บทที่ 955 อยากตายก็เข้ามา!
ฉากที่ปรากฏบนท้องฟ้าทำให้สวี่ชิงแน่ใจทันทีว่าก่อนหน้านี้ตนคิดไว้ไม่ผิด ผู้บำเพ็ญลึกลับที่โผล่มาสกัดฝ่ามือเอกภพในช่วงสำคัญตอน 3 เทพเจ้าเลื่อนขั้นวันนั้น
ก็คือจักรพรรดิมนุษย์
‘มิน่าการถอยทัพของนภาคิมหันต์ตอนนั้นทำให้ข้ารู้สึกดูราบรื่นเกินไป เหมือนการปรากฏตัวของข้าแค่ทำให้การถอยทัพนี้มีเหตุผลสมควร’
‘มาคิดดู ก่อนหน้านี้เทพชั้นสูงซิงเหยียนปรากฏตัวในเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์…น่ากลัวตอนนั้นองค์ท่านก็มีข้อตกลงกับจักรพรรดิมนุษย์แล้ว…’
สวี่ชิงพึมพำในใจ มองฉากยิ่งใหญ่เปี่ยมบารมีตรงหน้า เกิดความรู้สึกนับถือจักรพรรดินีผู้นั้นขึ้นมาเช่นกัน
‘หวังว่า…วันนี้จะสำเร็จ’
สวี่ชิงหาเหตุผลที่จะไม่อวยพรไม่เจอ โดยเฉพาะหลังผ่านการตีกลอง
ดังนั้น เขามองไปยังจักรพรรดินี
จักรพรรดินีที่เขาเห็น มั่นใจสุขุม สง่าดุจหงสา ราวกับทุกการเปลี่ยนแปลงอยู่ตรงหน้าล้วนไม่สั่นคลอน ทุกความยากลำบากล้วนข้ามไปได้ สีหน้าเรียบนิ่งโดยตลอด
หากเป็นสวี่ชิงก่อนเข้า 7 เนตรโลหิต โลกทัศน์ของเขา ความเข้าใจของเขา ประสบการณ์ของเขายังไม่ได้เปิดกว้างถึงที่สุด
เช่นนั้นเขาอาจเข้าใจความสงบนิ่งของจักรพรรดินีเป็นอื่น
แต่บัดนี้ด้วยประสบการณ์ของเขา ย่อมมองออกว่าฐานะและความสูงส่งของนางทำให้นางไม่อาจเผยความรู้สึกของตัวเองได้โดยง่าย เพราะตอนนี้เผ่ามนุษย์ทุกคนกำลังจับตามาที่นาง
นาง คือแหล่งรวมพลังใจของเผ่ามนุษย์บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ในปัจจุบัน
นางตื่นกลัว เผ่ามนุษย์ย่อมตื่นกลัว นางตระหนก เผ่ามนุษย์ย่อมตระหนก
เช่นเดียวกัน ยามนี้ไม่รู้มีเผ่าใหญ่รวมถึงผู้แข็งแกร่งบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มากเท่าไร ยังมีเทพเจ้านับไม่ถ้วนที่กำลังแอบจับตาการบูชาครั้งยิ่งใหญ่ของเผ่ามนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆ
ดังนั้นจินตนาการได้ว่าทุกสีหน้า ทุกประโยค ทุกการกระทำของจักรพรรดินีล้วนถูกขยายไม่รู้กี่เท่า ยังถูกแต่ละฝ่ายรับรู้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อถูกรับรู้ทุกสิ่ง เช่นนั้นอันตรายก็จะมีมากขึ้น
ที่ว่าเหมือนเดินบนน้ำแข็งบางก็คือแบบนี้
นางจึงทำได้เพียงสงบนิ่ง
ในความคิดของสวี่ชิง ท้องฟ้าดังสนั่นรุนแรงกว่าเดิม ความรู้สึกแตกสลายเด่นชัด ผืนดินร่วมคำรน ไหวคลอนตามมา
พิภพผืนนี้คล้ายกลายเป็นทะเลโทสะเชี่ยวกรากในยามนี้ เผ่ามนุษย์กลับเป็นเรือเดี่ยวในคลื่นยักษ์เทียมฟ้า เคลื่อนขึ้นลงตามคลื่นลม เสี่ยงจมลงได้ตลอดเวลา
ส่วนบนม่านฟ้า มีเสียงเลื่อนลั่นทอดจากทะเลเพลิง สนั่นหวั่นไหวแทบหูหนวก
เห็นได้ว่าในนั้นแสงจันทร์สาดส่องเกิดเป็นอำนาจเทพเจ้า กลิ่นอายที่มาจากเทพชั้นสูงเยว่เหยียนกวาดสรรพสิ่งด้วยความโหดร้ายและเย็นชา
ศึกเทพเจ้า โดยเฉพาะศึกเทพเจ้าในระดับของเยว่เหยียนกับอัคคีไม่ใช่คนธรรมดาจะเห็นได้ด้วยตาเนื้อ
แม้สัมผัสได้ก็ไม่ชัดเจน
แสงจันทร์กับทะเลเพลิงบนม่านฟ้าจึงผสานเป็นภาพที่ไม่อาจจับต้อง
ในความเลือนรางนั้น ดวงจันทร์กำลังขยาย เพลิงกำลังม้วนกลับ
ความต่างของระดับพิสุทธิ์กับเพลิงพิบัติปรากฏชัดในม้วนภาพนี้
ความจริงหากเยว่เหยียนต้องการ สำหรับองค์ท่านจะกำราบเพลิงพิบัติแค่พลิกฝ่ามือก็ได้
แต่ชัดว่าองค์ท่านไม่คิดทำ
ส่วนจิ้งจอกดินด้านข้างก็เป็นเช่นนั้น องค์ท่านเดินอยู่ในรัตติกาลอย่างเยือกเย็น ดินตกจากฟ้า โคลนผุดบนพื้น เดินผ่านบริเวณใดทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดูเหมือนจะกลายเป็นรูปปั้นดินมหึมา
รวมไปถึงเทพจากซากศพนับไม่ถ้วนที่กำลังถอยหลังไม่หยุดเบื้องหน้านาง
ชัดว่าในใจองค์ท่านทั้ง 2 การคุ้มครองวิถีครั้งนี้เพียงต้องขัดขวางและจัดการนิดหน่อยเท่านั้น
ที่จริงใช่ว่าสังหารเพลิงพิบัติ 2 คนให้เผ่ามนุษย์ไม่ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนเผ่ามนุษย์ยังจ่ายราคานี้ไม่ไหว
นี่อยู่เหนือขอบเขตข้อตกลงด้วยเช่นกัน
ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาจักรพรรดินี
ไม่ว่าการมาเยือนของเทพอัคคีเผ่าเอกภพแดนสีชาด หรือการปรากฏตัวของเทพเจ้าเผ่าเหวกระดูกนรกานต์ ความจริงก็อยู่ในการคาดหมายของนางอยู่แล้ว
การเลื่อนขั้นของเทพเจ้าทั้ง 3 ตอนนั้น ในแง่หนึ่งถือเป็นการเผยอุปสรรคที่นางต้องเผชิญหลังจากนี้ให้เห็นล่วงหน้า
ดังนั้น…นางตัดสินใจร่วมมือกับเทพเจ้าทั้ง 3 เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงออกมือในชั่วเวลาสำคัญที่สุดของอีกฝ่าย ต่อต้านฝ่ามือเอกภพนั้นให้เหล่าองค์ท่าน
ทำเช่นนั้นแลกกับการมาเยือนของเทพเจ้าทั้ง 3 ในวันนี้!
แม้เหล่าองค์ท่านไม่ได้ออกเต็มแรง แต่ท่าทีเผยชัดเจน จักรพรรดินีก็รู้ดีแก่ใจว่านี่เป็นเพียงข้อตกลง
แม้เผ่านภาคิมหันต์เป็นศัตรูมานับแต่โบราณ แต่สำหรับอนาคตของเผ่ามนุษย์ ศัตรู…ก็ใช่ว่าเป็นพันธมิตรไม่ได้
อย่างไรเทียบกับเทพเจ้าองค์อื่นบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ที่มาของเทพเจ้าทั้ง 3 เหมาะสมยิ่งกว่า
แน่นอนว่าเงื่อนไขแรกยังต้องมีคุณสมบัติพอให้แลกเปลี่ยนกับเหล่าองค์ท่าน
จักรพรรดินีเลื่อนสายตาจากม่านฟ้า มองไปยังศพของจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่งในเกลียวคลื่นทั้ง 5 รอบดาวจักรพรรดิโบราณ
ความลับเกี่ยวกับที่มาของเทพเจ้าทั้ง 3 คือสาเหตุที่จักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่งเปิดสงครามค้นหาภายใต้คำสั่งของแดนศักดิ์สิทธิ์
ความลับนี้ส่งถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ในที่สุด พร้อมกันนั้นจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่งก็บอกต่อคนรุ่นหลัง
จักรพรรดินีถอนสายตาลงไปยังขอบฟ้า เพลิงเทวะของนางลุกโชนถึงช่วงสำคัญแล้ว
“ในข้อตกลงนี้มีของอีกอย่างหนึ่ง”
พริบตาที่มองไป ตรงสุดขอบฟ้ามีเสียงตีกลองสนั่นหวั่นไหวทอดมา
เสียงนี้ดังทอดมาไม่หยุด สะเทือนจิตใจทุกชีวิต ท้องฟ้าถอดสี ผืนดินกลายเป็นความว่างเปล่า ทั้งพิภพกำลังสั่นรุนแรงในพริบตานี้
ท้องฟ้าเป็นเช่นนั้น ผืนดินเป็นเช่นนั้น ขุนเขาสายธารเป็นเช่นนั้น สรรพชีวิตก็เป็นเช่นนั้น
ราวกับการมีอยู่บางอย่างที่น่ากลัวหาใดเปรียบกำลังเดินมายังโลกท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น
ไม่นาน ความว่างเปล่าถูกแหวกออก รอยแยกมหึมาสายหนึ่งทะลุจากตะวันตกสู่ตะวันออกท่ามกลางฟ้าดิน ความยาวดูไร้สิ้นสุด เงยหน้ามองยากเห็นสุดขอบ
และในรอยแยกนั้นมีลมทางเหนือพัดมา
ลมนี้เย็นเยือก ทำลายพลังชีวิต พัดแรงขึ้นทุกที สุดท้ายเกิดเสียงคร่ำครวญ กลายเป็นพายุที่รุนแรงพอให้สะกดกาลเวลา
ผู้ใดพบเห็นล้วนตื่นกลัว
ไม่ว่าเทพอัคคีหรือเทพเจ้ารัตติกาล ยามนี้ล้วนตัวสั่นเทา มองทอดไปยังพายุ
เหล่าองค์ท่านเห็นเงาร่าง 2 สายเหยียบพายุออกมาจากรอยแยก
เงาร่าง 2 สาย หนึ่งใหญ่ หนึ่งเล็ก
เงาใหญ่นั้นมีกายขนาดพันจั้ง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเกราะกระดูกสีทอง ราวกับงอกอยู่บนกายเนื้อ ไม่แยกจากกัน ความศักดิ์สิทธิ์เด่นชัดบนตัวเป็นพิเศษ
ส่วนหัวก็มีหมวกเกราะ กลับไม่ปิดบังใบหน้า เพียงแต่ใบหน้าประหลาด…ตรงนั้นดำมืดทั้งผืนราวกับหลุมดำ
ไม่มีเครื่องหน้า
ด้านหลังเป็นสายเส้นแล้วเส้นเล่าที่เกิดจากอัสนีสีทองนับไม่ถ้วน แผ่ขยายหมื่นจั้ง ยิ่งใหญ่น่าตื่นตะลึง
รวมกันเป็น…ปีกมหึมาคู่หนึ่ง!
พลังกดดันน่าครั่นคร้าม กลิ่นอายน่าหวาดกลัวมาเยือนโลกนี้พร้อมการมาถึงขององค์ท่าน
ข้างกายมีผู้ติดตามเหมือนคนรับใช้ กายสวมชุดยาวสีเทา ไอหมอกสีเทากระจายออกทั่วร่าง ในตัวมีเสียงคำรามก้องสะท้อน ถึงกับเป็นเทพชั้นสูง
แม้ไม่ใช่เพลิงพิบัติ แต่ก็เป็นขั้นเพลิงกรรม
การมีอยู่เช่นนี้ถึงกับเป็นแค่ผู้รับใช้เทพ เห็นได้ถึงฐานะสูงส่งของเทพเกราะกระดูกสีทองที่เหยียบพายุออกมาจากรอยแยก
“เผ่าราชันประกาศิตอุดร!”
จักรพรรดินีกล่าวคำแช่มช้า น้ำเสียงทุ้มต่ำ
เผ่าราชันประกาศิตอุดรอันเป็นลำดับ 2 ในกลุ่มเผ่านับไม่ถ้วนบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
มองทั่วทั้งเมืองหลวงจักรพรรดิ เรียกได้ว่าเป็นเผ่าแข็งแกร่งที่สุด
ที่มาเยือนตอนนี้ ก็คือเทพชะตา 1 ในหมู่มวลเทพของเผ่านี้ ระดับพิสุทธิ์ขั้นสูงสุด!
องค์ท่านเดินมา อัคคีก้มหน้า รัตติกาลสำรวม ซิงเหยียนกับเยว่เหยียนก็เคร่งขรึม
แม้เป็นพิสุทธิ์ด้วยกันทั้งหมด แต่ผู้นี้ชัดว่าอยู่ใกล้แท่นเทวะกว่าเหล่าองค์ท่าน
“ผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์เปลี่ยนเป็นเทพใช่ว่าทำมิได้”
“แต่บัดนี้ประกาศิตอุดรมีเรื่องสำคัญ จักรพรรดิเผ่ามนุษย์ พิธีสำเร็จเทพของเจ้าเอาไว้อีก 3,000 ปีค่อยดำเนิน”
ในพายุนั้น เทพชะตากล่าวคำเรียบนิ่ง
เสียงตกถึงแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ กลายเป็นกฎผนึกฟ้าผนึกดิน
พูดจบ สายตาองค์ท่านตกที่ตัวจักรพรรดินี น้ำเสียงเรียบนิ่งราวกับเป็นเพียงคำสั่ง และผู้ฟังไม่มีทางเลือกให้ปฏิเสธ
จักรพรรดินีนิ่งเงียบ แต่เพลิงเทวะบนดาวจักรพรรดิโบราณยามนี้นอกจากไม่ลดลง กลับจะยิ่งโชติช่วงขึ้นมาตามคลื่นในใจของนาง
เสียงเลื่อนลั่นดังทอดมา การลุกไหม้รุนแรงหาใดเปรียบ
เห็นเป็นเช่นนั้น เทพชะตาเผ่าราชันประกาศิตอุดรผู้นี้ยกมือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ฉับพลันพายุรอบด้านพลิกม้วนรวดเร็วท่ามกลางเสียงหวีดคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน กำลังจะกวาดซัดไปยังจักรพรรดินีและดาวจักรพรรดิโบราณ
แต่ในตอนนั้นเอง ตะวันดวงใหญ่โผล่ออกมาตรงกลางระหว่างจักรพรรดินีกับเทพชะตาผู้นี้ แสงเรืองรองระยับฟ้าดินสะท้อนทั่วทิศ
รัศมีผ่านบริเวณใดพายุก็หยุดนิ่ง
และในตะวันดวงใหญ่นั้น มีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมา
ร่างกายดูคล้ายสตรี แต่ใบหน้ากลับมีความเป็นชาย ดวงอาทิตย์ด้านหลังรัศมีไร้สิ้นสุด ใต้ฝ่าเท้าปรากฏกลุ่มเผ่าและผีร้ายร้องหวีดแหลมนับไม่ถ้วน
เป็นเทพชั้นสูงรื่อเหยียนผู้แข็งแกร่งที่สุดในเทพเจ้าทั้ง 3 แห่งนภาคิมหันต์นั่นเอง
ชั่วขณะที่ปรากฏตัวมาขวางเทพชะตาเผ่าราชันประกาศิตอุดร พร้อมกันนั้นมือขวาองค์ท่านพลันยกโบก อักขระเทพ 7 สีลอยไปหาจักรพรรดินี
“เรา 3 เทพเจ้าแห่งนภาคิมหันต์ยึดมั่นในคำสัตย์ แม้ไม่ทำเรื่องนอกเหนือข้อตกลง แต่ในข้อตกลงจำต้องทำตาม วันนั้นตกลงกันว่าเจ้าจะช่วยสุดกำลัง หากอุปราชไอศวรรย์ยังพ่ายแพ้ ของสิ่งนี้จะเป็นของเจ้าดังเดิม ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว”
“จักรพรรดินีเผ่ามนุษย์แห่งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ข้อตกลงในภายภาคหน้าก็เช่นเดียวกัน!”
เทพสุริยันกล่าวคำแช่มช้า จากนั้นก้าวเดินไปทางเทพชะตาเผ่าราชันประกาศิตอุดรผู้นั้น
“เผ่าราชันประกาศิตอุดร ที่นี่คือทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ไม่ใช่ทางเหนือที่เจ้าอยู่ มือของพวกเจ้า…ยื่นมาไกลเกินไปแล้ว”
พูดจบ ตะวันดวงใหญ่ด้านหลังเทพสุริยันยิ่งเปล่งแสงเรืองรอง เกิดเป็นรัศมีบาดตาแผ่คลุมเทพชะตาที่มุ่นหัวคิ้วไว้ด้านใน
อักขระเทพ 7 สีนั้นยามนี้ก็เข้าใกล้จักรพรรดินี ถูกนางยกมือคว้าไว้
ในเผ่ามนุษย์แทบไม่มีใครรู้จักอักขระเทพแผ่นนี้
แต่สวี่ชิงดูออกในแวบแรก
เพราะเขากับเอ้อร์หนิวเคยมีอักขระเทพแบบเดียวกัน
สิ่งนี้…คือของที่เกิดขึ้นในแผ่นดินเทวะหลังจากอุปราชไอศวรรย์ผู้สำเร็จเทพล้มเหลวสิ้นชีพ
ในนั้นเกิดจากอำนาจแผ่นดินเทวะรวมกับพลังเลื่อนขั้นของแผ่นดินเทวะ เมื่อแผ่นดินเทวะหายไป สิ่งนี้ก็ปรากฏ และประโยชน์ของมัน…คือเป็นตัวช่วยการสำเร็จเทพอย่างมหาศาล ด้วยในนั้นแฝงไว้ซึ่งพลังน่าตื่นกลัว
ยามนี้ถือมันไว้แล้ว นัยน์ตาจักรพรรดินีฉายประกายเฉียบคม ตรวจดูมันโดยละเอียดรอบหนึ่ง แน่ใจว่าไร้อุปสรรค นัยน์ตาองค์ท่านฉายแววเด็ดขาด พลันโบกแผ่นอักขระเทพ
ฉับพลันยันต์นี้หายไป ปรากฏอีกครั้งในส่วนลึกของดาวจักรพรรดิโบราณ
พริบตาต่อมา หลังมันฉีกขาดกลายเป็นเชื้อเพลิง ทั้งดาวจักรพรรดิโบราณสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา เพลิงเทวะในนั้นระเบิดโชติช่วงกว่า 10 เท่าทันใด
ความรุนแรงของเปลวเพลิงยิ่งเป็นเช่นนั้น
ขั้นตอนการสำเร็จเทพเพิ่มความเร็วในพริบตา จิตวิญญาณน่าตื่นตะลึงก็ลอยขึ้นกลางอากาศจากศพเสวียนจั้นและอดีตจักรพรรดิมนุษย์คนอื่น
เห็นว่าไม่มีอุปสรรคอีกต่อไป
แต่ในตอนนั้นเอง พลันมีเงาร่างสีเทาสายหนึ่งเหาะออกมาจากรัศมีดวงตะวันของเทพสุริยัน
เป็นผู้รับใช้เทพขั้นเพลิงกรรมข้างกายเทพชะตานั่นเอง
กับผู้รับใช้เทพนี้ หากเทพสุรยินคิดขัดขวางย่อมทำได้ แต่ก็อย่างที่องค์ท่านว่า องค์ท่านทำเพียงเรื่องในขอบเขตข้อตกลง ในข้อตกลง ขัดขวางเทพ 3 องค์ให้จักรพรรดิมนุษย์ถือเป็นขีดสุด
ต่อจากนี้เผ่ามนุษย์เผชิญหน้าอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของเผ่ามนุษย์ และเทพเจ้าทั้ง 3 ก็อยากลองดูความสามารถของเผ่ามนุษย์ตอนนี้ รวมถึงมีคุณสมบัติร่วมวางแผนการใหญ่ในภายหน้าจริงหรือไม่
แน่นอน หากจักรพรรดินีเอ่ยปาก เช่นนั้นก็จะเป็นอีกข้อตกลง
จักรพรรดินีสีหน้าปกติ ไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา พริบตาที่เทพเจ้าสีเทามาถึง เงาร่างชราสายหนึ่งพุ่งออกไปจากข้างกายจักรพรรดินีด้วยความแน่วแน่
เป็นขันทีอาวุโสที่คุ้มครองอยู่ข้างกายนางมาตลอดนั่นเอง
ชั่วขณะที่พุ่งออกมา ความเร็วร่างกายเขาเปลี่ยน จากกายเนื้อกลายสภาพเป็นกึ่งโปร่งแสง
ขั้นตอนนี้ ในหัวเขาปรากฏชีวิตหนึ่ง
เขาไม่ใช่เผ่ามนุษย์ หากเป็นเผ่าพรางมารยา
เผ่าพวกเขามีประชากรน้อยยิ่ง ทุกคนล้วนอยู่ด้วยตนเอง
นานมาแล้วอาศัยลักษณะพิเศษของเผ่าทำการลอบสังหารเป็นอาชีพ แต่ก็ได้รับผลกระทบเฉียดตายหลายครั้ง
ครั้งรุนแรงที่สุด แม้เขาหนีมาได้ แต่ยังหมดสติไป เป็นสาวน้อยจักรพรรดินีที่ช่วยเขาไว้อย่างเหนือความคาดหมาย
เขาอยู่กับนางมานาน มองจักรพรรดินีเติบใหญ่ มองนางเดินขึ้นจุดสูงสุดทีละก้าว ใจก็เกิดความผูกพันโดยไม่รู้ตัว
และหลังจักรพรรดินีสืบตำแหน่ง มอบความโชคดีไม่สิ้นสุดแก่เขา มอบความหวังไร้ขีดจำกัดแก่เขา ทำให้เขาสามารถยืมโชคชะตาของเผ่ามนุษย์ ร่วมกับความสามารถและวิชาลับล้ำค่ามากมาย จนทะลวงขีดจำกัดของตน เดินสู่ 9 เขตขั้นทีละก้าว
แม้ 9 เขตขั้นเช่นนี้เทียบกับผู้อื่นที่เลื่อนขั้นเองจะอ่อนแอกว่ามาก ทั้งยังหมดความเป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนขั้น
แต่เจ้าเหนือหัวก็ไม่ใช่สิ่งที่สายเลือดเขาบรรลุได้อยู่แล้ว เดินถึงขั้นสูงสุดของผู้บำเพ็ญในตอนนี้อย่างเตรียมสู่เทวะ 9 เขตขั้น ชีวิตนี้เขาไม่เสียใจแล้ว
บัดนี้ เห็นสาวน้อยในตอนนั้นกำลังเดินขึ้นจุดสูงสุด เขายินดีแผดเผาตนเอง ยอมเอาชีวิตปกป้องอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย
พริบตาต่อมา ร่างกายเขาลุกไหม้ กะโหลกสีม่วงถูกเขาหยิบออกมาถือไว้ในมือ
กะโหลกนี้เป็นสีม่วงล้วน บนนั้นแผ่พลังโหดเหี้ยมสะเทือนฟ้าออกมา ยังแฝงด้วยความโกรธแค้นไม่ยินยอมไร้สิ้นสุด ราวกับคำรามไร้สุ้มเสียงใส่ฟ้าดินและโลกใบนี้ ถ่ายทอดความโศกเศร้าสุดท้ายในชีวิตตนออกมา
ยามนี้เมื่อปรากฏ ฟ้าร้องลั่นขึ้นมา เงาวิถีสวรรค์นับไม่ถ้วนถึงกับแปลงร่างออกมาเองกลางอากาศ มองกะโหลกนั้นอย่างเงียบเชียบด้วยความโศกเศร้าเช่นกัน
มองกะโหลก…ของร่างผู้ที่เคยสง่างามเลิศล้ำ แบกรับความหวังสุดท้ายของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ คนที่เกิดมาไม่เป็น 2 รองใครในโลก
นั่นคือ กะโหลกขององค์รัชทายาทม่วงครามเมื่อชาติก่อน!
พลังที่แฝงในนั้นน่าตื่นกลัวเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญทั่วไปจะกระตุ้นออกมาได้ แม้เป็นเตรียมสู่เทวะ 9 เขตขั้นก็ไม่มีคุณสมบัติพอ
ด้านขันทีอาวุโสจึงใช้พลังชีวิตของตน ใช้พรสวรรค์ของเผ่า ใช้พลังบำเพ็ญทั้งหมดมาเผาผลาญ แลกกับการกระตุ้นพลังของกะโหลกนี้
ชั่วพริบตา ร่างเขาหายไปโดยสิ้นเชิง วิญญาณกระจัดพลัดพราย กายใจดับสิ้น
กะโหลกที่เปล่งแสงสีม่วงเข้มข้นน่าตื่นตะลึงระเบิดพลัน เสียงคำรามแฝงความบ้าคลั่งไร้สิ้นสุดก้องสะท้อน ราวกับส่งจากห้วงเวลามายังฟ้าดินในอีกหลายหมื่นปีให้หลัง!
ในนั้นแฝงด้วยความโกรธแค้น ไม่ยินยอม ขมขื่น บ้าคลั่งรวมถึงความเกลียดชังเทียมฟ้า เกิดเป็นพายุทำลายล้างพุ่งตรงไปหาผู้รับใช้เทพเจ้าสีเทา
กายผู้รับใช้เทพเจ้าสีเทาหยุดกึก คล้ายสัมผัสถึงอันตรายขีดสุด รีบถอยหลังออกมา
แต่ยังคงช้าไป
พายุโหมกวาดซัดผ่านร่างเขาไป
ชั่วพริบตา ผู้รับใช้เทพเจ้าสั่นเทาทั้งร่าง ในกายส่งเสียงครวญครางเจ็บปวดน่าสังเวชถึงขีดสุด ราวกับพริบตานั้นเขาเผชิญกับขั้นตอนการตายของรัชทายาทม่วงครามในตอนนั้น
จากนั้นแหลกสลาย!
เทพเจ้าดับสิ้น
จักรพรรดินีเงยหน้า มองจุดที่ขันทีอาวุโสสลายไป ใบหน้าที่ไม่เคยสั่นไหวนั้นปรากฏความเศร้า
ถอนหายใจแผ่วเบา
นางนึกถึงคำถามที่ถามสวี่ชิงในวังหลวง
‘เจ้าคิดว่าอุปราชไอศวรรย์นภาคิมหันต์ผู้นั้นเป็นอย่างไร’
คำตอบของสวี่ชิงตอนนั้นคือ…
‘ควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้ แล้วจะควบคุมชะตากรรมของเผ่าอย่างไร สุดท้ายเป็นเพียงดอกไม้ในกระจก ดวงจันทร์กลางน้ำ รุ่งเรืองล่มจมได้ใน 1 ความคิด’
ความเศร้าโศกบนหน้าจักรพรรดินีแทนที่ด้วยความเด็ดขาด
เพลิงเทวะโชติช่วงกว่าเดิมในยามนี้!
ภายใต้จิตวิญญาณน่าสะพรึงกลัวนั้น ศพอดีตจักรพรรดิในเกลียวคลื่นทั้ง 5 ต่างยก 2 มือทำมุทราขณะนั่งขัดสมาธิ
มุทรานี้ไม่ใช่ตราของผู้บำเพ็ญ หากเป็นอำนาจของเทพเจ้า
คนที่สร้างรูปอำนาจเทพเจ้าได้คนแรกคือจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่ง ดวงตาเขาพลันเบิกกว้าง เผยให้เห็นดวงตาดำมืด ความรู้สึกของพลังและการทำลายถึงขีดสุดพลันระเบิดบนกายเขา
นั่นคืออำนาจเทพเจ้าที่เกี่ยวกับสงคราม
จากนั้นเป็นจักรพรรดิมนุษย์จิ้งอวิ๋น ดวงตาเขาลืมขึ้นช้าๆ สีหน้าฉายแววงุนงงเพียงครู่แล้วสงบลง จิตคุ้มครองพุ่งขึ้นจากกายเขา
ปกคลุมฟ้าดิน ปกคลุมเผ่ามนุษย์
จากนั้นเป็นเซิ่งเทียน
รัศมีส่องประกายบนตัวเขาเป็นระยะ แสงนี้อ่อนโยน ไม่มีพลังโจมตีแต่อย่างใด กลับจะเสริมสร้างกายเนื้อ เสริมสร้างจิตวิญญาณ ปลอบประโลมคลื่นสั่นไหว
นั่นคืออำนาจเทพเจ้าที่แฝงพลังรักษา!
ครู่ต่อมา บนกายจักรพรรดิมนุษย์เต้าซื่อมีอำนาจเทพเจ้าระเบิดพลังเช่นกัน
อำนาจเทพเจ้านี้ต่างกับจักรพรรดิมนุษย์คนอื่น ชั่วขณะที่ปรากฏ เกลียวคลื่นที่เขาอยู่เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น พลังด้านลบทั้งหลายอย่างคำสาป พิษร้าย แม้กระทั่งโรคระบาดแผ่ขยายออกจากตัวเขาเป็นระยะ
แปดเปื้อนทั่วทิศ เกิดเป็นกลิ่นอายน่าหวาดกลัว
ถัดจากนั้นคือเสวียนจั้น!
อำนาจเทพเจ้าของเขาน่าตื่นตะลึงไม่แพ้กัน นั่นคือความตายไร้สิ้นสุด ทับซ้อนกับอำนาจเทพเจ้าในนรก สิ่งที่เขาควบคุมคืออำนาจยมโลก!
ชั่วขณะที่ต้นพลังอำนาจเทพเจ้าของจักรพรรดิมนุษย์ทั้ง 5 ปรากฏ แสดงให้เห็นว่าพิธีสำเร็จเทพครั้งนี้มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว
ด้านจักรพรรดินี บนกายมีคลื่นอำนาจเทพเจ้าปรากฏเช่นกัน
แต่ในตอนนั้นเอง อุปสรรคมาเยือนอีกครั้ง!
เสียงกระซิบเย็นเยียบก้องสะท้อนออกมาจากทั่วทั้งดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
“จักรพรรดิครองกระบี่ ตัวข้ามาดูจุดจบของเจ้า!”
เสียงระเบิดดินแดน แสงสีแดงปรากฏ
ภูเขานับไม่ถ้วนพังทลาย หมอกสีแดงแผ่กระจาย
แม่น้ำสายธารม้วนกลับ เกิดเป็นสายน้ำสีแดง
สีแดงทั้งหมดนั้นลอยขึ้นกลางอากาศเหนือดินแดนเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์ รวมอยู่ทิศเดียวกัน มองจากไกลๆ สีแดงเหล่านี้ราวกับกลายเป็นชายเสื้อของชุดตัวหนึ่ง!
มีเทพมาเยือน ชุดแดงแนบกาย ร่างประคองผืนฟ้าได้
ชายเสื้อปูทั่วผืนดิน ปกคลุมขุนเขาสายธาร ประหนึ่งท้องฟ้าสีแดงเคลื่อนไหวตาม
1 ก้าวข้ามแดนดิน ปรากฏบนยอดฟ้าเหนือเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
เงาร่างเผยออกมา
นั่นคือบุรุษวัยกลางคนรูปงามผู้หนึ่ง ผมยาวปลิวไสว เส้นผมทุกเส้นล้วนมีรัศมีไหลผ่าน พลังเทพเจ้าที่แผ่ทั่วกายทำให้ตะวันจันทรามืดหม่น ทำให้เหล่าเทพครั่นคร้าม
และที่ทำให้จิตใจสั่นสะท้านยิ่งกว่า คือทรวงอกขององค์ท่านถึงกับมีกระบี่ยาวมายาเล่มหนึ่งแทงอยู่
กระบี่นี้แทงทะลุร่าง เลือดสดไหลจากปากแผลไม่ขาด ราวกับชุดยาวขององค์ท่านเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานด้วยสิ่งนี้
สวี่ชิงมองแวบเดียวก็ดูออก กระบี่มายาเล่มนั้นคือกระบี่จักรพรรดิ!
“วันเดือนเคลื่อนคล้อย กาลเวลาผันผ่าน เสียดายจักรพรรดิครองกระบี่ไม่อาจย้อนกลับไป…”
“ตอนนั้น ข้าต่อสู้กับเจ้า ร่วงหล่นจากแท่นเทวะ จนบัดนี้บาดแผลยังไม่หาย วันนี้รู้ว่าเจ้ากำลังจะร่วงจากที่สูง ข้ามาดูจุดจบของเจ้า จัดการผลกรรมให้หมดสิ้น!”
ชายวัยกลางคนในสีเลือดกล่าวเสียงแหบพร่า
พริบตาต่อมา เสียงเก่าแก่คร่ำโลกทอดมาจากเมืองหลวงจักรพรรดิ แผ่อานุภาพมหาศาลด้วยพลังเปิดมวลวิถีฟ้าดินแล้วเอาอำนาจในห้วงเวลาบรรพกาลออกมา
อยู่เหนือเสียงสวรรค์ เป็นหนึ่งเดียวบนพิภพ
ก้าวข้ามอดีตและปัจจุบัน สร้างความศักดิ์สิทธิ์ไร้ใดเทียม
ชั่วเวลานี้ วิถีสวรรค์ก้มหัว ทุกชีวิตหมอบกราบ
“อวี้หลิวเฉิน อยากตายก็เข้ามา”
ขณะเอ่ยคำ กลิ่นอายสะท้านฟ้าสะเทือนดินจากในวังครองกระบี่เมืองหลวงจักรพรรดิกดดันเหล่าเทพ ครอบคลุมถึงผืนนภา
แข็งแกร่งอย่าง 3 เทพเจ้านภาคิมหันต์ยังจิตใจสั่นสะเทือน
เพียงเห็นมหามรรคาสายรุ้งที่เกิดจากปราณกระบี่นับไม่ถ้วนแผ่ออกจากวังครองกระบี่ ก้าวข้ามเมืองหลวงมาถึงเบื้องหน้าชายวัยกลางคนในสีเลือดที่ขอบฟ้า
เกิดเป็นทางสายหนึ่ง
องค์ท่านคล้ายยกเท้าก็เหยียบขึ้นไปได้
แต่ว่า องค์ท่านนิ่งเงียบ
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)


