1251. ประณามสำนักอมตะ 2
ลั่วหยุนคงสูดหายใจลึกและพยักหน้าให้กับหลิวหยานเฟยก่อนจะมุ่งหน้าไปหาอัฒจันทร์ หลิวหยานเฟยขบคิดพลางเหาะเหินเข้าหาเช่นกันราวกับผีเสื้อ
สองคนนี้บุรุษรูปร่างสมสง่าและมีบารมี ส่วนสตรีนั้นอ่อนแอแต่มุ่งมั่นและงดงาม พอทั้งสองเดินทางไปด้วยกันจึงเกิดเป็นพลังบางอย่าง
แม้กระทั่งมู่ปิงเหมยยังอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นระดับบ่มเพาะของลั่วหยุนคงหรือคำพูดเขา ถือเป็นว่าเป็นผู้เก่งกาจในทะเลเมฆาได้แล้ว! หวังซานซานด้านข้างนางใช้แววตาเรียวสวยตรวจสอบลั่วหยุนคง
ลั่วหยุนคงมาถึงบนแท่นอย่างรวดเร็ว “ศิษย์ลั่วหยุนคงขอคารวะท่านจ้าวสำนักและเหล่าผู้อาวุโส” สายตากวาดผ่านไปและเห็นมู่ปิงเหมยข้างๆกับหวังซานซาน เขาตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะราวกับทุกคนหายไปเหลือไว้เพียงแต่สตรีงดงามแต่เย็นชาผู้นี้คนเดียว
หลิวหยานเฟยอยู่ข้างลั่วหยุนคง นางโค้งตัวอย่างเคารพและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ศิษย์หลิวหยานเฟยขอคารวะท่านจ้าวสำนักและเหล่าผู้อาวุโส”
คนส่วนใหญ่บนแท่นไม่ได้มองหลิวหยานเฟยแต่มองลั่วหยุนคงด้วยความชื่นชม ชายวัยกลางคนชื่อโจวมองดูลั่วหยุนคงด้วยความเมตตา
“ลั่วหยุนคง หลิวจื่อฮ่าวแห่งสำนักต้นกำเนิดเป็นคนที่เจ้าพูดถึงใช่ไหม?” ชายชราชุดขาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและเปล่งแรงกดดันที่มองไม่เห็นออกมา ระดับบ่มเพาะขั้นทลายสวรรค์สูงสุดแพร่กระจาย แต่หากมองดูดีๆมันไม่หนักแน่นและไม่ใช่ระดับบ่มเพาะจริงๆของเขา
ลั่วหยุนคงขบคิดเล็กน้อยและค่อยๆเอ่ยขึ้นมา “ศิษย์ไม่รู้ชื่อจริงๆของเขา แต่เดาว่าน่าจะเป็นหลิวจื่อฮ่าว”
ชายชราชุดขาวมองลั่วหยุนคงอย่างสงบนิ่งและเอ่ยถาม “เขาระดับบ่มเพาะอะไร?”
“ขั้นชำระสวรรค์ระดับต้น…แต่…” ลั่วหยุนคงลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “ศิษย์รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ที่ขั้นชำระสวรรค์ระดับต้นแต่ไม่อาจมองทะลุเขาได้เหมือนเขากำลังซ่อนระดับบ่มเพาะจริงๆเอาไว้”
หลังกล่าวจบ คนของสำนักอมตะมองหน้ากันเอง ชายชราชุดขาวขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยถาม “เจ้าไปเจอเขาได้อย่างไร? บอกเราให้ละเอียด!”
ลั่วหยุนคงพยักหน้า แววตาหวนรำลึกและเอ่ยขึ้น “เขาฆ่าลูกชายบัดซบของข้า…”
ขณะที่เริ่มพูดไป ไม่เพียงแค่คนบนแท่นอัฒจรรย์จะตกตะลึง แต่ทุกคนที่ฟังอยู่ต่างก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
“ลูกชายบัดซบของข้าเป็นคนชั่วร้าย ดีแล้วที่เขาตายไป แต่ในฐานะคนเป็นพ่อ ข้ายังอยากไปเจอหน้าคนที่ฆ่าเขา ดังนั้นจึงไปที่สำนักต้นกำเนิด…ระหว่างทางข้าเจอสหายเซียนหลี่และเราก็เดินทางด้วยกัน…”
ลั่วหยุนคงเริ่มนึกย้อนเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนที่เจอหวังหลิน รวมถึงสามคำถามของหลี่เฉียนเหมยและหวังหลินตอบพวกเขาไว้ว่าอย่างไร คำตอบที่ว่าสวรรค์เป็นเหมือนวงกลมจึงส่งผลกระทบต่อทุกคน!
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักอมตะทั้งหมดต่างตกตะลึง ชายชราชุดขาวขบคิดอย่างละเอียดก่อนที่ดวงตาจะเปล่งประกายเจิดจ้า
“การมองสวรรค์เป็นวงกลมช่างเป็นความคิดที่ดีเยี่ยม!! สิ่งที่เจ้ากำลังเห็นอยู่คือยังอยู่ในโลกนี้ ขณะสายตาที่เขาเห็นได้เหนือล้ำเกินฟ้าดินไปแล้ว ความเข้าใจด้านเต๋าของเขาจึงเกินเจ้าไปไกล!”
หวังซานซานขยับสายตาฟังลั่วหยุนคงและเอ่ยขึ้นเบาๆ “ไม่คาดคิดว่าทะเลเมฆาจะมีคนมีพรสวรรค์เช่นนี้ แต่ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”
“หลังจากข้าได้สนทนาเต๋ากับพี่หลิว ความเข้าใจของข้าก็ยิ่งลึกล้ำขึ้น ข้าชื่นชมเขามากและมาที่นี่เพื่อหวังว่าจะเจอเขาอีกครั้ง แต่น่าเสียดาย…” ลั่วหยุนคงถอนหายใจ
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้จึงเข้าใจว่าทำไมหลี่เฉียนเหมยถึงมาที่นี่และช่วยสำนักต้นกำเนิด
“ไม่คาดคิดว่าคนแบบนั้นจะปรากฏตัวในสำนักต้นกำเนิด!” เฟิ่งไฮ่รู้สึกเศร้าพร้อมกับมองหลิวหยานเฟยเงียบๆ
“หลิวหยานเฟย เขาเป็นบรรพชนของสำนักต้นกำเนิดเจ้าจริงๆใช่ไหม?” คนที่ถามเป็นจ้าวสำนักอมตะ
นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวหยานเฟยถูกตั้งคำถาม แต่นางตอบกลับเบาๆโดยไม่ลังเล “ใช่แล้ว อาจารย์ลุงเร่ร่อนในโลกและกลับมาเพื่อช่วยสำนักต้นกำเนิด เขาตั้งรากฐานเอาไว้…แต่หลังจากพบกับสหายเซียนหลี่ เขาก็ออกไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”
“เซียนเช่นนั้นต้องเร่ร่อนไปทั่วโลกเพื่อทำความเข้าใจเต๋า นิสัยของเขาคือหลีกเลี่ยงเรื่องทั่วไปและทำเพียงอย่างเดียวคือทำความเข้าใจเต๋าเท่านั้น” คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคนชื่อโจว เขารู้สึกค่อนข้างเศร้า
“อาจารย์ลุงของเจ้าจะมาที่นี่ไหม?” จ้าวสำนักเอ่ยถาม หลังจากได้ยินสิ่งที่ลั่วหยุนคงพูดมาเขาก็ยิ่งสนใจมากไปอีก แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นคนของสำนักต้นกำเนิด แต่สำนักต้นกำเนิดคือสาขาของสำนักอมตะ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังเป็นศิษย์ของสำนักอมตะ!
“ตอนที่อาจารย์ลุงจากไป เขาบอกว่าเขาจะมา” แม้เสียงของหลิวหยานเฟยจะบางเบาแต่คำพูดของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“เยี่ยม เช่นนั้นก็รอเขา! ข้าอยากจะเห็นว่าหลิวจื่อฮ่าวผู้นี้เป็นคนแบบไหน! เจ้ากลับไปได้ การต่อสู้ของสำนักต้นกำเนิดและสำนักเต๋าม่วงจะหยุดไปก่อน ผู้อาวุโสเฟิ่ง บอกให้สำนักระดับหกเริ่มได้!” จ้าวสำนักยิ้มออกมาด้วยท่าทางยินดี
การแข่งขันของสำนักระดับหกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวกึกก้อง ทว่าไม่ได้รับความสนใจมากเท่าที่ควร เนื่องจากความสนใจของทุกคนยังอยู่บนแท่นอัฒจันทร์ของสำนักอมตะ
“สหายเซียนมู่ ท่านได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว หลิวจื่อฮ่าวคนนี้เทียบกับคนที่ท่านพูดถึงจะเป็นเช่นไร?” ชายวัยกลางคนชื่อโจวมองเข้ามาและยิ้มแย้ม
ตอนที่มู่ปิงเหมยกำลังฟังลั่วหยุนคงเล่า นางขบคิดอย่างเงียบๆและรู้สึกประหลาดมาก ดูเหมือน…ดูเหมือนว่าหลิวจื่อฮ่าวที่ลั่วหยุนคงพูดถึงจะดูคุ้นๆ
ตอนนี้นางไม่ได้ตอบคำพูดของชายวัยกลางคน แต่มองลั่วหยุนคงและเอ่ยอย่างไม่สนใจ “เจ้าบอกได้ไหมลั่วหยุนคงว่าเขารูปร่างเป็นแบบไหน?”
ลั่วหยุนคงมองมู่ปิงเหมยด้วยหัวใจเต้นระรัว พอเขาได้ยินคำพูดนางจึงแสดงแววตาชื่นชมและพยักหน้า “เขามีเส้นผมสีขาวและดูเหมือนจะสวมชุดสีขาวด้วย…”
หลังจากเอ่ยประโยคนั้นขึ้นมา ลั่วหยุนคงเผยรอยยิ้มพลางสะบัดแขนและเปิดรอยแยกมิติเก็บของ หินหยกก้อนหนึ่งลอยเข้าในมือเขาและรีบประทับภาพของหวังหลินทันที
จากนั้นใส่พลังดั้งเดิมเข้าไป หินหยกพลันระเบิด เศษแตกกระจัดกระจาย มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นภายใน!
ร่างนั้นสวมชุดสีขาวและมีเรือนผมขาวดุจหิมะ แววตาไม่แยแสของเขาแฝงความโดดเดี่ยวแต่มีอารมณ์ที่ไม่อาจพูดออกมาได้เข้าล้อมรอบเขา
เมื่อภาพนี้ปรากฏขึ้นมา เหล่าผู้อาวุโสของสำนักอมตะต่างก็จ้องไปที่รูปนั้น มีสองคนยืนขึ้นมองไปที่รูปและอุทานว่า “นั่นเขา!”
มู่ปิงเหมยร่างสั่นเทาพลางมองไปที่รูปร่างนั้น นางตื่นเต้นทันทีแต่รีบระงับเอาไว้ จากนั้นถูกแทนที่ด้วยความเศร้าที่ไม่อาจอธิบายได้
เหมือนกับคนโดดเดี่ยวที่พบเจอคนรักในต่างแดน นางกัดฟันแน่นและตะลึงงัน
หลิวหยานเฟยเต็มไปด้วยความสับสนไปด้วย นางรู้สึกขมขื่นในใจ
ลั่วหยุนคงตกตะลึง ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้ มีลำแสงสายหนึ่งพลันพุ่งมาจากแท่นทิศเหนือ ลำแสงนี้ทำให้เกิดการสั่นไหวและมีจิตสังหารหลายร้อยปีติดมาด้วย พื้นดินสั่นไหวกวาดไปทั่วท้องฟ้า หลี่เฉียนเหมยปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอัฒจันทร์ที่มีเหล่าผู้อาวุโสสำนักอมตะนั่งอยู่ สายตานางจับจ้องทั้งสองคนที่ยืนขึ้น
“ท่านทั้งสองเคยเจอเขาหรือ?” หลี่เฉียนเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแต่สั่นเทาเล็กน้อยจนไม่มีใครสังเกตได้ นางมองร่างเบื้องหน้าด้วยความหลงใหลในใจ ความหลงใหลนี้นางไม่ลังเลที่จะเสี่ยงโดนสำนักมารลงโทษเพื่อออกมาที่สำนักอมตะเพียงแค่จะเห็นเขาอีกครั้ง
ร้อยปีไม่นานแต่ก็ไม่สั้น แม้หลี่เฉียนเหมยจะไม่รู้ว่าความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้นั้นคืออะไร แต่ช่วงระยะเวลาการต่อสู้หนึ่งร้อยปี ทุกครั้งที่นางออกมาจากสนามรบอันเหน็ดเหนื่อยและบาดเจ็บ ร่างเขาจะปรากฏขึ้นมาทุกครั้ง
การปรากฏตัวของหลี่เฉียนเหมยทำให้หวังซานซานยืนขึ้น นางกำลังจะเอ่ยขึ้นมาแต่สังเกตได้ว่าสถานะของหลี่เฉียนเหมยไม่ถูกต้องและมีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ปิงเหมยปรายตามองหลี่เฉียนเหมย ความน่ารักและสงบนิ่งของหลี่เฉียนเหมยทำให้เกิดความขมขื่นขึ้นในใจนาง นางกัดริมฝีปากและเงียบต่อไป
จ้าวสำนักอมตะขมวดคิ้วและมองผู้อาวุโสสองคนที่ยืนขึ้น
หนึ่งในนั้นยังตกตะลึง สูดลมหายใจลึกและเอ่ยออกมา “ข้าไม่รู้ว่าเขาคือหลิวจื่อฮ่าว! แต่กระนั้นสิ่งที่ลั่วหยุนคงพูดยังมีข้อผิดพลาดอยู่! เขาจะเป็นขั้นชำระสวรรค์ไปได้อย่างไร? ข้าพาศิษย์ของข้าไปที่ดินแดนหมอกอสูรเพื่อฝึกฝนและเห็นเขาฆ่าตะขาบระดับสิบเอ็ดได้ง่ายๆและยังทำให้อสูรระดับสิบสองบาดเจ็บสาหัสด้วย หากไม่ใช่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ ข้ากลัวว่าแม้แต่ข้าก็ไม่ใช่คู่ปรับเขา!”
หลังเอ่ยคำนั้น ผู้อาวุโสทั้งหมดของสำนักอมตะต่างก็ตกตะลึง หากเป็นคนอื่นพูดขึ้นมาอาจจะไม่มีใครเชื่อ แต่ผู้อาวุโสหวู่เทียนเป็นคนสงบนิ่งและเยือกเย็นมาตลอด นี่ยิ่งมีความน่าเชื่อถือสูง
“เช่นนั้นผู้อาวุโสหวู่ก็ได้เจอเขา แต่ข้าไม่ได้เห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ ข้าเห็นแต่ร่างเขา ก่อนหน้านี้ได้รับรายงานมาจากเขตระดับหกและเขตระดับเจ็ดว่ามีใครสักคนเหาะเหินจากเขตระดับห้าผ่านไปที่เขตระดับหก ความเร็วของเขาน่าตกตะลึงและอยู่ในขั้นทลายสวรรค์สูงสุดหรือเซียนขั้นทะลวงสวรรค์แรก เขาผ่านแผ่นดินนับไม่ถ้วนแต่ไม่มีใครกล้าหยุดเขาเลย!”
“เขาทะลุผ่านเขตระดับหกและทำลายค่ายกลเข้าสู่เขตระดับเจ็ด หนึ่งในสำนักสาขาที่มีเซียนทลายสวรรค์สามคนได้พยายามหยุดเขา แต่เขาใช้ประทับวิญญาณสงคราม! ประทับวิญญาณสงครามได้ทำลายแผ่นดินป่าจำนวนหลายแห่งและหลายที่ถูกบังคับให้เคลื่อนหนีเพื่อให้เขาผ่านทางได้! เขามุ่งหน้าไปที่เขตระดับแปด!” หลังจากเอ่ยประโยคนั้น ทุกคนยิ่งตกตะลึง!
………………………