1093. เจ้าต้องการหวังหลิน?
ชายชราชุดแดงคือบรรพชนตระกูลจางแห่งฝ่ายทุกชั้นฟ้า ลี่หยุนจื่อ!
ลี่หยุนจื่อลืมตาขึ้นมาด้วยสายตาส่องประกาย เขามองสตรีคนสวยอย่างเยือกเย็น “ข้าลี่หยุนจื่อ”
นางยิ้มและดื่มชาเข้าไป จากนั้นวางลงเอ่ยต่อ “ผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในฝ่ายทุกชั้นฟ้า การที่ทุกชั้นฟ้าส่งผู้อาวุโสมาที่นี่เพื่อยินดีแก่จักรพรรดิวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนฝ่ายทุกชั้นฟ้ามีเจตนาจะสร้างความสัมพันธ์แก่จักรพรรดิคนใหม่”
“เจ้าเป็นศิษย์หลักของสำนักซากศพและบรรลุขั้นชำระสวรรค์ตั้งแต่อายุยังน้อย ข่าวลือว่าเจ้ามีหุ่นเชิดซากศพอยู่สี่ตัว มีอยู่สามตัวไม่ด้อยไปกว่าเซียนขั้นทลายสวรรค์ การที่สำนักซากศพส่งเจ้ามาที่นี่หมายความว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของจักรพรรดิคนใหม่ด้วยเช่นกัน” ลี่หยุนจื่อเอ่ยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่เมื่อถึงหูนาง ดวงตาหรี่แคบจนดูไม่ออก
“สหายเซียนคนนี้ต้องมาจากพันธมิตรเซียน ข้าแค่ไม่รู้ชื่อเจ้า” นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและมองชายหัวล้าน
ชายหัวล้านเอ่ยขึ้น “แคว้นฉิวหยุน โม่จื่อ!”
“โม่จื่อ?” นางขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
แต่ลี่หยุนจื่อพลันหรี่ตาหันมามองชายหัวล้านอย่างละเอียด จากนั้นจึงค่อยๆเอ่ยออกมา “เช่นนั้นเจ้าก็คือโม่จื่อ!”
ชายหัวล้านยิ้มออกมาและคำนับฝ่ามือใส่ลี่หยุนจื่อ “โม่จื่อคารวะผู้อาวุโส”
สตรีคนสวยครุ่นคิดและและสอบถาม “สหายเซียนโม่และผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อ ท่านทั้งสองรู้จักจักรพรรดิคนใหม่หรือ?”
“ข้ารู้แต่เพียงว่าเขาเป็นคนโอหังมากและไม่ยอมพบกับผู้ส่งสาส์นคนใดเลย สำนักจตุรศักดิ์สิทธิ์ไม่เอ่ยถึงชื่อเขาและเก็บไว้เป็นความลับตลอดมา” ลี่หยุนจื่อหยิบถ้วยชาขึ้นมามองและวางลงไป
เขามาที่สำนักวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ภายใต้คำสั่งของอารามเทพอัสนี นอกจากการมายินดีแล้ว มีจุดประสงค์ลึกๆคือให้เขามาติดต่อกับจักรพรรดิคนใหม่โดยตรง
เรื่องนี้สำคัญมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มาด้วยตัวเอง
นางเอ่ยเสียงกระซิบเบาๆ “ผู้น้อยมีข่าวอยู่บ้าง ในรระหว่างการต่อสู้ที่ถ้ำเทพจักรพรรดิฉิงหลินเมื่อสามปีก่อน ลือกันว่าสำนักวิหคเพลิงรับคนผู้หนึ่งมา…”
ลี่หยุนจื่อพ่นลมหายใจเย็น เขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ด้านฝ่ายทุกชั้นฟ้าก็คิดเรื่องนี้ ปรมาจารย์จงเฉินคิดว่ามันเหมือนจะเป็น “เขา” แต่ไม่มีใครคนอื่นคิดเช่นนั้น ความเป็นไปได้ที่ “เขา” จะเป็นจักรพรรดิคนใหม่จึงถูกตัดออก อีกทั้งมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไป
“เขา? เขาไม่มีคุณสมบัติในการเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หรอก!” ในสายตาลี่หยุนจื่อแฝงความดูถูก หากไม่ใช่เพราะฉิงชุ่ย ลี่หยุนจื่อคงจับมาหลอมเป็นหุ่นเชิดเพื่อช่วยทะลวงความลึกลับของคัมภีร์รบไปแล้ว
หากมีคนบอกว่าหวังหลินคือจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ ลี่หยุนจื่อไม่มีวันเชื่อ!
พอคิดถึงฉิงชุ่ย ลี่หยุนจื่อรู้สึกผ่อนคลายไปบ้าง การหายไปของฉิงชุ่ยอยู่ภายในการคาดการณ์ เขารู้กระทั่งว่าปัญหาที่กองกำลังพันธมิตรเซียนนั้นเกี่ยวพันกับฉิงชุ่ยโดยตรง
นอกจากนี้ยังมีงานของฝ่ายทุกชั้นฟ้ามอบมาให้เาอีก เขามีเป้าหมายในการมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาต้องการใช้ชื่อเสียงของฝ่ายทุกชั้นฟ้าเพื่อถามเรื่องหวังหลินด้วย
เขาคิดว่าสำนักวิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ต้องมีเหตุผลในการรับหวังหลินมา เวลาสามปีเพียงพอจะดึงคุณค่าจากตัวหวังหลินออกมา ตอนนี้หวังหลินอาจจะไร้ประโยชน์ต่อสำนักวิหคเพลิงจนการได้เขามาไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
สตรีคนสวยมองลี่หยุนจื่อและเอ่ยถาม “งั้นหรือ? ข่าวลือว่ากันว่าวิชาของเขาสามารถฆ่าปรมาจารย์ชีกงได้ เขาทั้งยังสามารถฆ่าร่างอวตารอีกสองของเทียนหยุนและทำให้อีกหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำไมผู้อาวุโสลี่หยุนจื่อถึงคิดว่าเขาไม่มีคุณสมบัติกันเล่า? ตอนนั้นสำนักวิหคเพลิงส่งกองกำลังขนาดใหญ่ออกไปกระทั่งมีจิตวิญญาณแท้จริงนำทางไปเสียด้วย”
ลี่หยุนจื่อเอ่ยท่าทีสงบ “เขามาพูดคุยกับข้าก่อนที่จะมุ่งหน้าเข้าสู่ถ้ำของฉิงหลิน ข้าเห็นระดับบ่มเพาะเขาชัดเจน!” เขาไม่เชื่อว่าระดับบ่มเพาะของหวังหลินจะเปลี่ยนไปมากนัก ในสายตาเขาทั้งหมดนั่นเป็นแค่ข่าวลือไม่มีเค้าโครงความจริง
สตรีคนสวยขมวดคิ้ว สำนักซากศพเก็บรวบรวมเบาะแสหลายอย่างและสรุปได้ว่าหวังหลินผู้โด่งดังจากถ้ำฉิงหลินน่าจะเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิงคนใหม่ อย่างไรก็ตามคำพูดของลี่หยุนจื่อทำให้นางเกิดข้อสงสัย
‘ครั้งนึงหวังหลินเคยเป็นเทพสายฟ้าแห่งฝ่ายทุกชั้นฟ้า แม้กระทั่งฝ่ายทุกชั้นฟ้าเองยังไม่คิดว่าเขาเป็นจักรพรรดิคนใหม่เลย…’ นางไม่พูดมากอีก
“คนที่ท่านสองคนกำลังพูดถึงกันอยู่คือหวังหลินหรือ?” โม่จื่อเอ่ยถามขึ้นทันที
ชั่วขณะนั้นลี่หยุนจื่อพลันเงยศีรษะขึ้นและมองออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าประหลาดใจ วินาทีต่อมาโม่จื่อก็เงยศีรษะมองออกไปนอกห้องโถงด้วยเช่นเดียวกัน
คนสุดท้ายที่มองออกไปคือสตรีคนสวย สายตาแต่ละคนรวมกันออกไปนอกห้องโถง คลื่นความร้อนพรั่งพรูเข้ามาด้านในทำให้พลังอัคคีดั้งเดิมก่อตัวเป็นวังวนที่มองไม่เห็น
นาทีนั้นพลังอัคคีดั้งเดิมดูเหมือนมีชีวิต ยินดีและกระตือรือร้น มันหมุนเป็นวงกลมเคลื่อนที่ออกเป็นทางราวกับแสดงการเคารพ
คนผู้หนึ่งค่อยเดินเข้าไปในห้องโถงภายใต้สายตาของทั้งสามคน เขาสวมชุดเกราะสีแดงปกคลุมใบหน้า ทิ้งไว้แต่เพียงเส้นผมสีขาวโผล่ออกมา ทั้งยังมีผ้าคลุมสีขาวด้านหลังคู่กับรอยสักวิหคเพลิงขาว สร้างสัมผัสแห่งความกดดัน
ขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องโถง ชุดเกราะส่งเสียงกระทบกัน เขาเมินเฉยทุกคนอย่างสิ้นเชิง ผ้าคลุมเคลื่อนไปพร้อมกับเส้นผม ส่งคลื่นความร้อนเต็มไปทั่วห้องโถง
พลังอัคคีดั้งเดิมทั้งหมดดูเหมือนจะตื่นเต้นและหมุนเป็นวงกลมรอบตัวเขา ขณะนั้นแรงกดดันทรงพลังเพิ่มขึ้นมาด้วย
ไม่ใช่แค่พลังอัคคีดั้งเดิมในห้องโถงที่เปลี่ยนไป แต่พลังอัคคีทั้งหมดรอบดวงดาวและพื้นที่ดวงดาวดูเหมือนจะรวมกันเข้าหาเขา
ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลันจนแรงกดดันแพร่กระจายออกมา
เซียนบางส่วนติดตามเขามาด้วย ทั้งหมดมีสี่คนและต่างก็แก่ชราและอยู่ในขั้นทลายสวรรค์ พวกเขาสวมชุดคลุมสีแดงแต่ก็แตกต่างจากลี่หยุนจื่อสวมอยู่
ทั้งสี่คนเข้ามาพร้อมกับคนสวมชุดเกราะ พวกเขายืนอยู่ด้านหลังและมองดูสามคนด้านในอย่างสงบนิ่ง
คนสวมชุดเกราะเดินเข้ามาเบื้องหน้าทุกคน ยกผ้าคลุมขึ้นพร้อมกับนั่งลงไป ดวงตาดุจเปลวเพลิงแทงทะลุผ่านหมวกเกราะร่อนลงใส่ทั้งสาม
นาทีนี้ตัวเขาเองเต็มไปด้วยบารมีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งพลังดั้งเดิมรอบตัวป้องกันไม่ให้สัมผัสวิญญาณอันใดสอดแนมได้ แม้จะสามารถทะลุผ่านผ้าคลุมเข้ามาได้ แต่น้อยคนนักที่สามารถระบุตัวตนว่าเป็นหวังหลิน
ห้องโถงเงียบสงัด การปรากฏตัวของชายสวมเกราะช่างน่าตื่นตะลึงเกินไปและก่อกวนพลังอัคคีดั้งเดิมที่นี่อย่างไม่คาดคิด หน้าผากสตรีคนสวยตอนนี้ชุ่มเหงื่อเหมือนกำลังนั่งอยู่ในเตาร้อน ปกติแล้วด้วยระดับบ่มเพาะของนางคงไม่ถูกความร้อนนี้ก่อกวน แต่เมื่อชายสวมเกราะปรากฏ พลังอัคคีดั้งเดิมทั้งหมดเริ่มรวมกันมาที่นี่ แม้แต่นางเองก็พบว่ามันเหลือทน
“ผู้น้อยหลี่หยิงซื่อแห่งสำนักซากศพขอคารวะท่านจักรพรรดิวิหคเพลิง” นางถอนคำสบประมาทในใจ ยืนขึ้นทนต่อแรงกดดันและคำนับคนตรงหน้าด้วยความเคารพราวกับเป็นผู้อาวุโสของสำนักตนเอง
‘จักรพรรดิวิหคเพลิงระดับบ่มเพาะอะไรกันถึงสามารถสร้างแรงกดดันเช่นนี้ได้?’ นางตกตะลึง
ส่วนโม่จื่อมองชายสวมเกราะ ดวงตาเผยแสงประหลาดใจแต่ก็ไม่แน่ใจ นาทีนั้นเขาก็ทนยืนขึ้นรับแรงกดดันและเอ่ยอย่างเคารพ “โม่จื่อแห่งแคว้นฉิวหยุนขอคำนับท่านจักรพรรดิวิหคเพลิง”
ชายสวมเกราะกวาดสายตาผ่านเข้ามา ดวงตหยุดชะงักที่โม่จื่อเพียงชั่วครู่ก่อนจะร่อนลงบนลี่หยุนจื่อ
ลี่หยุนจื่อสูดหายใจลึกพลางลุกขึ้นยืน “ข้าลี่หยุนจื่อแห่งตระกูลจาง ฝ่ายทุกชั้นฟ้า ข้ามาที่นี่ในตัวแทนของอารามเทพอัสนีเพื่อยินดีกับท่านในการเป็นจักรพรรดิวิหคเพลิง!”
สายตาของชายสวมเกราะหยุดอยู่บนลี่หยุนจื่อมากที่สุด ภายใต้ชุดเกราะเผยรอยยิ้มซุกซ่อนเอาไว้ ทว่าไม่มีใครรู้ว่ารอยยิ้มนั้นเป็นเจตนาดีหรือร้ายกันแน่…
จิตใจลี่หยุนจื่อเต้นไม่เป็นจังหวะ เขารู้สึกไม่สบายใจจากสายตาของจักรพรรดิคนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ผู้อาวุโสขั้นทลายสวรรค์อีกสี่คนก็มองเขาด้วย
“ลี่หยุนจื่อ…” คนในชุดเกราะค่อยๆเอ่ยขึ้นมา น้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อยจากชุดเกราะและเมื่อมันแทงทะลุผ่านเปลวเพลิงจึงส่งเสียงชั่วกาลนาน
จิตใจลี่หยุนจื่อยิ่งอาการหนักขึ้น เขาก้าวถอยหลังมองจักรพรรดิคนใหม่และเอ่ยถาม “ท่านจักรพรรดิรู้จัดข้าหรือ?”
ชายสวมเกราะมองดูลี่หยุนจื่อชั่วครู่ก่อนจะถอนสายตาและมองไปที่โม่จื่อ
โม่จื่อระงับความสงสัยในใจเอาไว้และเอ่ยขึ้น “ท่านจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ข้ามาที่นี่ในตัวแทนของแคว้นฉิวหยุนเพื่อยินดีกับจักรพรรดิวิหคเพลิงคนใหม่ อาจารย์ข้าสั่งการให้มามอบของขวัญกับท่าน!” ขณะพูดขึ้นพลางใช้แขนขวายื่นเข้าหาความว่างเปล่าและปรากฏรอยร้าว รอยร้าวไม่เสถียรนักและได้รับผลกระทบจากพลังดั้งเดิมที่นี่อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นว่ารอยร้าวกำลังแตกสลาย ชายชุดเกราะยกแขนขึ้น พลังดั้งเดิมรอบรอยร้าวสูญสลายไปและรอยร้าวมั่นคงทันที
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้สตรีคนสวยต้องหรี่ตาแคบ แม้กระทั่งลี่หยุนจื่อเองก็เช่นกัน
โม่จื่อไม่เปลี่ยนสีหน้าพลางหยิบของขวัญที่เตรียมไว้ออกมาจากรอยร้าว เม็ดยา สมบัติและของอื่นๆอีกหลายอย่างถูกนำออกมา สมาชิกสำนักวิหคเพลิงออกมารับเอาไว้และยืนอยู่ด้านข้าง
สิ่งสุดท้ายที่โม่จื่อนำออกมาคือธงผืนเล็กสีเขียวและสีฟ้า ชั่วขณะนั้นมันปลดปล่อยพลังความเย็นพรั่งพรูออกมา แม้แต่พลังอัคคีดั้งเดิมในห้องโถงยังหยุดชะงักไปหนึ่งจังหงะ
ชายชุดเกราะหรี่สายตาจ้องมองธงผืนเล็กและเผยแววตาประหลาดใจ
“นี่เป็นสิ่งที่อาจารย์กำชับกับข้าไว้เป็นพิเศษเพื่อมอบเป็นของขวัญแก่ท่านจักรพรรดิ มันคือจิตวิญญาณที่อาจารย์ผนึกเอาไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน!”
หวังหลินยื่นแขนขวาออกมาและกำผืนธงนั้นไว้ในมือ หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดเขาก็มองโม่จื่อและเอ่ยขึ้น “ขอบคุณมาก!”
หลังโม่จื่อได้ยินว่า “ขอบคุณมาก” ดวงตาส่องประกาย มองหวังหลินอย่างลึกซึ้งแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป
ลี่หยุนจื่อซึ่งมาเป็นตัวแทนของอารามเทพอัสนีแห่งฝ่ายทุกชั้นฟ้า เขานำของขวัญออกมาเช่นเดียวกัน แม้จะมีค่าแต่ไม่มีสิ่งใดทำให้หวังหลินสนใจ หลังจากรับของขวัญมา ลี่หยุนจื่อดวงตาส่องสว่างและเอ่ยถามขึ้น “ท่านจักรพรรดิ นอกจากเรื่องที่อารามเทพอัสนีส่งข้ามาที่นี่ ข้ามีคำขอส่วนตัวด้วยเช่นกัน”
เมื่อเห็นว่าสายตาของจักรพรรดิคนใหม่ตกลงมาหาเขา ลี่หยุนจื่อขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยออกมา “สามปีก่อน สำนักวิหคเพลิงนำคนที่ชื่อ ‘หวังหลิน’ มา หากสำนักวิหคเพลิงไม่ได้ใช้เขาแล้ว ท่านปล่อยเขามาให้ข้าได้ไหม?”
หลังเอ่ยขึ้น ผู้อาวุโสสี่คนรอบตัวชายชุดเกราะต่างก็ตกตะลึงและทั้งหมดมองไปยังลี่หยุนจื่อ
ชายชุดเกราะมองลี่หยุนจื่อและเอ่ยถามทันที “เจ้าต้องการหวังหลิน?”