Skip to content

Outside Of Time 930

Outside of Time
H

บทที่ 930 ในอีกร้อยวันครั้นกาลเวลาเคลื่อนคล้อยสู่ยามอี่อันเจิดจ้า

สำหรับเอ้อร์หนิว ตำแหน่งขุนนางไม่สำคัญ มีแค่พอกินพอใช้ก็พอแล้ว

C

แม้ว่าตนเองจะเป็นผู้ครองกระบี่ แต่เมื่ออ๋องเจิ้นเหยียนและจักรพรรดิมนุษย์ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ในใจของเขา เกียรติยศเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ท้ายที่สุดเขารู้ว่าตนเองมีความเกี่ยวข้องกับเผ่ามนุษย์เพียงน้อยนิด อันที่จริงไม่ถือเป็นเผ่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ

ตนเองเป็นเผ่าพันธุ์อะไร แม้แต่เอ้อร์หนิวก็ยังไม่แน่ใจ

“เฮ้อ ชาติก่อนช่างทุกข์ยากยิ่งนัก”

เอ้อร์หนิวเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นในใจ มองไปทางสวี่ชิงโดยสัญชาตญาณ

สวี่ชิงเองก็มองศิษย์พี่ใหญ่ในเวลานี้ ยิ้มน้อยๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี

เมื่อเห็นเช่นนี้ เอ้อร์หนิวก็มีความสุขล้นปรี่ เมื่อนึกถึงเกราะมหาขุนพลสวรรค์ เขาก็ยิ่งฮึกเหิม

ส่วนผู้ช่วยสำเร็จราชการ หลังจากกล่าวถึงรางวัลสำหรับเอ้อร์หนิวแล้ว ก็หยุดชะงักเล็กน้อย ให้เวลาทุกคนยอมรับเรื่องนี้ แล้วจึงพูดต่อ

“เผ่ามนุษย์มีโชค เริ่มต้นจากแสงอรุณ กำราบต่างเผ่า 8 ทิศ จากนั้นเขตปกครองผนึกสมุทรก็ทำสงครามกับแดนศักดิ์สิทธิ์คลื่นศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณทมิฬ เปิดดินแดนขยายอาณาเขต”

เมื่อคำพูดนี้ออกมา สายตาของขุนนางในตำหนักใหญ่ก็พลันผันผวน

พระราชโองการก่อนหน้านี้ที่แต่งตั้งสวี่ชิงเป็นอ๋องเป็นสิ่งที่สมควร แต่คำพูดช่วงหลังๆ…พวกเขาส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

คำกล่าวเช่นนี้ย่อมสร้างเสียงสะท้อน

ดังนั้นจึงเกิดการคาดเดาในใจไปต่างๆ นานา

“ในการต่อสู้ครั้งต่อมา แดนใหญ่ฟ้าทมิฬส่งสาส์นมาขอยอมศิโรราบ นภาคิมหันต์ถอยหลีกไม่รุกราน ในอนาคตอันใกล้จะมีราชทูตมาเจรจาเรื่องสนธิสัญญานับพันปี…และยังมีพันธมิตรจากแดนใหญ่เซ่นจันทรา”

“เผ่ามนุษย์ของเรา ผ่านกาลเวลายาวนานขวบปี ปฐมบรรพจารย์ต่างมีใจทะเยอทะยานมุ่งมั่นเสมอมา จนกระทั่งบัดนี้…ในที่สุดก็มีแสงอรุณแล้ว!”

“วันนี้ ดินแดนของเผ่ามนุษย์ มิได้มีเพียง 1 ดินแดน 7 เขตปกครอง แต่มีถึง 4 ดินแดน 7 เขตปกครอง!”

“ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิ แดนใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ แดนใหญ่วิญญาณทมิฬ แดนใหญ่ฟ้าทมิฬ!”

“สิ่งนี้ถือเป็นเครื่องบูชาแด่ปฐมบรรพจารย์ บูชาวิญญาณวีรบุรุษ ประกาศต่อสวรรค์บรรพกาลแห่งเผ่ามนุษย์!”

“โองการเทพเซียน จักรพรรดิเสวียนจั้นมีพระบัญชา”

“รัชสมัยปัจจุบัน ปีที่ 2,939 หลังจากที่เผ่ามนุษย์บูชาบรรพชนเมื่อ 800 ปีก่อน ในอีกร้อยวันครั้นกาลเวลาเคลื่อนคล้อยสู่ยามอี่อันเจิดจ้า บรรพดาราจะเปิดออกอีกครา นำโชคเข้าสู่แท่นบูชา จักรพรรดิมนุษย์พร้อมชะตาแห่งเผ่าพันธุ์ จะบูชาบรรพชนอีกครั้ง!”

เมื่อเสียงของผู้ช่วยสำเร็จราชการดังขึ้น ขุนนางทั้งตำหนักใหญ่ต่างก็ตกตะลึงในทันที

การบูชาบรรพชนสำหรับเผ่ามนุษย์เป็นพิธีกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ถึงกับกล่าวได้ว่าความสำคัญนั้นเกินกว่าทุกสิ่ง ควรเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

จะทำก็ต่อเมื่อจักรพรรดิมนุษย์องค์ก่อนสวรรคตและจักรพรรดิมนุษย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ หรือเมื่อเผ่ามนุษย์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่เท่านั้น

ท้ายที่สุดแล้วการจะเปิดดาราจักรพรรดิโบราณแต่ละครั้ง ต้องใช้ทรัพยากรมากมายมหาศาล แม้แต่ในช่วงที่จักรพรรดิมนุษย์หลายองค์ก่อนหน้านี้ครองราชย์ ในยุคที่เผ่ามนุษย์ค่อนข้างแข็งแกร่ง การบูชาบรรพชนของเผ่ามนุษย์แต่ละครั้งจะดึงดูดความสนใจจากเผ่าต่างๆ ในดินแดนต้องประสงค์เสมอ

แม้ว่าพลังของเผ่ามนุษย์ในปัจจุบันจะไม่เทียดเทียมอดีตกาล แต่ความตั้งใจที่จะยกระดับตนเองขึ้นนั้นยังคงมีอยู่ การบูชาบรรพชนยังคงดึงดูดความสนใจจากต่างเผ่าในดินแดนต้องประสงค์ได้ไม่น้อย

เหตุการณ์สำคัญเช่นนี้ทำให้ทุกคนในตำหนักใหญ่ต่างตะลึงงันกันเป็นแถบ

เพียงแต่…จากพระราชโองการ เผ่ามนุษย์ได้รับความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อน…ย่อมสมควรจัดการบูชาบรรพชนขึ้นเป็นธรรมดา

สวี่ชิงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน สายตาซุกซ่อนแววตายากจะหยั่งถึงอยู่

เขามาที่ดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิแห่งนี้ ธุระเพื่อรายงานผลการปฏิบัติภารกิจ และยังมีธุระส่วนตัวอีกอย่างหนึ่ง!

นั่นคือการหาตะเกียงดำจื่อเสวียนไปคืนให้จื่อเสวียน!

แม้แต่การสนับสนุนหนิงเหยียน ก็เพื่อเรื่องนี้ เพราะตะเกียงนั้น…อยู่ที่ดาราจักรพรรดิโบราณ

และดาราจักรพรรดิโบราณซึ่งเป็นรากฐานอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์ มีค่ายกลที่น่ากลัวอยู่ภายนอก ภายในน่าตกใจยิ่งกว่า ดังนั้นจึงไม่เปิดออกง่ายๆ นอกจากช่วงเวลาบูชาบรรพชนเท่านั้น

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จิตใจสวี่ชิงก็ปั่นป่วนเล็กน้อย

ในขณะเดียวกัน เสียงของผู้ช่วยสำเร็จราชการก็ดังก้องอีกครั้ง

“การบูชาบรรพชนครั้งนี้ องค์ชายใหญ่มีความดีความชอบจากนภาคิมหันต์ องค์ชายสี่ประสบความสำเร็จในการทำสงครามนองเลือด องค์ชายห้าปกป้องชายแดน องค์ชายทั้ง 3 มีความโดดเด่น มากด้วยคุณธรรมและความสามารถ เสียสละอุทิศตนเพื่อส่วนรวม จึงได้รับพระราชทานเกียรติให้ถวายการบูชาแก่บรรพชน!”

หลังจากพูดจบ ผู้ช่วยสำเร็จราชการก็หันกลับไป คำนับจักรพรรดิมนุษย์

จักรพรรดิมนุษย์ทรงพยักหน้า ไม่ได้ตรัสสิ่งใด

ผู้ช่วยสำเร็จราชการเว้นช่วงตามมารยาทการเข้าเฝ้าเป็นเวลา 9 อึดใจ จากนั้นจึงลุกขึ้น หันไปมองทางขุนนางในตำหนักใหญ่ แล้วเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “การประชุมวันนี้สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านั้น ท่านทั้งหลายมีเรื่องอื่นที่จะรายงานหรือไม่ หากไม่มี เลิกประชุม”

เหล่าขุนนางก้มหน้า

มีเพียงสวี่ชิงที่ก้าวไปข้างหน้า คำนับจักรพรรดิมนุษย์ “สวี่ชิง มีเรื่องจะกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อสวี่ชิงพูดขึ้น สายตาโดยรอบก็จับจ้องมา แม้แต่จักรพรรดิมนุษย์ก็มองมาที่สวี่ชิง อ๋องสวรรค์เหล่านั้นก็เช่นกัน

แม้แต่อ๋องเจิ้นเหยียนก็ตั้งใจฟัง

เป็นเพราะสถานะปัจจุบันของสวี่ชิง เรื่องที่เขาพูดออกมาต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก

ผู้ช่วยสำเร็จราชการมีสีหน้าเคร่งขรึม พูดด้วยเสียงหนักแน่น “อ๋องเจิ้นชาง มีอะไรจะรายงาน?”

สวี่ชิงครุ่นคิด ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่หยิบแผ่นหยกออกมา บันทึกรูปลักษณ์และการกระทำของผู้บำเพ็ญจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 3 คนที่เขาพบเจอในเขตปกครองพิสดารบันลือ

นอกจากส่วนที่เกี่ยวกับวารีพิสดารบันลือแล้ว ส่วนที่เหลือเป็นความจริง

หลังจากทำเช่นนั้นแล้ว สวี่ชิงก็ยกมือขึ้น แผ่นหยกนี้ลอยไปหาผู้ช่วยสำเร็จราชการ

ผู้ช่วยสำเร็จราชการรับไว้ ส่งจิตเทพเข้าไปดู เสี้ยววินาทีต่อมาสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาเบิกกว้าง มองไปยังสวี่ชิง “อ๋องสวรรค์สวี่ เรื่องนี้…”

“เป็นความจริงขอรับ” สวี่ชิงพูดด้วยเสียงหนักแน่น

สีหน้าของผู้ช่วยสำเร็จราชการและคำตอบของสวี่ชิงทำให้คนรอบข้างสงสัย มีเพียงเอ้อร์หนิวที่เห็นได้ชัดว่าเดาเนื้อหาของแผ่นหยกได้ จึงยิ้มแล้วกลับมาวาดฝันถึงความงดงามของเกราะมหาขุนพลสวรรค์ของตนเองต่อไป

ส่วนผู้ช่วยสำเร็จราชการสูดหายใจเข้าลึกๆ ปกติเขาไม่เคยเสียสมาธิเช่นนี้ แต่เป็นเพราะสิ่งที่สวี่ชิงบอกนั้นสะเทือนใจเขาเกินไป

นั่นคือ…คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นผู้ช่วยสำเร็จราชการจึงไม่ลังเล ถวายแผ่นหยกในมือให้กับจักรพรรดิมนุษย์

จักรพรรดิมนุษย์ส่งจิตเทพเข้าไปตรวจสอบ โดยไม่เปลี่ยนสีพระพักตร์ มีเพียงพระเนตรที่สีสันลุ่มลึกยิ่งขึ้น จากนั้นก็ทรงโบกพระหัตถ์ส่งต่อแผ่นหยกให้กับอ๋องเจิ้นเหยียน

หลังจากที่อ๋องเจิ้นเหยียนได้ดูแล้ว สีหน้าก็มืดครึ้มลง ก่อนจะส่งต่อแผ่นหยกให้อ๋องสวรรค์พระองค์อื่น

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่ามกลางการคาดเดาต่างๆ นานาของขุนนางในตำหนักใหญ่ อ๋องสวรรค์ทั้งหมดก็ดูแผ่นหยกจนครบทุกพระองค์ สีหน้าของแต่ละคนล้วนเคร่งขรึม และไม่ได้ส่งต่อให้โหวนภาดูแผ่นหยก

ทันใดนั้นพระสุรเสียงของจักรพรรดิมนุษย์ก็ดังขึ้นในขณะนี้

“เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องแพร่งพรายแก่คนนอก อ๋องสวรรค์รู้ก็พอ”

แม้จะมีความสงสัยมากมาย แต่ขุนนางในตำหนักใหญ่ก็ทำได้เพียงก้มศีรษะ แต่ในใจความขุ่นมัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

ท้องฟ้าภายนอกมืดลงในชั่วขณะนั้น พร้อมกับเสียงฟ้าร้อง เมฆฝนคล้อยต่ำ เทฝนห่าใหญ่ลงสู่พื้นดิน

ท่ามกลางเสียงฝน สวี่ชิงไม่ได้สนใจเรื่องของแดนศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป สำหรับเขาแล้ว เรื่องเหล่านี้ต้องให้คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าจัดการ

เขาเป็นเพียงมหาขั้นหวนสู่อนัตตา แดนศักดิ์สิทธิ์นั้นกว้างใหญ่เกินไป ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะต้องกังวล

ในสายตาของเขา เวลานี้มีเรื่องที่สำคัญกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ จึงกล่าวอีกครั้ง “การเดินทางไปนภาคิมหันต์ของสวี่ชิง ต้นเหตุทั้งหมดมาจากหนิงเหยียน แม้ว่าองค์ชายหนิงเหยียนจะไม่มีความดีความชอบที่โดดเด่น แต่ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณธรรม ความสามารถ และการอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ล้วนเป็นตัวเลือกที่ดี”

“ในเมื่อพระองค์ทรงแต่งตั้งสวี่ชิงเป็นอาจารย์ขององค์ชาย เช่นนั้นสวี่ชิงขอแนะนำหนิงเหยียนได้รับเกียรติในการบูชาบรรพชนพ่ะย่ะค่ะ”

“หวังว่าพระองค์จะประทานพระราชนุญาต”

สวี่ชิงโค้งคำนับ

คำพูดของเขาไม่ใช่เรื่องโป้ปด ทุกคนต่างทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างสวี่ชิงและหนิงเหยียน ดังนั้นหลังจากนั้นครู่หนึ่ง พระสุรเสียงเสียงของจักรพรรดิมนุษย์จึงดังก้อง “อนุญาต!”

ในขณะที่เสียงดังขึ้น ร่างของจักรพรรดิมนุษย์ก็พร่าเลือนหายไป

การประชุมก็จบลงเช่นนี้

เมื่อทุกคนออกจากตำหนักใหญ่ ขุนนางส่วนใหญ่ต่างยิ้มกว้าง ต่างกอบหมัดแสดงความยินดีกับสวี่ชิงและเอ้อร์หนิว เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ไม่หยุด ราวกับว่าทุกคนต่างมีเจตนาและจิตใจที่ดี

ในความเป็นจริง แม้จะไม่เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่โดยรวมแล้วยังมีความปรารถนาดีอยู่มากพอสมควร

นี่คือสิ่งที่กำหนดโดยระดับและธรรมชาติของมนุษย์

เมื่อคนๆ หนึ่งก้าวไปถึงจุดสูงสุด สิ่งที่เขาเห็นรอบตัวส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นความเป็นมิตร

เพราะราคาของความขัดแย้งนั้นสูงเกินไป

เว้นแต่จะมีผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าคอยผลักดัน นอกเหนือจากนั้น…โลกล้วนเป็นมิตร

“นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ แม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน แต่นั่นเป็นเพราะตอนนี้เราอยู่ในสายตาของเผ่ามนุษย์ ดังนั้นทุกคนจึงมากล้นด้วยไมตรีจิต”

หลังจากได้รับป้ายจวนวิญญาณที่ส่งมาจากองครักษ์ในวังหลวง และกล่าวลาทุกคน สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวก็กางร่มกระดาษไข เดินไปตามถนนมุ่งหน้าไปยังจวนวิญญาณ

สายฝนกลายเป็นเส้นไหม ตกลงมาตามปลายร่ม ท้องฟ้าและผืนดินพร่าเลือนในสายฝน

คนเดินถนนไม่มากนัก ภาพการต้อนรับวีรบุรุษหายไปกับสายฝน และถ้อยคำเนิบนาบที่เอ้อร์หนิวเอ่ยออกมานั้นสะท้อนไปทั่ว ราวกับเข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างทะลุปรุโปร่ง “ดังนั้น อาชิงน้อย เรายังต้องพยายามต่อไป จะตกต่ำลงไม่ได้เด็ดขาด ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นสันดานของมนุษย์ในตอนนั้น”

เอ้อร์หนิวตบบ่าสวี่ชิง สวี่ชิงมีสีหน้าเหมือนปกติ “ข้าเคยเห็นมาแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น นายกองก็ระบายยิ้มออกมา “ข้าลืมไป ประสบการณ์ในวัยเด็กของเจ้า ทำให้เจ้าได้เห็นความชั่วร้ายมากมายในใต้หล้า”

เช่นนั้น พวกเขาจึงเดินไปข้างหน้า ฟังเสียงฝน มองดูผู้คน เพลิดเพลินกับความสงบสุขที่หาได้ยากยิ่งหลังจากกลับมาจากนภาคิมหันต์

จนกระทั่งผ่านไป 1 ชั่วยาม จวนวิญญาณที่จักรพรรดิมนุษย์ประทานให้ก็ปรากฏในสายตาของทั้ง 2

ทั่วทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิมีจวนวิญญาณทั้งสิ้น 108 หลัง

ปัจจุบันส่วนใหญ่ว่างเปล่า อยู่ในสถานะถูกผนึก

เนื่องจากผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับจวนนี้มีเพียงอ๋องสวรรค์

และจวนวิญญาณแต่ละหลังมีมูลค่ามหาศาล เพราะมันสร้างขึ้นบนจุดศูนย์กลางของค่ายกลคุ้มครองเผ่ามนุษย์ ดังนั้นจึงอุดมไปด้วยพลังวิญญาณที่เข้มข้นกว่าพื้นที่อื่นๆ

ไม่ว่าจะเป็นวัสดุที่ใช้สร้างหรือเครื่องเรือนภายใน ล้วนรวมพลังสูงสุดของเผ่ามนุษย์ และค่ายกลที่อยู่ในนั้นก็น่าตกใจ

นอกจากนี้ จวนวิญญาณแต่ละหลังยังมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น จวนของสวี่ชิง มีสระวิญญาณอยู่ภายใน

สระวิญญาณนี้มีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายและการฝึกบำเพ็ญ แม้แต่การอยู่ในนั้นเป็นเวลานานก็ยังสามารถบำรุงวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้จวนวิญญาณนี้จึงอยู่ใน 10 ลำดับแรกใน 108 หลัง

การที่จักรพรรดิมนุษย์ประทานจวนหลังนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่จักรพรรดิมนุษย์มีต่อสวี่ชิง

เอ้อร์หนิวกล่าวลาที่หน้าจวน

“ข้าไม่เข้าไปก็แล้วกัน ข้าจะไปหาตาเฒ่า ดูว่าตาเฒ่าอยู่ในเมืองหลวงจักรพรรดิหรือไม่ ถึงอย่างไรในฐานะอาจารย์…เขาจะกินเลือดเนื้อของเสี้ยวหน้าคนเดียวไม่ได้!”

ระหว่างทางกลับมา นายกองไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ แต่ตอนนี้กลับพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาคิดถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ

เมื่อพูดจบ เอ้อร์หนิวก็เดินจากไปด้วยท่าทางภาคภูมิใจท่ามกลางสายตาของสวี่ชิง

ขณะมองตามร่างของศิษย์พี่ใหญ่ไป สวี่ชิงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมา หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็พูดขึ้น “ช้าก่อนศิษย์พี่ใหญ่”

เอ้อร์หนิวหยุด หันกลับมาด้วยความประหลาดใจ

สวี่ชิงพยายามข่มน้ำเเสียงของตนให้สงบและพูดออกไปโดยไม่มีสีหน้าใดๆ

“ปิ่นปักผม ยังมีอีกหรือไม่?”

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!