บทที่ 968 ไฟรักดวงน้อย
สะท้านฟ้าสะเทือนดินเป็นการบรรยายอย่างหนึ่ง
สำหรับแต่ละคนความหมายของฟ้าก็ต่างกัน
อย่างจักรพรรดินี ฟ้าสำหรับองค์ท่านคือเผ่ามนุษย์ องค์ท่านสามารถแบกรับทุกสิ่งอย่างเพื่อเผ่ามนุษย์ องค์ท่านอยากอุ้มชูทั้งเผ่าให้ยังคงเดินสวนทางในยุคที่ไม่ใช่กระแสวิถีมนุษย์
ส่วนฟ้าในใจสวี่ชิง คือคนที่เดินเข้ามาในใจเขาหลังผ่านเรื่องราวตลอดทาง
ไม่ว่าหัวหน้าเหลย ปรมาจารย์ไป่ อาจารย์ เอ้อร์หนิว จื่อเสวียน หลิงเอ๋อร์และคนอื่นๆ…ยังมีเหตุการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านี้ เช่นเขตปกครองผนึกสมุทร, 7 เนตรโลหิต และแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์
เหล่านี้ล้วนเป็นสีสันในโลกของเขา และเป็นส่วนประกอบสำคัญในความเป็นมนุษย์ของเขา
ดั่งสมอเรือที่ทำให้ความเป็นเทพของเขามีไว้ใช้เพื่อความเป็นมนุษย์โดยตลอด ไม่มีวันเอนเอียง
โดยเฉพาะหลังฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ ใช้เลือดเนื้อเสี้ยวหน้าสร้างร่างกาย ใจเขาย่อมถูกเปลี่ยนให้เป็นเทพ ดังนั้นสีสันของความเป็นมนุษย์จึงยิ่งสำคัญ
แต่สำหรับหวงเหยียน ฟ้าในใจเขา…
คือการเหลือบลงไปเห็นหญิงงานชวนตะลึงตอนเหาะเหินอยู่ตรงขอบฟ้าด้วยความทะนง
เงาร่างที่กวัดแกว่งกระบี่ใหญ่อยู่กลางทะเลต้องห้ามกลายเป็นฟ้าดินของเขา กลายเป็นโลกของเขา กลายเป็นทุกสิ่งของเขานับแต่นั้น
ทำให้เขายินดีแยกร่างลงมาไขว่คว้าโดยไม่สนฐานะหรือสิ่งอื่นใด
แม้หนทางยากลำบาก แต่เขายังคงยึดมั่น
ความทะนงของเขาลดลงได้เพื่อคนคนนั้น ความแข็งแกร่งของเขาอ่อนแอได้เพราะคนคนนั้น
ทั้งชีวิตเขาไม่เคยไปบูชาเสี้ยวหน้าตามคนส่วนใหญ่ ไม่เคยไปสนใจความเป็นความตายของสรรพชีวิต เขาเป็นถึงปักษาสวรรค์ทักษิณ ศีรษะเชิดขึ้นได้ตลอดเวลา
มีเพียงอยู่ต่อหน้าคนคนนั้น เขายินดีก้มมันลง
เพราะนี่คือความรักครั้งแรกของเขาผู้เป็นเผ่าปักษาสวรรค์เพียงหนึ่งในโลก
และจะเป็นครั้งเดียวในชาตินี้
ดังนั้นพอหวงเหยียนพูดจบ สวี่ชิงก็เดาสาเหตุได้
ศิษย์พี่หญิงโกรธแล้ว
“ไม่ได้การ พวกเราต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”
หวงเหยียนหายใจเข้าลึก พลันเคลื่อนกายแปลงร่างเป็นวิหคเพลิงสวรรค์
ทะเลต้องห้ามมืดพลัน
บนนภา เงาร่างมหึมาบดฟ้าบังตะวัน พลังน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นสุดในพริบตา
ผ่านบริเวณใดฟ้าดินเปลี่ยนสี ขณะกระพือปีก ลมพัดเมฆแผ่คลุม
ความน่าเกรงขามของเจ้าแห่งปักษาสวรรค์ทักษิณอัดแน่นทะเลต้องห้ามในยามนี้
เรื่องความรักของหวงเหยียนกับศิษย์พี่หญิงรอง สวี่ชิงนับว่าเป็นพยานมากกว่าครึ่ง ตอนนี้จึงก้าวตามไปบนท้องฟ้า
ตามด้วยฟ้าแลบไร้สิ้นสุด เงาร่างของพวกเขาพลันหายไปในขอบฟ้า
เป้าหมายคือหมู่เกาะแห่งหนึ่งบนทะเลต้องห้ามที่ห่างจากตรงนี้ประมาณหนึ่ง
“พวกเรา 7 เนตรโลหิตจะมีการประลองครั้งใหญ่ทุกรอบหลาย 10 ปี ตอนนั้นเกาะเงือกก็ด้วย เจ้ากับข้าต่างเข้าร่วมแล้ว และการประลองใหญ่ครั้งนี้กำลังดำเนิน โดยมีศิษย์พี่หญิงเป็นผู้ควบคุม”
“สถานที่ฝึกซ้อมคือเผ่าเต่าทะเลยักษ์”
“เมื่อครู่ศิษย์พี่หญิงส่งเสียงมาให้ข้า บอกว่าเผ่าเต่าทะเลยักษ์เรียกเทพเจ้าของพวกมันออกมา ซึ่งก็คือสิ่งมีชีวิตประเภทเทพอย่างหนึ่ง”
ระหว่างห้อตะบึง เสียงของหวงเหยียนดังก้องอยู่ในจิตใจสวี่ชิง
ในสายตาผู้แข็งแกร่ง สิ่งมีชีวิตประเภทเทพไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อะไรอยู่แล้ว หลายเดือนนี้สวี่ชิงสังหารไปเจ็ดแปดตัว
หากหวงเหยียนออกมือ 1 ลมปราณก็คงสังหารมันได้
แต่ทำให้ศิษย์พี่หญิงโมโห เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ใหญ่ทีเดียว
ดังนั้นสวี่ชิงจึงสีหน้าขรึมลง พยักหน้าและมุ่งไปเต็มความเร็ว “งั้นพวกเราเร่งความเร็วหน่อย!”
ได้ยินสวี่ชิงกล่าวเช่นนี้ หวงเหยียนตะโกนว่าสหายรักและเร่งความเร็วตามไปด้วย
ขณะห้อตะบึงสุดกำลัง พลังต้นกำเนิดเทพในกายสวี่ชิงปรากฏขยายทั่วร่าง คนทั้งคนดูแล้วถึงกับเปล่งรัศมีสีทองออกมา
ผสานสีเงินที่สะท้อนจากร่างเป็นบางครั้ง ราวกับเทพมารกระนั้น
ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมร่างกายอันประกอบด้วยเลือดเนื้อเสี้ยวหน้า
ในร่างกายเขามีเลือดเนื้อเสี้ยวหน้ากับปรอทเซียนอยู่ด้วยกัน อย่างแรกสร้างกาย อย่างหลังกลับเป็นสื่อผสานเลือดเนื้อเสี้ยวหน้า
ส่วนแสงเซียนตะวันดับจะค่อยๆ หลอมปรอทเซียนระหว่างเพิ่มความเร็วการผสานวิญญาณกับกายเนื้อ กระทั่งในกายสวี่ชิงไม่มีปรอทเซียนอีกต่อไป นั่นก็จะเป็นเวลาที่ร่างกายและวิญญาณเขาเป็นหนึ่งเดียวโดยสมบูรณ์
ส่วนกายเนื้อที่สร้างจากเลือดเนื้อเสี้ยวหน้า การเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินที่มาพร้อมกันนั้นไม่เพียงยกระดับพลังกายเนื้อ ยังส่งผลมหาศาลต่อด้านต่างๆ ของสวี่ชิง
ผืนอนัตตาในร่างเขาตอนนี้กลายเป็นสีทองโดยสมบูรณ์
บนผืนอนัตตาสีทองนั้นนาบอักขระเทพแวววามไว้ 4 ตัว
นั่นคือ 1 แก่นวิญญาณและ 3 อำนาจเทพเจ้า
แก่นวิญญาณเกิดจากวิถีเวท วิถีจักรพรรดิรวมถึงวิชาผู้บำเพ็ญทั้งหลายที่สวี่ชิงฝึกฝน ในนั้นจะเจอร่องรอยทั้งหมดอันมีสายเซียนต่างวิถีเป็นหลัก
มันล้อมรอบพรมแดนอนัตตาทั้งผืน หัวท้ายเชื่อมโยงเป็นวงแหวนมหึมาชวนตะลึง
มันแบ่งเขตแดนให้อนัตตา เป็นร่องรอยของเซียนต่างวิถี!
ส่วน 3 อำนาจเทพเจ้าแบ่งเป็นตัวแทนจันทร์สีม่วง เคราะห์หายนะและคำสาปเทพเจ้า
เหล่านี้เทียบกับสวี่ชิงในอดีตจะไม่มีความแตกต่างเท่าไร ที่มีความต่างจริงๆ คือร่องรอยอำนาจเทพเจ้าบนผืนอนัตตาเหล่านั้น ด้วยยังไม่ตื่นรู้และไม่ได้ครอบครองอย่างแท้จริง ร่องรอยจึงตื้นบาง
เดิมมี 100 สาย
แต่ตอนนี้…จำนวนมันพุ่งขึ้นไปกว่าพัน!
สวี่ชิงเคยสัมผัสได้ หากวันหนึ่งตนตื่นรู้อำนาจเทพเจ้าร้อยสายนั้นได้ทั้งหมด ทำให้พวกมันสว่างแวววามทุกเส้น ตอนนั้นเขาจะอยู่ในขั้นสูงสุดของหวนสู่อนัตตา
และตอนนี้…
หากบอกว่าร่องรอยแก่นวิญญาณของสวี่ชิงมีไว้เพื่อวาดเขตแดนผืนอนัตตาของตน เช่นนั้นการเพิ่มจำนวนของรอยจางกว่าพันสายที่มาจากกายเลือดเนื้อเสี้ยวหน้าก็มีไว้เพื่อยกขีดจำกัดพลังบำเพ็ญของสวี่ชิง
เขาสัมผัสได้ เมื่ออำนาจเทพเจ้าพันสายนี้เปล่งแสงโดยสมบูรณ์ ตนจะทะลวงหวนสู่อนัตตาก้าวไปเตรียมสู่เทวะ และเตรียมสู่เทวะนี้จะไม่เคยมีมาก่อน
หากเทียบกันแล้วก็เป็นความยากของการบำเพ็ญที่เพิ่มขึ้น
แต่ดีที่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้มีแค่นั้น ตอนนี้ในกายสวี่ชิงไม่มีแนวคิดพลังวิญญาณแล้ว
เพราะด้านระดับขั้นพลังวิญญาณชัดว่าอ่อนกำลังกว่าร่างกายที่สร้างจากเลือดเนื้อเสี้ยวหน้าไม่อนุญาตให้มีอยู่
ดังนั้นสิ่งที่อยู่ทั่วกายสวี่ชิงคือพลังต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุด!
ไม่เพียงทำให้ผืนอนัตตาเขากลายเป็นสีทอง กระทั่งทะเลความรู้สึกก็กลายเป็นทะเลเทพสีทองเช่นกัน
เหล่านี้คือการยกระดับพลัง
ส่วนด้านการป้องกันยิ่งน่าสะพรึงกลัว
ด้วยกายเนื้อของเขายังไม่ผสานกับจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ แข็งขืนเกินไปจะสร้างแรงกดดันให้กับจิตวิญญาณสวี่ชิง ก่อนเก็บตัวนายท่านเจ็ดจึงทิ้งผนึกไว้ 2 อัน อันหนึ่งคือผนึกเจ้าเหนือหัว อันหนึ่งคือผนึกกึ่งเซียน
ผนึก 2 อันนี้จะทยอยคลายออกตามการฝึกฝนแสงเซียนตะวันดับและการผสานกายเนื้อจิตวิญญาณของสวี่ชิง
กระทั่งคลายออกโดยสมบูรณ์ในที่สุด พลังกายเนื้อของเขาจะเทียบเท่าเทพแท้!
หรือก็คือเซียนคิมหันต์!
ก่อนเก็บตัวนายท่านเจ็ดเคยบอกสวี่ชิง เสี้ยวหน้าซ่างฮวงทะลวงวิสุทธิ์เทพล้มเหลว ร่างเดิมขององค์ท่านคือราชาเทพขั้นสูงสุด
หากแขนข้างหนึ่งขององค์ท่านปรากฏออกมาเดี่ยวๆ จะมีพลังราชาเทพ!
หากเป็นนิ้วมือ 1 นิ้วจะเป็นพลังนายแห่งเทพ
ส่วนเลือดเนื้อที่สร้างร่างกายสวี่ชิง สำหรับเสี้ยวหน้าที่อานุภาพไร้สิ้นสุดนั้นได้เพียงนับเป็นเศษเลือดเนื้อ
จึงสำแดงได้แค่พลังของเทพแท้เซียนคิมหันต์
ส่วน 2 ผนึกในกายเนื้อ แม้ต้องนาบลงไปเพื่อไม่ให้จิตวิญญาณของสวี่ชิงถูกเลือดเนื้อเสี้ยวหน้ากดดัน แต่ด้วยสภาวะที่ผนึกยังไม่คลายในตอนนี้ พลังกายเนื้อของสวี่ชิงก็ยังคงน่าครั่นคร้ามไม่ธรรมดา
ต่ำกว่าเจ้าเหนือหัวล้วนไม่อาจสร้างบาดแผลให้กายเนื้อเขาแม้เพียงนิด
จากที่เขาผ่านการต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตประเภทเทพหลายครั้งในช่วงนี้ก็ยืนยันได้
การป้องกันทางกายเนื้อของตนน่าตื่นตะลึงหาใดเปรียบ
อย่างการฟาดหางของเทพอสูรแม่น้ำบรรพกาลก่อนหน้านี้ สวี่ชิงยืนตรงไม่เขยื้อนดุจยอดเขา แต่หางเทพอสูรแม่น้ำบรรพกาลกลับถูกสะท้อนกลับจนเลือดเนื้อดูไม่ออก หนามแหลมหักร่วง
ส่วนพลังบำเพ็ญ ด้วยเปลี่ยนแค่กายเนื้อจึงไม่เพิ่มขึ้นเท่าไร
แต่ด้วยเลือดเนื้อร่างกายนี้แข็งกล้าเกินไป ผลกระทบที่เกิดส่งไปทั่วร่าง ดังนั้นกำลังรบย่อมต่างกับก่อนหน้านี้ราวฟ้าดิน
สวี่ชิงแน่ใจในการระเบิดกำลังรบของตนผ่านการฝึกฝนหลายเดือนนี้
สามารถสังหารเตรียมสู่เทวะ 4 เขตขั้น
ส่วนเตรียมสู่เทวะ 5 เขตขั้นและที่สูงกว่านั้น…พลังบำเพ็ญของสวี่ชิงยังยากสั่นสะเทือน
แต่อีกฝ่ายก็ทำให้บาดเจ็บไม่ได้
ดังนั้น สวี่ชิงรู้ชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตนตอนนี้ก็คือหลอมอำนาจเทพเจ้าเพื่อเพิ่มพลังสังหาร!
พร้อมกับฝึกแสงเซียนตะวันดับให้ผนึกกายเนื้อคลายออกเร็วที่สุด
‘ต้องต่อสู้ ต้องตื่นรู้ ต้องสัมผัสความเป็นความตาย’ สวี่ชิงพึมพำในใจ
เวลาครึ่งก้านธูปก็ผ่านไปเช่นนี้ ขณะสวี่ชิงกับหวงเหยียนห้อตะบึง เกาะเต่าทะเลยักษ์ที่เคยอยู่ห่างไกลก็จะถึงในอีกไม่ช้า
ตอนนี้หวงเหยียนสัมผัสรอบด้านแล้วแน่ใจว่าศิษย์พี่หญิงปลอดภัย จึงเคลื่อนกายแปลงจากร่างปักษาสวรรค์ทักษิณเป็นเจ้าอ้วนน้อยอีกครั้ง กล่าวคำกับสวี่ชิง
“จะว่าไป สถานที่ฝึกซ้อมนี้ยังเกี่ยวข้องกับเทียนประทีปด้วย”
“หลังจากหนึ่งในฐานลับของเทียนประทีปบนทะเลต้องห้ามถูกด้าน 7 เนตรโลหิตค้นพบ ถึงได้มีการฝึกซ้อมที่มีการกวาดล้างเป็นเป้าหมายในครั้งนี้”
สวี่ชิงฟังแล้วสีหน้าปกติ เขาที่ผ่านการระเบิดวิญญาณและฟื้นคืนชีพมาแล้ว 1 ครั้งสามารถซ่อนความรู้สึกเกี่ยวกับเทียนประทีปและจื่อชิงได้โดยสมบูรณ์
ไม่เพียงแค่สีหน้า ในใจก็เช่นกัน
ดั่งทะเลลึกไร้คลื่น
มีเพียงตอนระเบิดจึงจะส่งจิตสังหารเทียมฟ้าออกมา
และนี่ก็เป็นนิสัยที่สวี่ชิงมีตั้งแต่เด็ก แต่จื่อชิงเคยเป็นข้อยกเว้น
กระทั่งวันนี้ ข้อยกเว้นนั้นถูกละลายไปแล้ว
สวี่ชิงกลับมามีสภาพจิตใจดังเดิม
เขาจึงใช้สายตาเรียบนิ่งมองหวงเหยียนที่จงใจคืนร่างจากสภาวะวิหคเพลิงสวรรค์อย่างชัดเจน
หวงเหยียนกระแอมและกล่าวอธิบาย
“ศิษย์พี่หญิงไม่ชอบข้าในสภาพนกยักษ์ นางบอกว่าชอบข้าแบบสง่าหล่อเหลาเช่นตอนนี้”
หวงเหยียนกล่าวพลางตบหน้าท้อง เนื้อบนกายสั่นไหวอีกหลายครั้ง
สวี่ชิงหัวเราะ ถอนสายตากลับมามองทอดไกล
ความไร้สิ้นสุดของทะเลกว้างใหญ่สุดท้ายก็เป็นแค่การเปรียบเปรย สำหรับสวี่ชิงกับหวงเหยียนในตอนนี้ ระยะห่างแค่นี้พวกเขาก็สัมผัสได้ทั้งหมดจากตรงนี้
ในการรับรู้ของพวกเขา เช่นบนเกาะเต่าทะเลยักษ์ที่รูปร่างเหมือนปลาดาวมีเสียงขลุ่ยเชียงดังครวญก้องสะท้านต่อเนื่อง
ในนั้นมีศิษย์ 7 เนตรโลหิตมากมายกำลังฝึกฝน
บางคนเลือกการสังหาร บางคนเลือกตามหาสมบัติ เลือกต่างกันตามนิสัยที่ไม่เหมือนกัน
แต่โดยภาพรวมยังคงรักษารูปแบบของยอดเขาลำดับ 7 ศิษย์ส่วนใหญ่ต่างเน้นซ่อนตัวรอโชคเป็นหลัก
เหมือนที่สวี่ชิงฝึกบนเกาะเงือกตอนนั้น
ดูพวกเขาแล้วความทรงจำก็ผุดขึ้นในหัวสวี่ชิง
ส่วนบนทะเลต้องห้ามที่ไกลออกไป ยามนี้คลื่นทะเลพลิกม้วนตามเสียงขลุ่ยที่ดังก้องในเกาะเต่าทะเลยักษ์ดุจพายุคลื่นกวาดม้วนทั่วทิศ คลื่นแต่ละลูกเทียมฟ้า เข้าใกล้เกาะเต่าทะเลยักษ์ประหนึ่งไล่จับสัตว์น้ำ
ในคลื่นทะเลนั้น คล้ายมีการมีอยู่ขนาดมหึมากำลังเข้ามา
เมื่อเข้าใกล้ กลิ่นอายน่าหวาดกลัวระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ปกคลุมเกาะเต่าทะเลยักษ์ กระทบม่านฟ้า ทำให้นภาในที่นี้เกิดเกลียวคลื่น ความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นคุกคามถึงความปลอดภัยของศิษย์ 7 เนตรโลหิตในเกาะ
และข้างหน้าคลื่นทะเล การมีอยู่มหึมาที่ต่างจากเรือศึกบรรพกาลของนายท่านเจ็ดตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
หน้าตาของมันดูเหมือนกระบี่ใหญ่สะเทือนฟ้า
นี่ตรงกับความเป็นศิษย์พี่หญิงรอง
ศิษย์พี่หญิงรองยืนอยู่หน้าเรือศึกบรรพกาล สวมชุดเกราะท่าทางสง่าผ่าเผย กำลังมองการมีอยู่ในคลื่นทะเลอย่างเย็นเยือก
“ไสหัวไป!”
แทบในพริบตาที่เสียงศิษย์พี่หญิงรองทอดมา ภายในคลื่นทะเลใหญ่โตเบื้องหน้าปรากฏแสงไฟสีแดงกว่าพันดวง มัวซัวอยู่ในน้ำทะเลเหมือนดวงตาสีแดง
ยามนี้ยิ่งมีเสียงหวีดแหลมสะท้านจิตวิญญาณแผ่จากในนั้นไปทั่วทิศ
กระเทือนจนหมู่เกาะสั่นไหว ผิวทะเลพลิกม้วนมากกว่าเดิม ทำให้การมีอยู่ในคลื่นทะเลเผยร่างออกมา
นั่นคือผ้าขี้ริ้วที่ปูบนผิวทะเล!
กินพื้นที่หลาย 10 ลี้
สีดำมืดคล้ายกับทะเลต้องห้าม ยังเคลื่อนขึ้นลงพร้อมคลื่นทะเล มองแวบแรกจึงเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของทะเลต้องห้าม
จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อแสงไฟสีแดงกว่าพันดวงนั้นปรากฏถึงได้แยกมันออกจากทะเลต้องห้ามได้ และแสงไฟที่ว่าถึงกับเป็นโคมไฟสีแดงฉาน
พวกมันลอยอยู่บนผ้าขี้ริ้ว แสงส่องออกมาทั่วทิศ สะท้อนผ้าขี้ริ้วผืนนี้เป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว
ยังเผยลายซ่อนบนนั้นออกมาด้วย
ลายซ่อนเหล่านั้นเหมือนลายบนผิวต้นไม้ ที่ประหลาดกว่าคือยังมีแสงดาวเลือนราง ถึงกับสะท้อนแสงขึ้นมาจากการปกคลุมของสีแดง
กลิ่นอายน่าหวาดกลัวก็แผ่ตามมา ทำให้ทะเลรอบทิศเกิดหมอกหนาขึ้นเสียดื้อๆ
หมอกหนาเหล่านี้คล้ายหนวดปลาหมึกนับไม่ถ้วน ขณะกวัดแกว่งส่วนหนึ่งม้วนไปยังเกาะเต่าทะเลยักษ์ ส่วนหนึ่งกลับพุ่งไปหาศิษย์พี่หญิงรอง
คล้ายจะทำให้ทุกอย่างที่นี่จมลงในนั้น
แต่พริบตาที่หนวดไอหมอกใกล้ถึงตัวศิษย์พี่หญิงรอง เปลวเพลิงสะท้านฟ้าสะเทือนดินพลันปะทุจากร่างของนาง
กลางอากาศ เปลวเพลิงนี้กลายเป็นเงามายาของวิหคเพลิงสวรรค์กระพือปีก ท้องฟ้าพลันลุกไหม้ ทะเลต้องห้ามพลันแผดเผา ชั่วขณะหนึ่งฟ้าดินล้วนเต็มไปด้วยเปลวเพลิง
นี่คือการป้องกันที่หวงเหยียนทิ้งไว้บนกายศิษย์พี่หญิงรอง
ขณะเปลวเพลิงกวาดซัด ไอหมอกทั้งหมดสลายสิ้นในพริบตา ผ้าขี้ริ้วที่ลอยมาก็หยุดนิ่ง
ประกายเย็นชาฉายวาบในตาศิษย์พี่หญิงรอง พลันเคลื่อนกายกระโดดลงจากกระบี่ใหญ่ ม้วนทะเลเพลิงก้าวไปทางผ้าขี้ริ้ว
กำลังจะก้าว พริบตาต่อมา…เงาร่างอ้วนกลมสายหนึ่งโผล่มาตรงหน้าศิษย์พี่หญิงรองและกอดนางไว้
“ศิษย์พี่หญิงอย่าโมโหเลย เดี๋ยวกระทบลูกในท้องเอานะ ข้าเองๆ” หวงเหยียนใบหน้าอ่อนโยน เอ่ยปากอย่างระมัดระวัง ขณะพูดยังยกมือดีดนิ้ว
ประกายไฟอ่อนดวงหนึ่งปรากฏระหว่างนิ้วมือเขา
ราวกับเป็นหัวใจเต้นมีจิตวิญญาณไร้สิ้นสุด มันส่องแสงเบาบางในความมืดมิด เคลื่อนลงไปหาผ้าขี้ริ้วผืนนั้น
ขณะเคลื่อนลงยังส่งเสียงซ่าซ่าแผ่วเบา คล้ายเปลวเพลิงกำลังกระซิบเสียงค่อย ประกาศการมีอยู่ของมันไปยังโลกรอบด้าน
และจำนวนก็มากขึ้นตามเสียงที่ทอดออกมา เหมือนถูกพลังล่องหนดึงให้มารวมกัน
พริบตาต่อมา ถึงกับแผ่อุณหภูมิสูงสะท้านโลกาผิดธรรมดา!
เสียงก็รุนแรงขึ้นประหนึ่งกลองเหิมกระหึ่ม
หวีดร้องคำรามราวกับกลายเป็นเตาไฟที่สามารถหลอมฟ้าดิน หมายกลืนทุกสิ่งรอบด้านให้หมดสิ้น
เคลื่อนลงบนผ้าขี้ริ้ว
พริบตานั้น เสียงครวญครางน่าสังเวช เสียงร้องโหยหวนแสบแก้วหูดังสนั่นนภาจากผ้าขี้ริ้วนี้
แม้โคมไฟสีแดงเป็นเปลวเพลิงเช่นกัน แต่ระหว่างไฟกับไฟมีเจตจำนงต่างกัน
ชั่วพริบตา โคมไฟสีแดงทั้งหมดล้วนละลายกลายเป็นเถ้า
เปลวเพลิงผ่านบริเวณใด ผ้าขี้ริ้วลุกไหม้ ท้องฟ้าลุกไหม้ ทะเลต้องห้ามลุกไหม้ สรรพสิ่งลุกไหม้ กระทั่งความว่างเปล่า…ก็ยังลุกไหม้
กระทั่งความกลัวของไฟนี้ หรือแม้แต่ไอพลังประหลาด…ก็ล้วนถูกแผดเผา
ภาพหาได้ยากจึงปรากฏในตาสวี่ชิง
พื้นที่ทะเลต้องห้ามนี้ถึงกับไม่ใช่สีดำอีกต่อไป
หากเผยสีฟ้าอย่างที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อนนับไม่ถ้วนท่ามกลางการละลายที่รุนแรง
ราวกับถูกชำระล้าง!
ด้วยพิธีชำระล้างของเปลวเพลิง สิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนทั้งหลายล้วนถูกเผาไหม้จนสิ้น เหลือเพียงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่ชิงเห็นวิหคเพลิงสวรรค์ออกมือ
เข้าใจแล้วว่าเหตุใดวิหคเพลิงสวรรค์จึงสามารถครองทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ที่มีแต่เทพเจ้า ยังถูกแดนต้องประสงค์เรียกว่าจักรพรรดิใต้!
เขาไม่สักการะเทพ ไม่สังเวย
เขาคือจักรพรรดิแห่งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ!
และบัดนี้ จักรพรรดิผู้นี้กำลังกอดศิษย์พี่หญิงรองอย่างอ่อนโยน
สำหรับเขาดาวอัคคีนั้นเหมือนเป่าลม ทุกสิ่งรอบด้านถึงกับไม่อยู่ในการรับรู้ของเขาตอนนี้
ความสนใจทั้งหมดของเขาล้วนอยู่ที่ศิษย์พี่หญิงรอง
แต่ศิษย์พี่หญิงรองที่ถูกจักรพรรดิผู้นี้กอดกลับถลึงตามองเขาคล้ายอยากด่า แต่เห็นสวี่ชิงที่มาด้วยจึงข่มกลั้นไว้
หวงเหยียนโล่งอก กำลังจะอ้าปาก แต่พริบตาต่อมานัยน์ตาเขาพลันจดจ่อไปยังทะเลต้องห้ามเบื้องล่าง
สวี่ชิงกำลังจะคารวะศิษย์พี่หญิงรอง บัดนี้สังเกตเห็นเช่นกัน สายตาตกไปยังจุดที่ผ้าขี้ริ้วที่ถูกเผาเป็นขี้เถ้าเคยอยู่ก่อนหน้านี้
ตรงนั้นเปลวเพลิงมอดแล้ว
แต่ใต้ทะเลมีผ้าขี้ริ้วขนาดเท่าฝ่ามือ ถึงกับยังอยู่แม้ถูกเพลิงชำระล้างน่าสะพรึงกลัวของหวงเหยียนก่อนหน้า
ยามนี้กำลังพุ่งไปก้นทะเลอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ตอนนี้ตัวมันยังลุกไหม้ กระนั้นยืนหยัดได้เช่นนี้ก็เห็นได้ว่าไม่ธรรมดา
“น่าสนใจ” หวงเหยียนคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
ส่วนด้านสวี่ชิง นัยน์ตากลับฉายประกายประหลาด คล้ายหลากใจและฉงนเล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้ข้าแค่กวาดมองสิ่งนี้รวมๆ บัดนี้ดูแล้วคุ้นตาอยู่บ้าง…ศิษย์พี่หญิงรอง พี่เขยรอง ข้าจะไปดูหน่อย”
พูดจบ สวี่ชิงพลันก้าวลงในทะเลต้องห้าม เพิ่มความเร็วในน้ำทะเลฉับพลัน เขาห้อตะบึงไปหาผ้าขี้ริ้วที่หลบหนีดั่งอาวุธแหลมคม
ขณะเดียวกันเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ก็มุดออกจากกายสวี่ชิง พลันขยายใหญ่ ไล่ตามไปอย่างบ้าคลั่งดุจลูกศรพุ่งจากธนูด้วยคลื่นความรู้สึกหิวกระหาย
รีบเร่งถึงที่สุด
สวี่ชิงหรี่ตา เมื่อครู่เขารู้สึกประหลาดใจเพราะเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ในกายส่งคลื่นชัดเจนปานนี้
และที่ทำให้เขาคุ้นตา คือลายซ่อนบนผ้าขี้ริ้วผืนนั้น…
‘ดูคล้ายกับผิวเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง…’
สวี่ชิงมีความคิดเช่นนี้โดยที่ความเร็วไม่ลดลง ตามร่องรอยผ้าขี้ริ้วที่เหมือนผิวเถาวัลย์นั้นไปจนใกล้ถึงก้นทะเลโดยมีเถาวัลย์เทพคอยชี้นำ
ผ่านไป 1 ก้านธูป ด้วยความเร็วของสวี่ชิง ในที่สุดก็ตามมันทัน
เพียงแต่…ผ้าขี้ริ้วที่ปรากฏตรงหน้าสวี่ชิง ด้วยไฟของหวงเหยียนยังอยู่มาตลอด บัดนี้หนีมาถึงตรงนี้ก็เป็นขีดจำกัดที่มันรับไหวแล้ว
ผ้าขี้ริ้วขนาดเท่าฝ่ามือผืนนั้นจึงมอดไหม้จนสิ้นต่อหน้าสวี่ชิง
สุดท้ายเหลือเพียงรอยขี้เถ้า เปล่งประกายแสงดาวเล็กน้อยในก้นทะเลต้องห้ามแล้วสลายไป
สวี่ชิงจ้องมองแสงดาว เงาร่างเขาปรากฏตรงจุดที่ผ้าขี้ริ้วสลาย สัมผัสได้เพียงครู่
‘เป็นกลิ่นอายของเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์จริงด้วย แสดงว่าบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ก็เคยปรากฏเถาวัลย์เช่นนี้ก่อนเฟิงหลินเทามาเยือน?’
สวี่ชิงครุ่นคิด ส่วนเถาวัลย์เทพศักดิ์สิทธิ์ข้างกายเขาชัดว่าไม่ค่อยยินดี จึงแหวกว่ายคำรามอยู่รอบด้าน ผ่านไปครู่หนึ่งร่างมันหยุดกึกทันใด พลันหันไปทิศทางหนึ่งและห้อตะบึงไป
สวี่ชิงเห็นเป็นเช่นนั้นก็ตามอยู่ข้างหลังทันที
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้ 1 คน 1 เถาวัลย์ห้อตะบึงอยู่ก้นทะเลหลายชั่วยามจนมาถึงพื้นที่ลับแห่งหนึ่ง
ที่นี่มีร่องทะเลลึกอยู่แน่นขนัด
เหมือนรอยแผลเป็นสาย
เถาวัลย์เทพส่งคลื่นอารมณ์ตื่นเต้นอยู่นอกร่องทะเลลึกเหล่านี้ จากนั้นมุดเข้าร่องน้ำสายหนึ่งในนั้น
ขณะฝุ่นตลบขึ้น เถาวัลย์เทพหายไปไม่เห็นร่องรอย มุดลงไปทั้งตัว
สวี่ชิงไม่ได้เดินไปทันที กลับหยุดฝีเท้าอยู่นอกร่องทะเลลึก อาศัยสัมผัสระหว่างเถาวัลย์เทพรับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพุ่งลึกลงไปในร่องน้ำอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่ใหญ่ มาถึงหลุมเลนลึกที่ซ่อนอยู่
และในหลุมลึกถึงกับมีสิ่งหนึ่ง
นั่นคือเจดีย์
เจดีย์ทรุดโทรมองค์หนึ่ง!
ถูกพันล้อมด้วยเถาวัลย์เทพแห้งเหี่ยว
ไม่รู้ถูกฝังมานานเท่าไร บนนั้นแผ่กลิ่นอายเก่าแก่เข้มข้น
ขณะเดียวกัน พริบตาที่สวี่ชิงสังเกตเห็นเจดีย์ทรุดโทรมลึกลับในทะเลต้องห้าม ขณะหวงเหยียนหนักเอาเบาสู้อยู่ข้างกายศิษย์พี่หญิงรองนอกทะเลต้องห้าม…
บนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พื้นที่ห่างไกล 5 แห่งกำลังมีพลังเครื่องหมายนำทางกระจายไปนอกพิภพ
เครื่องหมายทั้ง 5 นี้อยู่ กลาง เหนือ ใต้ ออก ตก แบ่งกันอยู่คนละดินแดน
แต่ที่เหมือนกันคือทุกตำแหน่งล้วนมีผู้บำเพ็ญสวมชุดยาวสีเงินสามสี่คนกำลังนั่งขัดสมาธิ
พวกเขาอยู่คนละเผ่า แต่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน ลักษณะคล้ายคลึงกัน เหมือนพวกเฟิงหลินเทา 3 คนก่อนหน้านี้ไม่มีผิด!
มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์!
สถานที่ที่พวกเขานั่งสมาธิยังถูกวางค่ายกลซับซ้อนเอาไว้ บัดนี้ขณะต่างคนทำมุทรา ค่ายกลเคลื่อนหมุนไร้สุ้มเสียง กระจายเส้นสายลึกลับเชื่อมโยงกับเอกภพนอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ท่ามกลางความมืดมิด
ในเอกภพลึกล้ำ แสงดาวบิดเบี้ยว หมู่ดาวขนาดต่างๆ กำลังเคลื่อนไหว
พวกมันบ้างเป็นดวงดาว บ้างเป็นแผ่นดินใหญ่ บ้างราวกับเป็นยอดเขา
หน้าตาไม่เหมือนกัน จำนวนมากกว่าร้อย
เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง!
หากมีดวงตาที่สามารถก้มมองเอกภพ เช่นนั้นจะเห็นว่าทิศทางที่แดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มุ่งหน้า…ถึงกับเป็นแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
และแม้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะเชื่อมกันเป็นเส้นเดียว แต่ระยะห่างระหว่างกันยังคงไกลนัก
คล้ายแบ่งกันเป็นรอบ
บัดนี้ที่อยู่หน้าสุดมี 5 แห่ง
แบ่งเป็นภูเขามหึมาน่าครั่นคร้าม 2 ลูก แผ่นดินใหญ่กว้างขวาง 1 ผืนและรูปปั้นประหลาด 2 รูป
พลังกดดันน่าหวั่นหวาด กลิ่นอายชวนตื่นกลัวแผ่ขยายอยู่ในเอกภพตามการมุ่งหน้าของพวกมัน ผ่านที่ใดหินอุกกาบาตนับไม่ถ้วนล้วนพังทลายกลายเป็นฝุ่นอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นถูกม้วนกลายเป็นพายุเอกภพ
เข้าใกล้แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ขึ้นทุกที
ภายในแดนศักดิ์สิทธิ์ภูเขามหึมาหนึ่งในนั้น บนยอดเขามีผู้เฒ่าสวมชุดนักพรตสีทองยืนอยู่คนหนึ่ง หน้าตาเขาคล้ายเผ่ามนุษย์ แต่ผิวสีแดง
ยามนี้กำลังทอดมองไปยังดินแดนต้องประสงค์ พึมพำเสียงแหบพร่า “ไม่นึกว่าวันหนึ่งจะได้กลับมา…”
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



