บทที่ 986 เทวะบัญชาบูรพา
ท้องฟ้าปั่นป่วน เกิดคลื่นเหมือนเกล็ดปลากว้างใหญ่คืบขยายไปไกลจนตาเนื้อยากเห็นจุดสิ้นสุด
ราวกับการมีอยู่บางอย่างขยี้เมฆหมอกให้กระจายทั่วฟ้า ตกแต่งความว่างเปล่าดุจกลีบดอกไม้
และน้ำค้างในเมฆหมอกรวมตัวเป็นแม่น้ำสายหนึ่งที่ชื่อกาลเวลา คลื่นที่ม้วนเวลาไหลจากที่ไกลมาหยุดอยู่บนแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี
หยุดยั้งเขาลูกนี้ หยุดยั้งผู้บำเพ็ญบนนั้น และหยุดยั้งทะเลรอบด้าน
แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีพลันสั่นสะเทือน ม่านแสงค่ายกลชั้นนอกเกิดคลื่นรุนแรง
ผู้บำเพ็ญด้านในพากันจิตใจหวาดหวั่น ต่างคนหายใจถี่รัว วิญญาณล้วนสั่นสะท้าน
น้ำทะเลทั่วทิศยุบตัวลงไปอย่างสิ้นเชิง เกิดเป็นวังน้ำวนมหึมา ลึกจนเห็นแดนต้องห้ามมรณะทรุดโทรม
พลังทรงอานุภาพ สะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ดึงสายตาทุกคู่ในนี้
และท่ามกลางดวงตาจับจ้อง มีเทพองค์หนึ่งเดินมาจากคลื่นนภา
เทพองค์นี้สวมชุดจักรพรรดิที่แปลงจากลมหายใจเทพ สวมกวานจักรพรรดิที่เกิดจากโชคชะตา สีหน้าไร้ความรู้สึก ขณะเพลิงเทวะลุกโชนทั่วกาย ยังมีกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ขยายเข้มข้น
ส่วนนัยน์ตานั้นนิ่งสงบ
ประหนึ่งน้ำนิ่ง
เพียงแต่มีความน่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ในน้ำนิ่ง
คล้ายไม่ระเบิดยังไม่เป็นไร หากระเบิดจะเปล่งรัศมีทลายฟ้าถล่มดินในพริบตา
นั่นคืออำนาจเทพเจ้าแห่งสงคราม!
เทพที่มาเยือน คือจักรพรรดิมนุษย์ตงเซิ่ง…ใน 5 เทพอสุภจักรพรรดิมนุษย์เผ่ามนุษย์นั่นเอง!
องค์ท่านหลับตาเดินมา ชั่วขณะที่มาถึง 2 นัยน์ตาพลันเบิกขึ้น เผยให้เห็นดวงตาดำมืด ความรู้สึกของพลังและการทำลายถึงขีดสุดพลันปะทุขึ้นบนกายองค์ท่าน
จ้องมองแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี!
ขณะแดนศักดิ์สิทธิ์สะเทือนเลื่อนลั่น เสียงเทพจากตงเซิ่งทรงพลังกึกก้อง
“ตัวข้ารับบัญชาจักรพรรดิมนุษย์หลีเซี่ย มาเยือนถามแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี แปดเปื้อนผลกรรมสวี่ชิงอาจารย์เผ่าข้า พวกเจ้าทั้งเผ่ารนหาที่ตาย?”
เสียงตงเซิ่งออกมาดุจอัสนีผ่าลั่น
หลีเซี่ยคือฉายานามจักรพรรดิที่จักรพรรดินีเปลี่ยนมาใช้
ยามนี้ชาวเผ่าบ่อเกิดกาลกิณีทั้งหมดในแดนศักดิ์สิทธิ์ล้วนตื่นกลัว มีเพียงบรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีขมวดหัวคิ้ว กำลังจะเอ่ยคำ
แต่ตอนนั้นเอง ขณะคลื่นแม่น้ำแห่งกาลเวลาบนฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่น สายน้ำพลันดำมืด ความรู้สึกเย็นเยียบระเบิดทันใด
โครงกระดูกมากมายพลันปรากฏจากในแม่น้ำ ส่งเสียงโหยหวนชวนหดหู่
บนทะเลต้องห้ามก็ปรากฏโครงกระดูกนับไม่ถ้วนเช่นกัน
โดยเฉพาะแดนต้องห้ามมรณะยิ่งสั่นไหว
คล้ายมีเค้าลางจะฟื้นตื่น
เพราะความดำมืดที่มาเยือนนั้นคืออำนาจเทพเจ้าที่มาจากนรก
ขณะกลิ่นอายแห่งความตายปกคลุม เทพองค์หนึ่งปรากฏในแม่น้ำที่กลายเป็นความมืดมิดบนม่านฟ้า
เป็นชุดจักรพรรดิจากลมหายใจเทพเช่นกัน เป็นกวานจักรพรรดิจากโชคชะตาเช่นกัน
ผู้มาเยือนคือจักรพรรดิมนุษย์เสวียนจั้น!
พริบตาที่ปรากฏ พลังกดดันจากเทพเจ้ามาเยือนเทียมฟ้า
เทพอสุภจักรพรรดิมนุษย์เผ่ามนุษย์ทั้ง 5 บัดนี้…มาแล้ว 2 องค์!
ยามนี้ชาวเผ่าแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม แม้เป็นบรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีก็วิตกหาใดเปรียบ ยังมีเสียงถอนใจกึกก้องอยู่ภายใน
สายตาเขาตกอยู่นอกค่ายกล
ทางตะวันออกของมหาค่ายกลคุ้มกันบรรพต ทัพใหญ่นับไม่ถ้วนจากเขตปกครองผนึกสมุทรเตรียมตัวรับศึก คล้ายพริบตาถัดไปจะบุกเข้ามาบดขยี้ทุกสิ่ง
ทางใต้กลับเป็นอ๋องเจิ้นเหยียน จิตสังหารปรากฏ กองทัพเผ่ามนุษย์อยู่ข้างหลังเขาพร้อมพลังโหดเหี้ยมเทียมฟ้า
ทางเหนือเป็นแดนใหญ่เซ่นจันทรา พลังเฉียบคมจิตสังหารมากล้น
ทางตะวันตก…เทพเจ้า 2 องค์แผ่พลังกดดันปกคลุม สะท้านนภากระเทือนสมุทร
ด้านบนกลับเป็นวิหคเพลิงสวรรค์ แม้หยุดดิ่งลงมา แต่เมื่อปีกทั้ง 2 กางออกพลังยังสะเทือน 9 ชั้นฟ้า
จิตสังหารไร้สิ้นสุดกดทับเหนือแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีจากทุกทิศทาง
ต่างมาเพื่อสวี่ชิง!
ตอนนี้บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีถอนใจข้างในหนักกว่าเดิม
แต่ผู้มาเยือนยังไม่สิ้นสุด
ม่านฟ้าพลันถูกแหวกออก
ยักษ์ร่างขนาดหลายหมื่นจั้งตัวหนึ่งฉีกม่านฟ้าออกมา หัวเราะชั่วร้ายใส่แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีเบื้องล่าง จากนั้นหลบจากตำแหน่งนั้น เผยให้เห็นโลกข้างหลังมัน
ที่ปรากฏในรอยแยกถึงกับเป็นเขาเทวะของ 3 เทพนภาคิมหันต์
แม้กั้นด้วยรอยแยก แต่กลิ่นอายเทพเจ้ายังคงแผ่ออกมาสะเทือนขวัญยิ่งกว่า ยังมีเสียงเย็นชาทอดจากเขาเทวะตามรอยแยกบนฟ้ามายังทะเลต้องห้าม
“ผู้ใดแตะต้องมหาขุนพลนภาเผ่าข้า ถือเป็นศัตรูของนภาคิมหันต์ข้า!”
คำพูดนี้ทอดมา คลื่นทะเลต้องห้ามก็เคลื่อนไหลช้าไปด้วย พลังกดดันมาเยือนจากรอยแยก ทำให้ค่ายกลแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีสั่นรุนแรงกว่าเดิม
บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีข้างในสีหน้าเคร่งขรึมถึงขีดสุด
เขาย่อมรู้จักนภาคิมหันต์ ทั้งรู้ความน่ากลัวของเทพตะวัน จันทรา ดารา ขั้นพิสุทธิ์ทั้ง 3
เรื่องวันนี้ยิ่งทำให้เขาที่เคยรู้จักสวี่ชิงจากข้อมูลเพียงอย่างเดียว กลายเป็นประสบการณ์ที่เขาสัมผัสด้วยตัวเองในโลกความจริง
สวี่ชิงมีความหมายกับแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออกอย่างยิ่ง
ฝูเสียไปแตะต้องคนที่ไม่อาจแตะต้อง
บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีเข้าใจทุกอย่างดี เพียงแต่…หากยอมรับเรื่องวันนี้แล้ว ไม่ว่าสวี่ชิงเป็นหรือตาย ฝูเสีย…ไม่รอดแน่
หากฝูเสียไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าเหนือหัว เรื่องนี้ก็ง่ายดาย เขาต้องหาอีกฝ่ายให้เจอและพยายามแก้ไขสถานการณ์ แม้อีกฝ่ายถูกลงโทษประหาร เทียบกับทั้งเผ่าแล้วก็เป็นเรื่องเล็กน้อย
‘แต่…ชั่วขณะที่ฝูเสียเลื่อนขั้นเป็นเจ้าเหนือหัว ความหมายในการมีอยู่ของเขาก็คือความหมายในการมีอยู่ของเผ่าโดยปริยาย’
คิดถึงตรงนี้ บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีถอนใจอีกครั้ง เขารู้ว่าตนบอกความจริงไม่ได้ ไม่ว่าจากจุดไหน เขาที่อยู่ได้อีกไม่นานล้วนต้องปกป้องฝูเสีย
นี่คือความฉลาดที่สุดในความโง่เขลา
‘ฝูเสีย หวังว่าการตัดสินใจของเจ้าจะถูกต้อง’ บรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีพึมพำในใจ จากนั้นหายใจเข้าลึก มองแต่ละฝ่ายภายนอกและเอ่ยคำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าผู้เฒ่าขอกล่าวคำสาบานในฐานะบรรพจารย์แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีคนปัจจุบัน!”
“ข้าไม่เคยพบสวี่ชิงที่พวกเจ้าอยากตามหา เรื่องของสวี่ชิงไม่เกี่ยวกับข้า ไม่เกี่ยวกับแดนศักดิ์สิทธิ์เผ่าข้า”
“เผ่าข้า…”
เสียงบ่อเกิดกาลกิณีก้องสะท้อน แต่ไม่ทันกล่าวจบ พริบตาต่อมาสีหน้าเขาพลันเปลี่ยนรุนแรง ร่างกายถอยหลังฉับพลัน พลังบำเพ็ญยังระเบิดออกมาทั้งหมด
ก่อนหน้านี้วิหคเพลิงสวรรค์มาเยือน เขาเคารพ
เซ่นจันทรามาเยือน เขาเคร่งขรึม
การปรากฏตัวของเขตปกครองผนึกสมุทรและกองทัพเผ่ามนุษย์ทำให้ใจเขาดิ่งลงกว่าเดิม
การมาเยือนของเทพเผ่ามนุษย์ทั้ง 2 ทำให้เขารู้สึกรับมือยาก
การปรากฏของนภาคิมหันต์ ทำให้เขาหวาดกลัว
แต่ครั้งนี้ เขาขวัญหนี!
แทบในพริบตาที่ร่างกายเขาถอยหลัง มือสตรีข้างหนึ่งพลันปรากฏนอกค่ายกลแดนศักดิ์สิทธิ์ และกดลงตรงนั้นแผ่วเบา
เมื่อกดลงไป มหาค่ายกลที่คุ้มกันแดนศักดิ์สิทธิ์พลันสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะส่งเสียงสนั่นแก้วหู ค่ายกลทั้งค่ายยังมีเสียงแตกร้าวดังกึกก้อง
รอยแยกเป็นสายกวาดออกถ้วนทั่วโดยมีฝ่ามือนั้นเป็นศูนย์กลางในพริบตา
ชั่วขณะหนึ่ง ค่ายกลนี้คลอนไหวดุจใยแมงมุม แม้หมายจะฟื้นฟูตามกันสั่นคลอนของเขาแดนศักดิ์สิทธิ์และพลังวิญญาณมากมายที่ทะลักเข้ามา
แต่มือข้างนั้นราวกับหยุดยั้งทั้งหมดนี้ออกจากทุกสิ่ง
อัดลงมาอย่างรุนแรงด้วยเจตจำนงอันโหดเหี้ยม
พริบตานั้นราวกับฟ้าถล่มดินทลาย
ค่ายกลที่คุ้มครองเผ่าอยู่นอกแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีมานานปีนับไม่ถ้วน หากเป็นยุครุ่งเรือง การคิดจะทำลายมันอย่างน้อยต้องเป็นมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดจึงจะทำได้
แต่ร่องรอยสึกหรอจากกาลเวลาลดพลังของมันลง หลายปีมานี้แดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีก็ไม่มีมหาจักรพรรดิคนที่ 2 ทำให้เสริมพลังค่ายกลนี้ได้ยาก
ดังนั้นในชั่วเวลานี้ พลังที่มาจากมือข้างนั้นแตะถึงขีดจำกัดของค่ายกลนี้ในที่สุด
จากนั้น ค่ายกลเหมือนกระจกถูกทุบแตก…
พลันระเบิดท่ามกลางเสียงก้องสะเทือนฟ้า
แตกฉานซ่านเซ็น พังทลายลงมา
เศษค่ายกลนับไม่ถ้วนกลายเป็นพายุ กวาดซัดไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมพลังกดดันชวนพรั่นพรึงและเสียงหวีดคำรามน่าหวาดกลัว
ขณะบรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีสีหน้าเปลี่ยนถอยหลัง 2 มือยกขึ้น หมายจะต่อต้านสุดกำลังด้วยพลังบำเพ็ญที่ระเบิดออกมา
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงสนั่นหวั่นไหวมาไม่ขาดสาย
สุดท้าย แม้เขาฝืนต้านพายุ แต่ก็ได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
มีเศษค่ายกล 3 ส่วนเคลื่อนถึงแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยพายุนั้น
เขาแดนศักดิ์สิทธิ์พลันสะเทือนเลื่อนลั่น รอยแยกนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นฉับพลัน โดยเฉพาะตรงยอดเขายิ่งถูกทำลายไปแล้ว
ส่วนชาวเผ่าบ่อเกิดกาลกิณี…มีหลายคนตอบสนองไม่ถูกโดยสิ้นเชิง ร่างกลายเป็นเศษธุลีด้วยพายุนั้น
มาถึงตอนนี้ เจ้าของมือข้างนั้นถึงเผยเงาร่างออกมากลางฟ้าดินอย่างแช่มช้า
พริบตาที่ปรากฏ เหนือใต้ออกตกในที่นี้ ไม่ว่าผนึกสมุทรหรือคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าเซ่นจันทราหรือวิหคเพลิงสวรรค์ล้วนก้มหน้า
“ถวายบังคมจักรพรรดินี!”
ผู้มาเยือนคือหลีเซี่ยจักรพรรดินีเผ่ามนุษย์นั่นเอง
มิใช่ร่างจริง หากเป็นร่างทอดเงาสายหนึ่ง
แต่ถึงกระนั้น พลังแท่นเทวะยังคงมากพอให้สะเทือนทุกสิ่งในที่นี้
องค์ท่านท่วงท่าผึ่งผายดุจเขาสูง โชคชะตาโอบล้อมซ้ายขวา แสงส่องประกายเรืองรอง ยืนตระหง่านอยู่นอกค่ายกลที่กำลังพังทลาย จ้องมองเขาแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เสียหายและบรรพจารย์บ่อเกิดกาลกิณีที่สีหน้าซีดเผือด กล่าวคำเรียบนิ่ง
“สวี่ชิงไม่อยู่ที่นี่จริง และเจ้าก็ไม่เกี่ยวกับเขาจริง”
“แต่เจ้าเหนือหัวเผ่าเจ้ายังมีอีกคนหนึ่ง”
“ในเมื่อเจ้าพยายามไม่ร่วมมือ เช่นนั้นผนึกแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณีไว้ก่อนแล้วกัน หากสวี่ชิงตาย เผ่าเจ้าจะร่วมฝังไปด้วย”
สิ้นเสียง 3 ประโยคนี้ พลังผนึกจากแท่นเทวะมาเยือนฉับพลัน แผ่คลุมแดนศักดิ์สิทธิ์บ่อเกิดกาลกิณี ยังกลายเป็นเครื่องจองจำบนตัวชาวเผ่าทุกคนของพวกเขา
แม้แต่บรรพจารย์ผู้นั้นก็ไม่เว้น
เมื่อเครื่องจองจำพันรอบกาย แรงกดทับหนักอึ้งทำให้ชาวเผ่าบ่อเกิดกาลกิณีทุกคนต่างพากันคุกเข่าลงคารวะด้วยไม่อาจประคอง ยังมีหลายคนกระอักเลือดสด ร่างกายเกิดเค้าลางจะแหลกสลาย
ส่วนบรรพจารย์ผู้นั้น ยามนี้ตัวสั่นยากต่อต้าน จิตใจป่วนปั่น…
สุดท้ายยังคงค้อมศีรษะ
มีเพียงจักรพรรดินียืนอยู่กลางฟ้าดิน มองส่วนลึกของทะเลต้องห้ามและมองไปยังทิศทางของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
ผ่านไปหลายชั่วลมปราณ องค์ท่านคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ถอนสายตากลับและเอ่ยคำราบเรียบ
“ผนึกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออก ห้ามเคลื่อนย้าย ห้ามส่งข้าม ห้ามก้าวผ่าน บอกแดนตะวันตกว่าเป็นโองการจากเผ่ามนุษย์”
“ผู้ใดเจอสวี่ชิงอาจารย์เผ่าข้า มอบวาสนาเพลิงเทวะ”
“ท้องฟ้า ผืนดิน สายธาร ต้นไม้ใบหญ้า ทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่ง วิถีสวรรค์ เทพเจ้า ฟังคำสั่งทั้งหมด!”
เสียงจักรพรรดินีทอดออกมา ทั้งแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออก รวมถึงทะเลต้องห้าม ยามนี้ทุกชีวิตทุกการมีอยู่ล้วนได้ยิน ต่างจิตใจสั่นสะเทือนเกิดคลื่นลูกใหญ่
สิ่งมีชีวิตประเภทเทพนับไม่ถ้วนพากันตื่นเต้น เผ่าอื่นจำนวนมากยิ่งเกิดคลื่นยักษ์ในใจ เกิดความคิดละโมบ
จากนั้น คำพูดที่ทำให้ทุกการมีอยู่ในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออกเกิดคลื่นสาดซัดในใจอีกครั้งดังจากนภาคิมหันต์ทอดไปทั่วทิศ
“บอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออก โองการนภาคิมหันต์สรรพสิ่งต้องทำตาม เทพเจ้าเคารพ ทุกชีวิตล้วนตอบรับ”
“ผู้ใดเจอสวี่ชิงมหาขุนพลนภาเผ่าข้า มอบวาสนาเพลิงเทวะ”
โองการเผ่ามนุษย์ โองการนภาคิมหันต์ 2 โองการนี้รวมกันเป็นเจตจำนงสูงสุดของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออก
บัดนี้ดังก้องสืบเนื่องกัน คล้ายหินอุกกาบาตตกสู่มหาสมุทรกระทบคลื่นไร้สิ้นสุด เกิดเป็นทะเลคำราม เกิดเป็นพายุหมุนระเบิดในทุกพื้นที่ตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ตะวันออกมานานปีนับแต่โบราณ
แต่ละฝ่ายต่างบ้าคลั่งเพราะเพลิงเทวะ เริ่มตามหาสวี่ชิง!
โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตประเภทเทพเหล่านั้น ยิ่งเร่าร้อนใจอย่างไม่เคยมีมาก่อน
เทพเจ้าก็ไม่เว้น ด้วยวาสนาเพลิงเทวะมิใช่แค่จุดไฟ ยังมีการยกระดับในนั้นด้วย
และตอนนี้ ในทะเลต้องห้าม ฝูเสียลบร่องรอยของตนทิ้งทั้งหมด ยังแปลงกายเป็นรูปลักษณ์ของเผ่ามนุษย์ กำลังมุ่งหน้าซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง
เนื้องอกบนไหล่ก็ถูกเขาเปลี่ยนเช่นกัน กลายเป็นเหมือนกระบี่ใหญ่แขวนไว้ข้างหลัง
ฝูเสียมุ่งหน้าพลางส่งเสียงราบเรียบ “เจ้าหนุ่ม แม้หอคอยที่เจ้าอยู่นั้นมหัศจรรย์ แต่บางเรื่องเป็นชะตาลิขิต”
ในหอคอยทรุดโทรมภายในกระบี่ใหญ่ สวี่ชิงหลับตา ยังคงนั่งสมาธิ
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)


