1283. จ้าวแห่งดินแดนปิดผนึก
ความฝันครั้งนี้ลึกล้ำมากจนแยกไม่อาจจากความเป็นจริง เบื้องหน้าหวังหลินคือสายหมอก ต้นตอแห่งแสงบางส่วนที่ยืดยาวกำลังกะพริบอย่างรวดเร็ว
หวังหลินเป็นแค่เพียงวิญญาณที่มองไม่เห็น เร่ร่อนอยู่ในโลกแห่งสายหมอกอย่างงุนงง เขาค่อยๆเคลื่อนตัวไปและค่อยๆหายไป จนกระทั่งวันหนึ่งวิญญาณเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์และหยุดลง เขาหนาวมาก เป็นความหนาวที่แพร่กระจายทั่ววิญญาณ
เขาเดินทางมาไม่รู้นานแค่ไหน ไม่มีตะวันหรือจันทรา หรือกระทั่งการบอกเวลา มันแตกต่างจากโลกภายนอก ขณะที่เดินทาง หวังหลินค่อยๆตระหนักได้ว่าแสงที่กำลังเคลื่อนอยู่ภายในหมอกมีธาตุโลหะ พฤกษา วารี อัคคีและปฐพี
พวกมันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมาก
“นี่มัน…โลกของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า…” หนึ่งเดือน สองเดือน สามเดือนหรือหนึ่งปี สองปี สามปี…หวังหลินไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่วิญญาณเขาไม่ได้หายไป…
ระยะเวลากี่ปีไม่รู้นี้บางครั้งมีแสงสีแดงอบอุ่นโผล่ออกมาจากทุกทิศทางและขจัดความหนาวเย็นภายในหวังหลิน มันค่อยๆหล่อเลี้ยงวิญญาณเขา ทำให้เขาค่อยๆเปลี่ยนจากไร้รูปลักษณ์ไปเป็นกึ่งไร้ตัวตน
ความงุนงงสับสนที่ล้อมรอบหวังหลินค่อยๆหายไปเนื่องจากแสงโลหิตหล่อเลี้ยงเขา หวังหลินมองรอบๆและค่อยๆจดจำหลายอย่างได้รวมถึงโลกที่เขาเห็นเกือบสองพันปีก่อน
‘ข้าเก็บรวบรวมห้าธาตุที่นี่…’ หวังหลินขบคิดตอนที่ความงุนงงหายไป ความรู้สึกได้ปลุกเขาขึ้นมา พอรู้ว่าตื่นขึ้นมา เขายังอยู่ในความฝัน
หวังหลินรู้สึกถึงสิ่งรอบด้านและมองกลับไป ระหว่างที่เร่ร่อนไม่รู้นานแค่ไหนนี้ หวังหลินเข้าสู่ส่วนลึกของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ตอนนี้เขาไม่สามารถหาทางกลับได้
แม้จะค้นพบแต่ไม่มีทางออก ดูเหมือนเขาจะถูกขังไว้ที่นี่และคงต้องรอไปชั่วกาลนาน
‘หวานเอ๋อร์ก็เคยอยู่ที่นี่…’ หวังหลินเคยชินกับความโดดเดี่ยว เคยชินกับการอยู่คนเดียวในโลก จึงไม่ได้รู้สึกอึดอัด
‘อย่างไรก็ตาม ข้าจำได้ว่าข้าทำลายทุกอย่างไปแล้ว ทำไมข้าถึงปรากฏตัวที่นี่ได้…’ หวังหลินขมวดคิ้วพลางมองร่างตนเองและเผยสีหน้าเจ็บปวด
เขาเห็นร่างตัวเองในสภาวะกึ่งไร้ตัวตน เห็นได้ชัดว่าตนเองเป็นเพียงแค่วิญญาณเท่านั้น เขาเห็นแสงโลหิตอบอุ่นโผล่ออกมาจากทุกทิศทางเข้าหล่อเลี้ยงเขา ทำให้เขาสลัดความงุนงงและให้วิญญาณเป็นรูปเป็นร่าง
‘แสงโลหิตนี้คือ…’ หวังหลินตะลึงงันพลางเฝ้าดูแสงโลหิตเข้าสู่ร่างกายและทำให้เขารู้สึกอบอุ่น แต่ไว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าแสงนี้คืออะไร…
‘หรือจะมีพลังลึกลับภายในลูกปัดที่สามารถหล่อเลี้ยงวิญญาณได้?’ หวังหลินขบคิดชั่วครู่ ดูเหมือนจะมีแค่คำตอบนี้ที่สามารถอธิบายได้ทุกอย่าง
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดพลาด ขณะที่กำลังคิดให้มากขึ้น เสียงกระซิบดังออกมาจากในความฝัน
“ที่นี่…ที่นี่…”
หวังหลินขมวดสายตา เสียงกระซิบเข้าสู่หูและเปลี่ยนกลายเป็นระลอกคลื่นดังสะท้อนในวิญญาณ หวังหลินจ้องมองออกไป ดวงตาส่องสว่าง
‘เสียงช่างประหลาด มันสามารถสั่นสะเทือนวิญญาณได้ ข้าเป็นเจ้าของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เช่นนั้นข้าอยากจะเห็นว่าเสียงนี้คืออะไร!’
หลังขบคิดเล็กน้อย หวังหลินค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้า
เขาไม่ได้เร็วมากเพราะเป็นแค่วิญญาณ จึงเคลื่อนร่างเหมือนสายลม เข้าสู่สายหมอกและหายวับไป
หวังหลินเดินทางเร็วขึ้น รู้สึกชัดเจนว่าโลหิตนั้นอยู่ที่นี่เสมอ แสงโลหิตไล่ตามหลังหวังหลินและหล่อเลี้ยงวิญญาณทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นยิ่งขึ้น
‘แสงโลหิตนี้คืออะไร…’ ขณะที่หวังหลินเดินทางไป เขาขมวดคิ้ว คิดไม่ออกว่าต้นกำเนิดของแสงนี้คืออะไร
ความเร็วหวังหลินตอนนี้มากกว่าแสงไปแล้ว ทะลวงผ่านสายหมอกพร้อมกับเสียงตึงตัง เขาเดินทางได้เร็วกว่าตอนที่งุนงงสับสนไม่รู้กี่เท่า
สายหมอกถูกดันกลับไปและพังทลายไปทันทีเบื้องหน้าความเร็วหวังหลิน หวังหลินเจาะทะลุทางที่เขาผ่าน เวลาค่อยๆผ่านไป หนึ่งปี สองปี สามปี…
หวังหลินทะยานอย่างต่อเนื่อง เขาเป็นวิญญาณและไม่ใช้พลังดั้งเดิม ที่นี่คือลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและเขาเป็นเจ้าของมันจึงเหมือนปลาที่ว่ายในน้ำ ขณะที่หวังหลินเคลื่อนที่ไปข้างหน้า สายหมอกก็เบาบางลง
ตลอดปีที่ผ่านเหล่านี้ แสงโลหิตไม่หยุดลงเลย มันหล่อเลี้ยงวิญญาณหวังหลินอย่างต่อเนื่อง ทำให้วิญญาณเขาไม่กึ่งไร้รูปอีกแล้ว มันได้เปลี่ยนกลายเป็นตัวตน
อย่างไรก็ตาม หวังหลินรู้สึกว่าถึงแม้แสงโลหิตยังคงอบอุ่น แต่มันกำลังอ่อนแอลงและค่อยๆหนาวเย็น…
เวลาผ่านไปไม่รู้นานแค่ไหน หวังหลินทะยานไปตลอดหลายปี ไปยังเสียงกระซิบและชัดเจนยิ่งขึ้น
“ทางนี้…ทางนี้…”
หวังหลินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น จนวันนี้เขาพลันหยุดลงและจ้องมองไปข้างหน้า เบื้องหน้าภายในสายหมอกเบาบาง มีประตูตั้งตระหง่านสูงเทียมสวรรค์ปรากฏขึ้นมา!
หวังหลินไม่รู้สึกแปลกกับประตูบานนี้ เพราะเขาเคยเจอมันแล้วหลายครั้ง!
มันคือประตูบานยักษ์ในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและไร้ขอบเขต ใครก็ตามที่ยืนเบื้องหน้ามันจะเกิดภาพมายาราวกับเป็นมดแมลง
ตอนนี้ขณะที่หวังหลินเข้าใกล้ ประตูหินยักษ์ส่งเสียงดังและค่อยๆเปิดออก พอมันเปิดจึงเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
“ทางนี้…ทางนี้…” น้ำเสียงดังออกมาจากรอยร้าวและยิ่งชัดเจนมากขึ้น ในระยะที่ใกล้ขนาดนี้ น้ำเสียงส่งผ่านเข้าสู่หูหวังหลินราวกับระลอกคลื่นและทำให้วิญญาณดั้งเดิมของเขาบิดเบือน!
‘มันเป็นเขาจริงๆ!’ หวังหลินหรี่ตาจ้องมองประตูหินและเงียบลง เขาคาดเดาเรื่องเสียงนี้ตลอดหลายปีและเป็นธรรมดาที่จะคิดว่าประตูนั้นปรากฏขึ้นมาจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า พอมาเห็นมันตอนนี้ถึงแม้จะตกตะลึงแต่ก็ประหลาดใจ
เนื่องจากเขาถูกแสงโลหิตหล่อเลี้ยงตลอดหลายปี วิญญาณดั้งเดิมจึงมีสภาพสมบูรณ์ขึ้นและฟื้นคืนความทรงจำมาได้ เขานึกถึงหินหยกที่พลันปรากฏขึ้นมาในการต่อสู้กับฉุยต้าว!
ทั้งยังจำได้ถึงสิ่งที่ฉุยต้าวอธิบาย หินหยกนี้คือหินหยกของดินแดนปิดผนึกและเป็นสิ่งของของอาจารย์ฉุยต้าว! หวังหลินสงสัยมาเสมอ ตอนนี้จึงมีคำตอบรางๆ!
สิ่งที่เขาสงสัยคือทำไมฉุยต้าวต้องการฆ่าเขา แต่ตอนนี้หลังจากปลุกความทรงจำและหลังจากต่อสู้กับฉุยต้าว หวังหลินพอจะเดาได้ว่าอาจารย์ของฉุยต้าวคือจ้าวแห่งดินแดนปิดผนึกและเป็นเจ้าของลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าคนล่าสุด!
เห็นได้ชัดว่าฉุยต้าวสัมผัสกลิ่นอายของอาจารย์ได้และมาเพื่อฆ่าหวังหลิน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังจากกลืนกินโลหิตของหวังหลินเข้าไป เขาจึงบอกว่า “ไม่ได้กลับมาเกิดใหม่!”
จากนั้นเขาจะค้นวิญญาณหวังหลินเพื่อหาลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า เป้าหมายของเขาคือหาอาจารย์และฆ่าเขา!
หวังหลินมองทั้งหมดนี้ออกแล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉุยต้าวถึงตื่นตัวและเผยความหวาดกลัวตอนที่เขาเห็นหินหยก!
เห็นได้ชัดว่าจ้าวแห่งดินแดนปิดผนึกไม่ได้ตาย ตอนที่ความทรงจำหวังหลินตื่นขึ้นมา เขาจำได้ชัดว่ามีดัชนีโผล่ออกมาจากหินหยก กดลงใส่ลิ่มเจ็ดสีเข้าไปในกะโหลกของฉุยต้าว ทำให้เขาหนีด้วยอาการเจ็บปวดแสนสาหัส!
“ที่นี่…ทางนี้…” พอยืนเบื้องหน้าประตูหิน เสียงพึมพำยิ่งชัดเจน มันค่อยๆกวาดมาข้างหน้าและเปลี่ยนโลกในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า!
หวังหลินสงบนิ่งจ้องมองประตูหินและค่อยๆเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นใคร?”
หลังจากเงียบไปนาน เสียงพึมพำดังออกมา “ข้า…ข้าเป็นจ้าวแห่งดินแดนปิดผนึก ผู้ปกครองดินแดนปิดผนึก…เข้ามาข้างใน…ข้าไม่ได้ปองร้าย…ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า…”
หวังหลินดวงตาส่องสว่าง เขารู้สึกว่ามีความลับสั่นสะเทือนสวรรค์อยู่ในประตูนั่น ความลับที่เกี่ยวข้องกับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าและเป็นเส้นทางให้เขาออกไปจากที่นี่!
หลังจากขบคิดเล็กน้อย หวังหลินจึงไม่ลังเลและทะยานเข้าหาประตู เขาเข้าไปใกล้ในพริบตาและก้าวเข้าไปในช่องว่างของประตูหิน!
ณ ทะเลเมฆาในเขตระดับสอง มีแผ่นดินป่าอันห่างไกลซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายหมอก ยากนักที่จะมีเซียนมาที่นี่และมันเป็นสถานที่โดดเดี่ยว
บนแผ่นดินนีมีหุบเขาอยู่แห่งหนึ่ง หลี่เฉียนเหมยกำลังนั่งอยู่ในหุบเขา เบื้องหน้านางคือรูปปั้นผลึกสดใส
รูปปั้นหินถูกปกคลุมด้วยโลหิต โลหิตค่อยๆหายไป ใบหน้าหลี่เฉียนเหมยยิ่งซีดเซียวไร้รอยเลือด ผมสีฟ้าของนางไม่ส่องประกายอีกแล้ว นางค่อยๆลืมตาขึ้นมา ในแววตาไม่มีแสงอันใด มีแต่เพียงความเศร้า
นางยกแขนขึ้น ห้านิ้วแตกระแหงและแห้งผาก นี่มันไม่ใช่มือของหญิงสาวอีกแล้ว แต่เป็นมือของหญิงชรา
หลังจากนางแกะสะเก็ดที่ยังไม่ฟื้นตัวดีออกไป ดวงตาหลี่เฉียนเหมยค่อยๆส่องสว่างขึ้นและเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นางเริ่มชโลมรูปปั้นหินด้วยโลหิตอีกครั้ง
สี่ปีผ่านมาแล้ว ในสี่ปีนี้หลี่เฉียนเหมยไม่ได้ออกไปจากที่นี่เลย นางอยู่ข้างๆรูปปั้นหินอย่างเงียบๆและหล่อเลี้ยงมันด้วยเลือดของนาง
สี่ปีก่อนนางชโลมรูปปั้นหินและใช้เวลาสิบชั่วโมงเพื่อฟื้นคืน สี่ปีต่อมารูปปั้นหินส่องสว่างยิ่งขึ้นและต้องการเลือดมากขึ้น นางต้องชโลมมันสี่ครั้งต่อวัน เวลาพักผ่อนของนางน้อยกว่าสี่ชั่วโมง…
‘ข้าจะปลุกเจ้า…’ หลี่เฉียนเหมยมองรูปปั้นหิน ไม่มีน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว มีแต่เพียงรอยร้าวที่สร้างขึ้นจากน้ำตาที่ไหลรินอย่างต่อเนื่อง ภายในสี่ปีนี้นางถามตัวเองหลายครั้งว่าทั้งหมดนี้…คุ้มค่าใช่ไหม…
…………………………