1139. เซิ่งหนิว
หวังหลินค่อยๆเดินผ่านผืนป่า อสรพิษตัวน้อยเคลื่อนตัวผ่านดินโคลน เขาเห็นคางคกขนาดเท่ากำปั้นกำลังกระโดดขึ้นลงโคลนและในน้ำ ดูมีความสุขกับสายฝน
หลังเข้ามาในทะเลเมฆา หวังหลินรู้สึกว่าทุกอย่างแปลกประหลาด เขาไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ไหนและเดินขบคิดไปบนดินโคลน
หวังหลินมาที่นี่เพื่อหลบหนีต้าเสิน แต่ด้วยพลังอำนาจของต้าเสินนั้นสามารถทะลวงกำแพงสองดาราจักรได้ ดูเหมือนตอนนี้ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว ไม่มีที่ที่ให้เขาต้องซ่อนตัว
‘แทนที่จะหนีไปเรื่อยๆ ข้าควรจะหาที่ตั้งหลักในทะเลเมฆาให้เร็วที่สุด เมื่อร่างดั้งเดิมข้าผ่านสามด่านเจ็ดหายนะได้ ข้าจะคิดถึงเส้นทางในอนาคต…’ หวังหลินมองด้านล่าง แววตาแฝงความกังวล
‘สิ่งสำคัญที่สุดคือการปะปนเข้าไปในทะเลเมฆาด้วยการเป็นเซียนจากทะเลเมฆา…’ หวังหลินมองฝนพรำด้านบน ราวกับหิมะจากพันธมิตรเซียนได้หลอมรวมกับสายฝน เขาก็ต้องทำแบบนี้เช่นเดียวกัน
เคลื่อนร่างไปข้างหน้า ร่างกายค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆ เส้นผมค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำ รูปร่างเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนผู้รอบรู้ที่ยากจนหน้าตาธรรมดา เดินออกมาจากป่า
ฤดูฝนบนแผ่นดินโม่หลัวกินเวลาหลายเดือน พื้นเปียกแฉะไม่หยุด ผู้คนเริ่มกระดูกปวดร้าว ทุกคนได้กลิ่นสนิมในสายฝนบางๆ
ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือคนธรรมดา ทุกคนบนแผ่นดินโม่หลัวเคยชินกับเรื่องนี้ สำหรับเซียนนั้นมักจะปิดด่านฝึกตนตลอดฤดูฝนหรือออกไปจากแผ่นดินเพื่อล่าสัตว์ดุร้าย แต่ในฤดูฝนปีนี้ สมาชิกเกือบทั้งหมดของสำนักบนแผ่นดินโม่หลัวต่างก็ออกมาและมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ทิศเหนือ
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยลำแสงคล้ายเปิดเส้นทางในสายฝน หากมองจากบนพื้นจะเห็นเหตุการณ์ดุจดาวตกมากมาย
ส่วนคนธรรมดาส่วนใหญ่อยู่ข้างเตาผิง อบอุ่นอยู่ในบ้าน บางครั้งก็มองออกมานอกประตู ถึงน่าเบื่อแต่ก็อบอุ่น
ณ หมู่บ้านวารีเหนือ ตั้งอยู่ในพื้นที่ทิศเหนือของแผ่นดินโม่หลัวซึ่งอยู่ภายในระยะห้าร้อยลี้ภายในป่า ผู้คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่เอาตัวรอดด้วยการทำสวน แต่มีอีกหลายร้อยครอบครัวที่ออกล่าร่วมกับหมู่บ้านข้างเคียง
ทุกฤดูฝนประชากรของหมู่บ้านวารีเหนือมักจะจัดกลุ่มผู้มีประสบการณ์เพื่อเข้าป่าไปล่าคางคกวารี ช่วงระยะเวลาหลายเดือนนี้ชาวบ้านมักจะออกไปสี่ถึงห้าครั้ง ทุกครั้งที่กลับมาจะได้คางคกวารีที่ยังมีชีวิตอยู่เต็มถุง
ยามที่เหล่าชาวบ้านกลับมา คนในครอบครัวทั้งหมดออกมาต้อนรับด้วยชุดกันฝน แม้แต่เด็กๆก็มองพ่อ พี่ ลุงหรือปู่ๆด้วยความตื่นเต้น พวกเขามักจะอารมณ์ดีเสมอ
แต่เมื่อชาวบ้านของหมู่บ้านวารีเหนือกลับมาจากป่าครั้งนี้ นอกจากถุงที่เต็มไปด้วยคางคกวารีแล้ว ยังนำคนผู้นึงกลับมาด้วย เขาเป็นชายหนุ่มธรรมดารูปร่างผอม แต่ดูเหมือนไม่สามารถทนต่อความหนาวเย็นได้ เขากำลังสวมเสื้อกันฝนที่ชาวบ้านมอบให้ ยืนอยู่เงียบๆที่นี่ด้วยท่าทีประหลาดใจ มองไปยังหมู่บ้านตรงหน้าด้วยแววตาหวนรำลึกและโศกเสร้า
“น้องเซิ่ง ที่นี่คือหมู่บ้านวารีเหนือของเรา เจ้าสามารถพักอาศัยอยู่ที่นี่ได้จนกว่าฤดูฝนจะผ่านพ้นไป จากนั้นเจ้าก็เดินไปตามเส้นทางภูเขาเข้าสู่เมืองใบไม้ผลิ” ชายร่างกำยำในเสื้อกันฝนส่งถุงคางคกวารีให้คนอื่นและยิ้มให้แก่หวังหลิน
หวังหลินเผยรอยยิ้มคำนับฝ่ามือและเอ่ยคำขอบคุณ
ชายร่างกำยำโบกมือพลางยิ้มแย้ม “ข้าไม่เคยเข้าโรงเรียนและไม่เคยเรียนรู้เรื่องมารยาท ตั้งแต่ที่เราเจอกันบนถนน เราถือว่าเป็นสหายกันแล้ว ดังนั้นน้องชายไม่จำเป็นต้องทำสุภาพ ฝนตกหนัก รีบเข้าไปในบ้านก่อน เมียข้ารีบไปทำความสะอาดหลังบ้านให้น้องเซิ่งอยู่ด้วย”
สตรีสวมเสื้อกันฝนยืนอยู่ข้างเขาพลางมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม นางไม่ถามอะไรสามีมากความและรีบกลับบ้าน หลังจากทำความสะอาดห้องหลังบ้าน นางก็นำหมอนและผ้าห่มสะอาดออกมา
ชายร่างกำยำคนนี้มีชื่อเสียงมากในหมู่บ้าน ดังนั้นจึงมีเพื่อนบ้านเข้ามาหายามค่ำคืนจำนวนมาก ร่ำสุราจำนวนมาก นั่งอยู่ด้านข้างถือจอกสุรา มองคนผู้คนด้วยรอยยิ้ม จิตใจสงบนิ่ง
หลังดื่มสุราเข้าไป ชายร่างกำยำหัวเราะเสียงดัง มีชายคนหนึ่งอายุมากกว่าสี่สิบปีนำจอกสุรามาให้หวังหลินและเอ่ยขึ้น “น้องเซิ่ง พี่สามของตระกูลเราบอกว่าหากไม่ใช่เพราะเจ้า เขาคงไม่รอดจากพิษงูเสียแล้ว ข้าไม่ลืมที่เจ้าช่วยชีวิตแน่นอน!” สิ้นคำพูดพลันดื่มสุราไปหมดจอก
หวังหลินยิ้ม หยิบไหสุราบนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปอีกใหญ่ก่อนจะปาดคราบบนมุมปาก “สุรานี้ไม่แรงพอ”
ชายร่างกำยำทั้งหมดปรบมือ เจ้าบ้านที่ให้หวังหลินอาศัยอยู่หลังบ้านพลันหัวเราะ “น้องสาว ไปหยิบสุราวารีเหนือมาอีกสามไห ข้าจะให้น้องเซิ่งรู้ว่าสุราของเราแรงแค่ไหน!”
ภรรยาเขาส่ายศีรษะและเข้าไปในบ้าน เด็กน้อยอีกสองคนติดตามมาพร้อมกับสุราสามไห
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา ฤดูฝนยังไม่สิ้นสุดแต่มีน้อยลง มีวันที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า
หวังหลินเป็นที่ชื่นชอบในหมู่บ้าน ทุกคนดูเหมือนจะยอมรับเพื่อนบ้านท่าทางเงียบๆแต่ดื่มหนักผู้นี้ และยังยอมรับเขาเป็นหมออีกด้วย ผู้อาวุโสในหมู่บ้านหลายคนเป็นพยานรู้เห็นทักษะทางการแพทย์ของหวังหลิน
ทั้งยังยอมรับทักษะแกะสลักอันประณีตอีกด้วย หวังหลินเป็นช่างไม้ในคราบแพทย์ชั้นยอด
วันเวลาผ่านไปราวกับเขาลืมเลือนวิกฤติเกี่ยวกับต้าเสิน ลืมเลือนความเป็นความตายของเซียน ลืมแผนการของชีวิต ราวกับมันเป็นชีวิตที่หวังหลินกำลังมองหา
เขาชอบความสงบและมีชีวิตที่มีความสุขของชาวบ้าน แต่หวังหลินรู้ดีว่ามันเหมือนดวงอาทิตย์ที่ฉายขึ้นมาในยามฤดูฝน และจะหายไปอีกไม่ช้า
เหล่าเซียนของสำนักต้นกำเนิดมาถึงพื้นที่ทิศเหนือของแผ่นดินโม่หลัว พวกเขาค้นหาคนที่มีคุณสมบัติฝึกฝนจนแล้วจนเล่า บางคนเป็นหนุ่มสาวและบางคนเยาว์วัย ส่วนผู้อาวุโสผมขาวก็มองหาเช่นเดียวกันแต่ส่วนใหญ่ไม่ตรงตามคุณสมบัติ ซึ่งคงไม่สามารถบรรลุความสำเร็จอะไรได้ก่อนจะตายลงไป
ในวันนี้มีเซียนคนหนึ่งมาถึงหมู่บ้านวารีเหนือ เซียนคนนี้ดูรูปร่างหน้าตาไม่น่าจะถึงยี่สิบปีแต่เป็นขั้นพื้นฐานลมปราณ การบ่มเพาะถึงด้วยอายุนี้ถือได้ว่าเป็นหัวหน้าในหมู่คนรุ่นเยาว์
เซียนคนนี้มีสีหน้าเย็นชา ดังนั้นเขาจึงขู่ผู้คนในหมู่บ้านทันที ทั้งหมดออกมาจากบ้านและสั่นเทากลางสายฝน ผู้คนบนแผ่นดินโม่หลัวรู้จักเหล่าเซียนเป็นอย่างดีและเข้าใจว่าหากเซียนคนนี้โกรธเกรี้ยวคงใช้เวลาครู่เดียวสังหารพวกเขาทั้งหมด
จ้าวหยู่ขมวดคิ้วมองคนธรรมดาทั้งหมดในหมู่บ้าน สายฝนห่างจากตัวเขาไปสามนิ้ว ทำให้เสื้อผ้าสะอาดเอี่ยม
ชาวบ้านชุ่มโชกไปด้วยสายฝน ความหนาวเย็นแทรกผ่านเข้ารร่างกาย ผู้ใหญ่ถือว่าดีแต่เหล่าเด็กๆสั่นงันงกเนื่องจากความหนาวเย็นและกอดคนในครอบครัวตนเอง
ทั้งหมดยืนอยู่เกือบสิบห้านาที แต่เซียนคนนั้นก็ยังไม่ได้พูดอะไร
“ซะ…เซียน สายฝนนี้หนาวเหน็บและเด็กๆอ่อนแอยิ่ง ไม่อาจทนไหวแล้ว จะว่าอย่างไรหาก…” ชายร่างกำยำที่พาหวังหลินมาอยู่ด้วยพลันเริ่มเอ่ยขึ้น ลูกสาวตัวเล็กของเขาซีดแข็งไปแล้ว
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะทันได้พูดจบ สายตาเยือกเย็นของจ้าวหยู่แล่นผ่านเข้ามาและบังคับให้ชายร่างกำยำต้องกลืนคำพูดไป
จ้าวหยู่ถอนหายใจเย็นและเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “หากแค่สายฝนนี้ทนไม่ได้ จะกลายเป็นเซียนได้อย่างไร?” เขาพ่นลมหายใจเย็นแฝงระดับบ่มเพาะ เสียงดังกึกก้องในหูชาวบ้าน หลายคนหน้าซีด
หวังหลินยืนอยู่ในฝูงชน ใบหน้ามืดมน เดินออกมาจากฝูงชนและเดินเข้าหาจ้าวหยู่
จ้าวหยู่ตกตะลึงและกำลังตะโกน แต่สายตาเต็มไปด้วยความสับสน เลื่อนจากหวังหลินไปหาชาวบ้านและเอ่ยเสียงเรียบ “พวกเจ้าทั้งหมดกลับไปได้”
ชาวบ้านตกตะลึง รีบนำเด็กๆกลับเข้าไปข้างหน้า ไม่ทันสังเกตว่าขณะที่กระจายตัว หวังหลินโบกแขนขวา คลื่นความร้อนล่องหนไหลเข้าไปในร่างชาวบ้านและสลัดความเย็นทิ้งไป
ในคืนสายฝนพรำ หวังหลินเดินนำหน้าโจวหยู่ เขาไม่สับสนอีกแล้วราวกับถูกถอดวิญญาณไป
การเคลื่อนไหวของสำนักต้นกำเนิดกินเวลาเกือบเดือน รวบรวมคนธรรมดาจากพื้นที่ทิศเหนือมาได้ 31 คน ในนั้นมี 17 คนเป็นวัยรุ่นและที่เหลือเป็นผู้เยาว์ ทั้งหมดถูกส่งเข้าไปในสำนักต้นกำเนิดและตั้งหลักอยู่ในสระน้ำยักษ์
สี่มหาอาวุโสแห่งสำนักต้นกำเนิดวางค่ายกลสำคัญยิ่งเอาไว้บน 31 คน ทั้งหมดถูกแบ่งให้กับสี่ผู้อาวุโส ผู้อาวุโสหญิง หลิวหยานเฟย รับมาเจ็ดคน มีชายหนุ่มนามเซิ่งหนิวจากหมู่บ้านวารีเหนืออยู่ในนั้นด้วย