1242. ต่อจากแยกราตรี
การซ่อนตัวเองไว้ในกลิ่นอายของอสูรยุงนับไม่ถ้วนจึงทำให้การเจอหวังหลินแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ยิ่งเขาเข้าไปในแดนสวรรค์ลึกขึ้นยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น ความเร็วของฝูงยุงชะลอตัวลงอย่างมาก
ขณะที่พวกเขาเดินทางไปข้างหน้า หวังหลินสัมผัสว่าสายลมในแดนสวรรค์นั้นรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สายลมเหมือนเสียงร้องโหยหวนของดวงวิญญาณ มันสั่นสะเทือนพื้นดิน ขณะเดียวกันก็ก่อตัวเป็นวังวนเดินทางไปทั่วแดนสวรรค์
อสูรยุงดูเมือนจะชอบสายลมเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเหล่าวังวน หวังหลินเห็นวังวนหลายแห่งที่มีอสูรยุงหลายร้อยตัวอยู่ข้างในซึ่งผลักดันออกไปไกล เสียงดังสนั่นกึกก้องไปทั่ว บางครั้งมันไม่ชัดว่าสายลมกำลังพาพวกยุงไปหรือพวกยุงสร้างสายลมขึ้นมาเอง
ขณะที่เขาเดินทางต่อไป แผ่นดินที่ล่มสลายของแดนสวรรค์ค่อยๆปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาหวังหลิน ชิ้นส่วนแผ่นดินที่แตกสลายเป็นเสมือนกระจกแตกร้าว เศษของมันแตกกันเป็นรอย บางชิ้นกว้างใหญ่จนยื่นเข้าไปในอวกาศ
บนพื้นที่เหล่านั้นมีซากปรักหักพังและเศษฝุ่นมากมายท่ามกลางสิ่งก่อสร้างพังทลายหลายแห่ง ทุกครั้งที่สายลมพัด ดูเหมือนจะเอาบางอย่างออกไปด้วย สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นค่อยๆหายไปเนื่องจากลมพัดตลอดทั้งปี
พอเห็นทุกอย่างเบื้องหน้า หวังหลินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยว ช่วงชีวิตการบ่มเพาะฝึกเซียนเกือบสองพันปีของเขา แล้วเข้าไปแล้วทั้งแดนสวรรค์พิรุณ แดนสวรรค์อัสนีและตอนนี้เขาอยู่ที่แดนสวรรค์วายุ
ประสบการณ์ของเขาช่างน่าตื่นเต้นมาก สิ่งที่เขาเจอมีคนเทียบเคียงได้ไม่มากนัก
แดนสวรรค์พิรุณทำให้หวังหลินรู้สึกว่ามันได้รับความเสียหายหนักและการหาร่องรอยอันใดของแดนสวรรค์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องยากมาก ที่เหลืออยู่ทั้งหมดล้วนถูกกาลเวลาทำร้ายและถูกเหล่าเซียนร่วมด้วย
แดนสวรรค์อัสนีแตกต่างกันเมื่อเทียบกับแดนสวรรค์พิรุณเนื่องจากมันไม่ได้รับความเสียหาย แม้มันจะพังทลายเช่นกันแต่เขายังสัมผัสถึงความทรงพลังและอำนาจของแดนสวรรค์อัสนีที่ผ่านมาได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นแดนสวรรค์พิรุณหรือแดนสวรรค์อัสนี พวกมันเทียบไม่ได้กับแดนสวรรค์วายุเลย เนื่องด้วยเหล่าอสูรยุง การที่เหล่าเซียนจะมาที่นี่หลังการล่มสลายจึงหายากยิ่ง ทำให้แดนสวรรค์แห่งนี้คงความสมบูรณ์ยิ่ง มีเพียงสายลมที่ส่งเสียงดังกึกก้องพัดพาตัวเองไปทั่วแดนสวรรค์
ทั่วทั้งแดนสวรรค์วายุได้ทำให้หวังหลินรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว่าง ราวกับสถานที่แห่งนี้ถูกหลงลืมมานานแสนนาน มีเพียงสายลมหวีดหวิวอยู่ในที่แห่งนี้
หวังหลินเห็นชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในแดนสวรรค์วายุลอยอยู่เบื้องหน้า มันปลดปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่ราวกับใช้ชีวิตอยู่มาเนิ่นนาน
ใจกลางแผ่นดินมีประตูหินขนาดยักษ์ ประตูหินนี้มีความสูงหลายแสนฟุต แม้จะอยู่ไกลยังมองเห็นได้ง่ายๆ
ฝูงยุงที่หวังหลินอยู่พลันหยุดลง หวังหลินนั่งอยู่บนราชายุงจดจ้องไปยังประตูหินยักษ์ที่อยู่ห่างไกล ความคิดสั่นไหวราวกับเขาสูญเสียตัวเอง เขาสูญเสียสัมผัสทั้งหมด แม้กระทั่งสายลมหวีดหวิวดูเหมือนจะหายไป เขาหลงลืมแม้กระทั่งการนั่งอยู่บนหลังราชายุง สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ในสายตาคือประตูหินที่มิอาจบรรยายออกมาได้!
ความรู้สึกแห่งการเวลาค่อยๆเกาะกุมความคิดหวังหลิน ตอนนี้เขาจมอยู่ในห้วงแห่งเวลา ค่อยๆสูญเสียตนเองพร้อมกับเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของโลก เฝ้าดูการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัย เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของทิวทัศน์
มันไม่เหมาะสมที่จะเรียกประตูหินเพราะเป็นเพียงแค่กรอบประตูยักษ์เท่านั้น มันเหมือนมีใครสักคนเอาเสาขนาดยักษ์สองท่อนมาวางเอาไว้ให้เป็นรูปร่างประตู เสาของมันอยู่เหนือพื้นดินและไม่สั่นไหวต่อสายลมเลย
พอมองประตูหิน หลังจากนั้นสักพักหวังหลินดูเหมือนได้กลับคืนสู่ร่างตนเอง เขาสูดหายใจลึกและค่อยๆกลับคืนสู่ปกติ แต่สายตายังคงจับจ้องไปที่ประตูหินที่อยู่ห่างไกล
เขาไม่ได้ไม่คุ้นเคยกับประตูหินนี้ เขาเคยเห็นมาหลายครั้งในชีวิต…
ประตูหินนี้คือประตูที่ลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าสร้างขึ้นมาตอนที่มันเปิดใช้งาน มันดูเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ถ้ามีอะไรต่างกันจริงๆก็คงบอกได้ว่าประตูหินที่เกิดขึ้นจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าคือประตูจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่กรอบประตู
หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินมองดูรอบๆ ที่นี่อยู่ในพื้นที่ชั้นในของแดนสวรรค์วายุแล้ว การเข้าไปให้ไกลกว่านี้นั่นหมายถึงการเข้าสู่ใจกลางของแดนสวรรค์ ขณะที่มองประตูยักษ์หวังหลินไม่อยากจะจากไป เขากระโดดออกไปจากแผ่นหลังราชายุง ก้าวไปบนสายลมและเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
ราชายุงติดตามไปด้านหลัง รอบๆมันมีอสูรยุงเกือบห้าพันตัวก่อตัวเป็นก้อนเมฆสีแดงปกคลุมผืนฟ้า
หวังหลินรู้สึกว่าประตูบานนี้มีแรงดึงดูดลึกลับบางอย่าง เขาค่อยๆก้าวไปบนอากาศและเข้าไปใกล้ประตู กลิ่นอายน่าเกรงขามของประตูรุนแรงยิ่งขึ้น
หากยืนอยู่เบื้องหน้าประตูและมองขึ้นไปคงไม่อาจเห็นยอดได้ ความรู้สึกโดดเดี่ยวทรงพลังล้อมรอบบริเวณราวกับมีวังวนที่มองไม่เห็นซึ่งมีประตูยักษ์อยู่ใจกลางและกำลังหมุนอย่างช้าๆ ด้วยวังวนนี้จึงทำให้รู้สึกเหมือนมีชั้นหมอกอยู่รอบๆประตูจนยากจะสังเกตได้จากระยะไกล พอเข้าไปใกล้จึงรู้สึกได้ง่ายๆ
หวังหลินยืนอยู่บนพื้นและเงยศีรษะขึ้นมองประตูยักษ์ จิตใจสั่นสะท้านพร้อมกับแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณเข้าหาประตูโดยไม่รู้ตัว
พอแพร่สัมผัสวิญญาณเข้าไป เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวในจิตใจราวกับสายฟ้าระเบิดในหู ผลกระทบอันรุนแรงได้ผลักสายหมอกทั้งหมดออกไปและทำให้ประตูยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาหวังหลินอย่างชัดเจน
สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ประตูอีกแล้ว แต่เป็นสิ่งมีชีวิต!
สิ่งมีชีวิตนี้มีวิญญาณ ราวกับมันอยู่มานานมากและค่อยๆได้รับความรู้สึก พอสัมผัสวิญญาณหวังหลินแพร่กระจายเข้าไป ดูเหมือนเขาจะผสานเข้ากับสิ่งมีชีวิตนั้นและหวังหลินดูจะหลงลืมตัวตนของตัวเองในเสี้ยววินาที
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังหลินยืนอยู่ที่นี่ไม่ไหวติง เขาตกอยู่ในสภาวะประหลาดมาก สภาวะนี้ช่างคุ้นเคยเหมือนตอนที่เขาเข้าใจวิชาต้นกำเนิดวิชาแรก แยกราตรี ซึ่งอยู่บนหน้าผาริมทะเล
มีคำเก่าแก่พูดไว้ว่า: เซียนเดินทะลุสวรรค์และปรับเปลี่ยนสวรรค์ให้เป็นหัวใจของตนเอง เพียงแค่นั้นก็จะสามารถกุมฟ้าดินและเข้าใจได้ว่าเต๋าคืออะไร! แม้จะฟังดูซับซ้อนแต่มันมีเหตุผลของตัวเอง
ดุจจิตรกรที่ไม่เคยเห็นยอดอันสูงสุด ทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลหรือชีวิตที่แตกต่างกัน เขาจะวาดภูเขาคล้ายสวรรค์ ทะเลคล้ายมังกรหรือความสัมพันธ์ของมนุษย์ได้อย่างไร?
มีเพียงหลังจากเห็นเป็นครั้งแรก ได้รับประสบการณ์เป็นครั้งแรกก่อนเท่านั้นจึงจะสามารถวาดภูเขาและทะเลที่มีจิตวิญญาณจนสร้างผลงานชิ้นเอกส่งต่อไปชั่วรุ่นชั่วหลาน
การฝึกเซียนใช้หลักการคิดแบบเดียวกันซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมศิษย์ทั้งหมดของสำนักใหญ่ต้องออกไปเข้าใจสวรรค์สักครั้งเมื่อระดับบ่มเพาะบรรลุถึงจุดหนึ่ง
อย่างไรก็ตามจิตรกรก็ยังเป็นคน บางคนไม่คล้อยตามฟ้าดิน พวกเขาไม่เคยได้รับความเข้าใจอะไรและทิ้งรอยเท้าเอาไว้เบื้องหลังจนค่อยๆหายไปตามกาลเวลาเท่านั้น
แต่ก็มีผู้คนที่ได้รับความเข้าใจจากการไปเจอฟ้าดิน ภูเขาและทะเลอยู่ด้วย แม้กระทั่งชาวประมงที่กำลังทอดแห แม้รอยเท้าพวกเขาจะถูกชะล้างออกไป ความเข้าใจที่ได้มายังคงอยู่ในใจและไปพร้อมกัน
การฝึกฝนเซียนก็เป็นเช่นนี้ เซียนบางคนรู้สึกไม่เกิดความเข้าใจ ไม่ว่าจะเห็นมากแค่ไหน ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ
เซียนบางคนผสานเข้ากับสวรรค์ด้วยจิตใจของตนเองและกลายเป็นความเข้าใจของตนเอง ตอนนี้หวังหลินจับต้องประตูหินในจิตใจของตัวเองได้! นี่คือหนึ่งในขอบเขตอันยิ่งใหญ่ทั้งสาม ขอบเขตฉี!
ฉีคือต้นตอของการสรรค์สร้างทั้งหมดทั้งมวล!
ก่อนหน้านั้นตอนที่หวังหลินได้รับความเข้าใจบนหน้าผาริมทะเล เขากำลังมองท้องฟ้า พื้นดินและทะเล เขาจับความเข้าใจทั้งหมดนั้นไว้ในใจและใช้พวกมันเพื่อสร้างวิชาต้นกำเนิดวิชาแรกของเขา แยกราตรี!
วันนี้ในแดนสวรรค์วายุ ข้างใต้ประตูยักษ์ หวังหลินได้ความรู้สึกนี้อีกครั้ง เขาจมดิ่งตัวเองไปในขอบเขตอันแปลกประหลาด กำลังจะเข้าใจประตูหินในใจบานนี้โดยไม่รู้ตัวและนำมันออกมา
เขาไม่ได้ต้องการใช้มันเพื่อสร้างวิชาที่สองต่อจากแยกราตรี เหมือนกับตอนนั้นที่อยู่บนหน้าผาริมทะเล เขาไม่คิดว่ากำลังจะสร้างวิชาแยกราตรีและแสดงมันให้เห็นแก่สายตา
หวังหลินยืนอยู่ที่นี่ กลิ่นอายค่อยๆผสานตัวเข้ากับประตูจนตัวตนหายวับเข้าไปภายในอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ถ้าหากมีเซียนสักคนมาที่นี่และแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกมา เขาคงไม่สามารถรับรู้ถึงตัวตนหวังหลินได้เลย
ถึงแม้จะยืนอยู่ข้างๆหวังหลิน ถ้าไม่ได้พยายามมองหาคน พวกเขาคงไม่รับรู้ถึงตัวตนหวังหลินได้เช่นกัน
กลิ่นอายของหวังหลินและพลังชีวิตของเขาทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอย! ราชายุงยังลอยตัวอยู่ในอากาศ แต่วินาทีที่กลิ่นอายหวังหลินหายไป ดวงตามันเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน มันมองไปที่หวังหลินและรู้สึกสับสนยิ่งกว่าเดิม
มันมองเห็นเจ้านายของมันได้ชัดเจน แต่กลิ่นอายของเจ้านายได้หายไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั่งการเชื่อมต่อกันยังถูกตัดขาด
ราชายุงส่งเสียงร้องคำรามและพุ่งใส่หวังหลิน ดูเหมือนเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้เพื่อให้มันสงบลงได้ ขณะที่มันร้องคำราม เหล่าอสูรยุงรอบด้านพลันล้อมรอบบริเวณทันที
เมื่อกลิ่นอายของหวังหลินหายไป ลึกเข้าไปในแดนสวรรค์วายุมีแผ่นดินเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ท้องฟ้ามืดมนและเกิดเสียงซี่ๆดังกึกก้องตลอดเวลา ทั่วทั้งโลกเต็มไปด้วยฝูงอสูรยุงนับไม่ถ้วน
เหล่าอสูรยุงร้องคำราม พวกมันก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนจนมองไม่เห็นปลายสุดของฝูง
บนแผ่นดินนั้นมีรูปปั้นหินรูปร่างมนุษย์ยืนอยู่ ทันใดนั้นก้อนหินแข็งรอบๆดวงตาเริ่มจะหวนคืน ก้อนหินหลอมละลายรอบๆดวงตาอย่างรวดเร็วและมันค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ
‘ข้างในประตูหินนั่นมีอยู่เก้ากฎ เรียงจากแข็งแกร่งที่สุดลงไป เขาสามารถรู้แจ้งอันไหนกันนะ…’