกลางแดนรกร้าง ผืนดินที่ไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงใดถึงกับปรากฏใบหน้าดุร้าย
ใบหน้านี้งอกอยู่บนพื้นดิน คล้ายหลบซ่อนอยู่ตลอดเมื่อครู่จึงไม่ถูกสังเกตเห็น แต่เมื่อชายหนุ่มแซ่เฟิงเหาะผ่านไป มันจึงโผล่ออกมาทันที ยังมีลิ้นที่เต็มไปด้วยความเน่าเปื่อยแลบขึ้นมาจู่โจมชายหนุ่มแซ่เฟิง
แต่ลิ้นของมันกลับถูกเขาจับไว้ จากนั้นพลังบำเพ็ญเตรียมสู่เทวะระเบิดออก ชายหนุ่มแซ่เฟิงพลันเคลื่อนกาย ถึงกับกลายร่างเป็นนกยูง 5 สี แค่นเสียงเย็นแล้วพุ่งไปยังใบหน้าทันที
ทะลวงใบหน้านี้พร้อมเสียงสนั่นหวั่นไหว พริบตาต่อมา ด้วยการออกมือของชายหนุ่มแซ่เฟิง อสูรประหลาดดุร้ายที่ดูไม่ธรรมดานี้ก็อ่อนกำลังหาใดเปรียบ แหลกสลายทันใด
เมื่อวิญญาณและกายเนื้อดับสิ้น จุดที่มันอยู่ก็ปรากฏเป็นหลุมลึก
และเงาร่างของชายหนุ่มแซ่เฟิงก็กลายเป็นร่างเดิมจากนกยูง 5 สี ยืนมองไปทางสวี่ชิงกับหลานเหยาอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ได้เข้าไป
“ต่อไป ตาพวกเจ้าแล้ว”
ชายหนุ่มแซ่เฟิงกล่าวราบเรียบ
หลานเหยายิ้ม พลันเคลื่อนกายพุ่งลงหลุมลึก
ชายหนุ่มแซ่เฟิงไม่ขยับเขยื้อน กลับมองสวี่ชิงอย่างเย็นชา
สวี่ชิงไม่เอ่ยคำใด เหาะลงหลุมลึกเช่นกัน
เห็นทั้ง 2 ทำเช่นนั้น ชายหนุ่มแซ่เฟิงถึงได้ก้าวเท้าเข้าไปหลังสุด
หลุมลึกแห่งนี้หนาวเย็นกว่าโลกภายนอก ผนังดินรอบด้านล้วนปรากฏการก่อตัวเป็นผลึก ยิ่งลึกลงไปไอเย็นยิ่งรุนแรง แถมยังมืดมิดทั้งผืน
แต่ทั้ง 3 ล้วนไม่ใช่ผู้บำเพ็ญธรรมดา ต่อให้ที่นี่มืดมิดเพียงใด เมื่อนัยน์ตาทั้ง 3 ฉายประกายก็จะเห็นชัดถนัดตา
และครั้งนี้ยังราบรื่นกว่าก่อนหน้านี้มาก
จวบจนผ่านไป 1 ก้านธูปก็ยังไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้น แต่หลุมนี้ลึกเกินไปโดยแท้ ด้วยความเร็วของพวกเขา แม้ไม่ได้ห้อตะบึงสุดแรง แต่เวลา 1 ก้านธูปยังสำรวจไม่ถึงส่วนล่าง
ทว่าความราบรื่นยังคงเกิดขึ้นชั่วคราว ยามเวลาก้านธูปที่ 2 ผ่านไปครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นตรงหลานเหยาที่อยู่ด้านหน้าพลันมีกลีบดอกไม้กระจายออกไปทั่วทิศอย่างรวดเร็ว
กลีบดอกไม้เหล่านี้ดูอ่อนแอ แต่ทุกกลีบล้วนแฝงพลังน่าหวาดกลัว พริบตาที่กระจายก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวทอดมาทันที ยังมีสิ่งรูปร่างเหมือนงูวาบผ่านรอบกายหลานเหยา
ชัดว่าสิ่งนี้กำลังซ่อนตัว หมายจะลอบโจมตีหลานเหยา แต่ไม่รู้ถูกนางจับสังเกตได้อย่างไร กลีบดอกไม้ที่ระเบิดออกมาเหล่านั้นบีบคั้นจนมันปรากฏตัว
บัดนี้เผยเงาร่าง ผู้ใดเห็นหน้าตามันเป็นต้องตกใจ
นั่นไม่ใช่งู หากเป็นการมีอยู่แปลกประหลาดที่เหมือนลำไส้ มันกำลังจะเลื้อยหนีไป แต่เมื่อหลานเหยาแค่นเสียงเย็น กลีบดอกไม้รอบกายนางพลันรวมตัว ถึงกับแปลงเป็นนกยูง 7 สี!
หงอนบนหัวนกยูงตัวนี้ถึงกับเป็นสีขาว!
เมื่อเป็นเช่นนั้น สีที่ปรากฏบนตัวนกยูงก็กลายเป็น 8 สี!
ไม่ว่ากลิ่นอายหรือความบริสุทธิ์ของสายเลือด ชัดว่าเหนือกว่าชายหนุ่มแซ่เฟิงมากโข
บัดนี้กลายร่างแล้วมุ่งตรงไปยังลำไส้นั้น
สวี่ชิงมองฉากนี้ ไม่ได้เข้าไปช่วย ในใจกลับเกิดความคิดบางอย่าง พลันหันไปมองชายหนุ่มแซ่เฟิง
จากการมองนี้ เขาเห็นความโลภวาบผ่านนัยน์ตาชายหนุ่มแซ่เฟิง
แต่การหันมองโดยพลันของสวี่ชิงก็ทำให้เขาสีหน้าอึมครึม
สวี่ชิงไม่แสดงท่าที ถอนสายตากลับ ขณะครุ่นคิดในใจ รัศมีเจิดจรัสทั่วกายนกยูง 8 สีเข้าไปใกล้ลำไส้ประหลาดนั่น ถึงกับฉีกร่างมันแล้วกลับสู่กายหลานเหยา
เงาร่างหลานเหยาหยุดนิ่ง หันมองสวี่ชิงกับชายหนุ่มแซ่เฟิงด้วยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สุดท้ายสายตาตกที่กายสวี่ชิงและเอ่ยเสียงค่อย “ต่อไป ตาเจ้าแล้ว”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



