1240. หลี่เฉียนเหมย
หลิวหยิงเจี๋ยจ้องมองลั่วหยุนคงด้วยสีหน้ามืดมน เขายังจำเหตุการณ์เมื่อพันปีก่อนได้เนื่องจากคนตรงหน้าผู้เป็นสำนักระดับห้าอันดับหนึ่งที่กล้าท้าทายสำนักเพลงสวรรค์ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของสำนักเขตระดับหก
แม้การท้ายทายนั้นจะพ่ายแพ้ในท้ายสุด แต่เป็นเรื่องเสียหน้าแก่สำนักเพลงสวรรค์ เขาเป็นคนที่ก้าวเข้ามาต่อกรกับสำนักเพลงสวรรค์เพื่อทำให้สำนักเต๋าม่วงมีชื่อเสียงโด่งดังและทำให้ชื่อ “ลั่วหยุนคง” แพร่กระจายไปทั่วทะเลเมฆา!
ลั่วหยุนคงเป็นตัวอันตรายในการแข่งขันครั้งนี้ด้วยและทรงพลังยิ่งกว่าเมื่อพันปีก่อนเสียอีก ราวกับเขาอยากจะท้าทายสำนักเพลงสวรรค์อีกครั้ง!
หากพวกเขาถูกสำนักระดับห้าท้าทายถึงสองครั้ง สำนักเพลงสวรรค์คงเสียหน้า ถ้าพวกเขาเผยความอ่อนแอเพียงเล็กน้อย แม้จะชนะได้แต่ก็ยังถูกเยาะเย้ยอย่างลับๆ
“ลั่วหยุนคง ใครๆก็พูดได้ ข้าไม่รู้จริงๆว่าคนชื่อหลิวที่เจ้าว่าจะฆ่าข้าดุจบี้มดได้อย่างไร!” หลิวหยิงเจี๋ยมีท่าทางสงบลงเล็กน้อย เขาเป็นคนมืดมนแต่ไม่ชอบแสดงมันออกมา เขาใช้เวลาไม่กี่วินาทีเพื่อระงับความโกรธที่พุ่งขึ้น
ในแววตาลั่วหยุนคงเกิดความหนาวเย็นวูบวาบ เขามองทะลุจนเห็นนิสัยของหลิวหยิงเจี๋ย แต่ยิ่งเห็นมากขึ้นก็ยิ่งไม่ชอบเขา
“ถ้าเขามา เจ้าก็จะรู้เอง!” ลั่วหยุนคงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา นอกจากการแข่งขันแล้ว เหตุผลที่ใหญ่ที่สุดที่เขามาสำนักอมตะก็เพื่อมาเจอหวังหลินอีกครั้ง
ดังนั้นเขาจึงให้ความสนใจสำนักต้นกำเนิดอย่างมาก
ทว่าขณะที่ลั่วหยุนคงพูดออกมา น้ำเสียงประหลาดเสียงหนึ่งดูเหมือนดังออกมาจากปากใครสักคนรอบบริเวณ
“ข้าก็มองหาคนชื่อหลิวที่เจ้าพูดถึงเช่นเดียวกัน ลั่วหยุนคง”
ลั่วหยุนคงอาการเปลี่ยนไป ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นแต่รวมไปถึงคนของสำนักต้นกำเนิดทั้งหลิวหยานเฟยก็เปลี่ยนไป
น้ำเสียงเบาบางแต่ส่งผลกระทบต่อวิญญาณดั้งเดิมทุกคนจนปั่นป่วนรุนแรง
หากระดับบ่มเพาะไม่สูงพอ สีหน้าจะซีดเซียว วิญญาณดั้งเดิมคงบาดเจ็บและสับสน
มีเพียงหลิวหยิงเจี๋ยที่มีท่าทีปกติ แต่แววตาดูประหลาดใจ เขาหันกลับมาและคำนับฝ่ามือด้วยความเคารพ “ขอทักทายผู้อาวุโสจ้าว”
อากาศด้านหลังหลิวหยิงเจี๋ยบิดเบี้ยวและเกิดระลอกคลื่น คนผู้หนึ่งค่อยๆก้าวเดินออกมา เขาเป็นชายวัยกลางคนและอวัยวะที่โดดเด่นคือจมูกเหมือนตะขอเกี่ยว ริมฝีปากบางและสายตามืดมน ซึ่งทำให้เขาดูชั่วร้ายมาก
ลั่วหยุนคงสีหน้าเปลี่ยนไป หลังจากผ่านไปสักพักเขาจึงเอ่ยขึ้นมา “ขอทักทาย ผู้อาวุโสจ้าวแห่งสำนักระดับเจ็ด ส่องภูผา” คำพูดของลั่วหยุนคงได้ระบุตัวตนของคนตรงหน้าเพื่อเตือนให้แก่หลิวหยานเฟยและคนอื่นๆ
หลิวหยานเฟยสีหน้าขมขื่นขึ้นมา นางและเซียนของสำนักต้นกำเนิดจึงคำนับเขาอย่างเคารพ
การปรากฏตัวของเขาทำให้รอบด้านเย็นเฉียบ คนที่เข้ามามุงได้กลับไปตั้งหลักทันที บางส่วนลุกขึ้นจากไป ตอนแรกเป็นเรื่องเกี่ยวกับสำนักต้นกำเนิด แต่มันก็เปลี่ยนเรื่องไประหว่างสำนักเต๋าม่วง สำนักเพลงสวรรค์และสำนักส่องภูผา
สิ่งที่แต่ละคนเน้นย้ำการเผชิญหน้ากันดูเหมือนจะเป็นคนลึกลับแซ่หลิวที่ลั่วหยุนคงพูดถึง
ผู้อาวุโสจ้าวเดินมาข้างๆหลิวหยิงเจี๋ยและพยักหน้าเล็กน้อย หลิวหยิงเจี๋ยเคารพมากยิ่งขึ้น
“ในเมื่อคนผู้นี้บอกว่าเขาสามารถฆ่าได้เหมือนบี้มด เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะยอมรับคำท้านี้ ข้าอยากเห็นเสียจริงว่าคนลึกลับแซ่หลิวจะเป็นของจริงหรือของปลอม” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้นเบาๆ
หลิวหยิงเจี๋ยเผยรอยยิ้มและพยักหน้า “เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าก็อยากจะเห็นจริงๆว่าคนลึกลับแซ่หลิวจะแข็งแกร่งแค่ไหน หากเขาไม่แสดงตัวหรือไม่แข็งแกร่งตามที่สหายลั่วพูด เราควรทำอะไรดี? ผู้อาวุโสจ้าวโปรดให้คำแนะนำแก่เราด้วย”
ผู้อาวุโสจ้าวมองไปที่ลั่วหยุนคงและเอ่ยอย่างมืดมน “ถ้าเป็นเช่นนั้น ในเมื่อข้าเป็นพยานรู้เห็น เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ จะพูดพล่อยๆได้อย่างไร?”
ลั่วหยุนคงมีท่าทางมืดมนและไม่พูดอะไรออกมาสักพัก แม้สำนักส่องภูผาจะไม่ใช่สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักระดับเจ็ด ผู้อาวุโสจ้าวเป็นผู้อาวุโสภายนอกและมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสำนักวิญญาณสงบ หากเขาออกโรงคงทำให้เรื่องนี้ดังแน่นอน
หลิวหยานเฟยกัดริมฝีปากและเห็นว่าลั่วหยุนคงตกอยู่ในสถานการณ์อึดอัด วินาทีต่อมานางเอ่ยขึ้นเบาๆ “เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสหายเซียนลั่ว นี่มันเรื่องของสำนักต้นกำเนิด ถ้า…”
ก่อนที่หลิวหยานเฟยจะกล่าวจบ ผู้อาวุโสจ้าวสายตาเยือกเย็นจ้องมาที่หลิวหยานเฟย สายตาดุจคมกระบี่ลอยออกมาร่อนใส่ตาของหลิวหยานเฟย
นางรู้สึกร่างกายสั่นเทา เสียงคำรามกึกก้องในดวงวิญญาณจนอดไม่ได้ที่จะถอยไปหลายสิบฟุต ใบหน้าซีดเซียว โลหิตผุดออกจากปาก ทั้งร่างอ่อนแอยิ่ง
“สาวน้อยเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์มาพูดที่นี่!”
รอบด้านเงียบลงทันที คนของสำนักต้นกำเนิดทั้งหมดเกรี้ยวโกรธ แต่ไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใด พวกเขากลืนความอัปยศนี้ลงลำคอและปล่อยให้ความขมขื่นเต็มไปทั่วร่างกาย
หลังจากขบคิดอยู่สักพัก ลั่วหยุนคงมองผู้อาวุโสจ้าวหลงและเอ่ยขึ้นมา “หากพี่หลิวไม่มาหรือไม่สามารถฆ่าหลิวหยิงเจี๋ยได้เหมือนบี้มด เช่นนั้นข้าจะให้ผู้อาวุโสจ้าวชี้แจง!”
จ้าวหลงเผยรอยยิ้มมืดมนและหัวเราะแรงๆพร้อมกับหันตัวจากไป นอกจากเขาแล้ว หลิวหยิงเจี๋ยส่งสายตาเชิงขอโทษไปที่หลิวหยานเฟยแต่ไม่ได้มองลั่วหยุนคง เขาหันตัวกลับจากไปพร้อมกับจ้าวหลง
สถานที่ที่พวกเขาอยู่เป็นแค่หยดเล็กๆในถังน้ำเมื่อเทียบกับแท่นการต่อสู้ ขณะนี้ลำแสงสีขาวสายหนึ่งเข้าใกล้บนแท่นการประลองที่มีอยู่หลายแห่ง แสงสีขาวข้ามผ่านท้องฟ้าและเกิดเป็นเสียงดังสนั่น ก่อนที่จะเข้าใกล้ มันได้ทำให้เซียนรอบๆเกิดความสนใจไปแล้ว
กลิ่นอายของเซียนขั้นทลายสวรรค์แพร่กระจายออกมาจากแสงสีขาว เงาหลายร่างโผล่ออกมาจากสำนักอมตะเพื่อต้อนรับ
หลังจากแสงสีขาวเข้ามาใกล้ มันชะลอตัวลงทำให้เซียนทั้งหมดมองเข้ามาเห็นสตรีคนหนึ่งข้างใน พวกเขาสังเกตเห็นเส้นผมสีฟ้าที่มีอยู่คนเดียวในทะเลเมฆา!
หลี่เฉียนเหมย!
ระดับเก้า สำนักทะลวงสวรรค์!
ทันใดนั้นเกิดความโกลาหลขึ้นกับเซียนเกือบแสนคนที่นี่เนื่องจากทุกคนจดจำตัวตนของสตรีผมฟ้าคนนี้ได้
“เป็นหลี่เฉียนเหมยแห่งสำนักทะลวงสวรรค์ ไม่คิดว่าการแข่งขันของสำนักอมตะจะทำให้นางสนใจจนเข้ามาดู!”
“ลือกันว่านางกำลังต่อสู้กับกองทัพอสูรที่สำนักมาร ไม่คาดคิดว่านางจะออกมาที่นี่!”
“ข่าวลือว่าในระหว่างการต่อสู้กับกองทัพอสูร ไม่มีเซียนคนใดอนุญาตให้ออกมา หลี่เฉียนเหมยทำให้สำนักมารอนุญาตให้ออกมาได้อย่างไรกัน?”
เสียงสนทนาแพร่กระจายออกไปทั่วแท่นการต่อสู้พร้อมกับการปรากฏตัวของหลี่เฉียนเหมย แม้แต่การต่อสู้ของสำนักระดับสี่ก็ไม่ทำให้ทุกคนสนใจอีกแล้ว
หลิวหยิงเจี๋ยเห็นหลี่เฉียนเหมยอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาพลันส่องสว่าง เขารู้จักหลี่เฉียนเหมยเนื่องจากนางก็เคยถามคำถามเขาไปครั้งนึง
แม้กระทั่งจ้าวหลงยังมองขึ้นไปด้วยความเคร่งเครียด เขาเคารพหลี่เฉียนเหมยผู้มาจากสำนักทะลวงสวรรค์ ไม่ว่าจะด้วยระดับบ่มเพาะของนางหรือตัวสำนัก ทั้งสองสิ่งนี้เขาไม่อาจเทียบได้
คนที่รับผิดชอบการแข่งขันในวันนี้เป็นชายชรานามว่าเฟิ่งไฮ่และผู้อาวุโสสำนักอมตะอีกหกคน หลังจากสัมผัสหลี่เฉียนเหมยได้ เขาจึงเหาะออกมาพร้อมกับผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์หลายสิบคน หลังจากนั้นผู้คนหลายร้อยคนที่รับผิดชอบงานก็เหาะขึ้นมาด้วย
คนกลุ่มใหญ่ออกมาต้อนรับการมาถึงของหลี่เฉียนเหมย
“สำนักอมตะของเราเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่สหายเซียนหลี่มาที่นี่ ข้านามว่าเฟิ่งไฮ่” เฟิ่งไฮ่ยิ้ม เขาคำนับฝ่ามือด้วยความกระตือรือร้น
หกผู้อาวุโสด้านหลังยิ้มออกมาเช่นกันและคำนับฝ่ามือด้วยความเคารพ เหล่าศิษย์ทั้งหมดเผยท่าทีนอบน้อม พวกเขามองหลี่เฉียนเหมยด้วยสายตาชื่นชมและหวั่นเกรง
นอกจากคนพวกนี้แล้วยังมีลำแสงอีกมากกว่าสิบสายพุ่งเข้ามาจากดาวข้างเคียง เป็นอีกกลุ่มหลักของสำนักอมตะซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณค่าว่าหลี่เฉียนเหมยมีค่าแค่ไหน
“ข้าเชื่อว่าสหายเซียนหลี่พึ่งออกมาจากกองทัพอสูร สำนักอมตะจะเตรียมสถานที่ให้ท่านพักผ่อน ข้าเดาว่าจ้าวสำนักได้รับรู้การมาถึงของท่านแล้ว ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับเราที่สหายเซียนอยากมาที่นี่” เฟิ่งไฮ่คำนับฝ่ามือพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ
แม้หลี่เฉียนเหมยจะกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน นางยังคงสงบนิ่ง ไม่ผลีผลามแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณเพื่อค้นหาด้วยตัวเอง นางมองไปที่ทุกคนด้านหน้าก่อนที่สายตาจะตกลงบนเฟิ่งไฮ่ พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ “การพักผ่อนไม่ต้องเร่งด่วน สหายเซียนเฟิ่ง สำนักต้นกำเนิดระดับห้าเข้ามาร่วมการประลองนี้ด้วยใช่ไหม?”
“สำนักต้นกำเนิด?” เฟิ่งไฮ่ตกตะลึง ศิษย์คนหนึ่งเหาะเข้ามาและพูดเข้าไปในหูเขา
“สำนักต้นกำเนิดมาที่นี่จริงๆ” หลังจากเฟิ่งไฮ่ได้ยินคำนี้ เขายิ้มขึ้นแต่เกิดข้อสงสัยในใจ สำนักต้นกำเนิดเล็กๆจะเกี่ยวพันกับหลี่เฉียนเหมยได้ยังไง?
หลี่เฉียนเหมยระงับอารมณ์เอาไว้ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเขาอยู่ไหน?”
เฟิ่งไฮ่เกิดข้อสงสัยมากขึ้นแต่ไม่เผยมันออกมา เขามองศิษย์ด้านหลังที่พูดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาเป็นผู้เยาว์และรีบพูดขึ้น “แท่นทิศเหนือ…ตรงชายขอบ”
พอคำพูดเขาชี้ตำแหน่งออกไป สัมผัสวิญญาณของหลี่เฉียนเหมยแพร่กระจายเข้าครอบคลุมทั้งพื้นที่แถบเหนือ นางพบคนของสำนักต้นกำเนิดทันที เทียบกับทั้งแท่นพิธีแห่งนี้แล้ว สถานที่ตรงนั้นเล็กจนไร้ค่าจริงๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อหลี่เฉียนเหมยค้นพบสำนักต้นกำเนิด นางเหาะเข้าไปดุจสายฟ้าทันที!