134. ย้ายแคว้น
ทว่าเมื่อเขากำลังไล่ล่าซุนโย่วค่ายและพบเจออสูรอัคคีเจ้าปิศาจได้หนีหายไป หลังจากหวังหลินออกมาจากภูเขาไฟเขาได้ใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อไล่ล่าตามหลังเจ้าปิศาจ
หลังการกลืนกินคนธรรมดาจำนวนมากมันได้ฟื้นฟูระดับฝึกตนของตัวเองจนถึงขั้นสร้างลำต้นระดับสูงสุดและเข้าสู่ขั้นแตกหน่อเทียมมันเชื่อว่าตัวเองแข็งแกร่งมากกว่าหวังหลิน จึงได้จู่โจมออกมา
หวังหลินเพ่งมองอย่างเยือกเย็นขณะที่สายฟ้าแดงพุ่งพล่านออกมาจากนัยน์ตาปิศาจส่งเสียงกรีดร้องขณะที่สายฟ้าปะทะเข้ากับมันมันหยุดการโจมตีและถอยกลับอย่างรวดเร็วหวังหลินจะปล่อยมันให้หนีไปได้เช่นไร? เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับคว้าอากาศด้วยมือตัวเองพลันเรียกใช้วิชาแรงโน้มถ่วง
เจ้าปิศาจร้องขอความเมตตาแต่หวังหลินไม่สนใจในทันทีที่สัมผัสวิญญาณอันแหลมคมผ่านไปที่ปิศาจเขาควบคุมการเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วสัมผัสวิญญาณหยุดด้านหน้าเจ้าปิศาจก่อนที่จะสลายไปและเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นต่อเนื่องกันจนควันออกมาจากร่างเจ้าปิศาจเสียงกรีดร้องของมันอ่อนลงและอ่อนลงจนทั้งคู่หยุดลงในที่สุด
แววตาปิศาจมีความกลัวหยั่งลึกมากขึ้น หลังเหตุการณ์นี้มันเริ่มกลัวหวังหลินจากก้นบึ้งจิตใจอย่างแท้จริง
ดวงตาอันเยือกเย็นของหวังหลินเผยความเหี้ยมโหด เขาจ้องปิศาจและพูดขึ้น “หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีกครั้ง เจ้าตาย!”
มันสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวขณะที่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หวังหลินสัมผัสกระเป๋าและชิ้นส่วนโลหะปรากฎขึ้นเจ้าปิศาจไม่รอคำสั่งพลันเข้าไปในชิ้นส่วนโลหะด้วยตัวเองทันทีแสงสีแดงกระพริบวาบไม่กี่ครั้งก่อนที่จะกลับเข้าไปในกระเป๋า
หวังหลินมองไปซากศพที่เจ้าปิศาจกินวิญญาณไปแล้วพลางครุ่นคิดการมองโลกเปลี่ยนจากหน้ามือไปหลังมือเมื่อเทียบกับแคว้นจ้าวครั้งก่อนความเมตตาฝังแน่นในนิสัยของหวังหลิน แต่หลังจากครอบครัวของเขาเสียชีวิตไปทำให้ความคิดนี้หายไปโดยสิ้นเชิง
โลกแห่งการฝึกเซียนเป็นสถานที่ที่ผู้เข้มแข็งเป็นใหญ่หากเขาไม่สามารถปกป้องตัวเองและครอบครัวได้สิ่งที่ควรทำคือร้องขอความเมตตางั้นหรือ?
ซือถูหนานมักต้องการให้เขาเดินบนเส้นทางมาร แต่หวังหลินปฏิเสธมาตลอด ทว่าหลังจากตายไปหนึ่งครั้ง เขาได้ทิ้งเหตุผลที่ปฏิเสธมันไปแล้ว
“เช่นนั้นจะเกิดอะไรขึ้นหากข้าเป็นมารเสียเอง?” เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็นขณะที่สะบัดมือและกระโดดขึ้นไปบนอากาศ
หวังหลินวนไปรอบภูเขาไฟลูกหนึ่งในพื้นที่อันแห้งแล้งของฮัวเฝินหลังจากเลือกสถานที่ได้เขาร่อนลงไปและสร้างถ้ำในภูเขาด้วยชิ้นส่วนโลหะวิเศษ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ถ้ำก็เสร็จเรียบร้อย หวังหลินเดินเข้าไป เขาใช้เศษหินเพื่อวางค่ายกลรวมกันสองสามรูปแบบก่อนจะผนึกทางเข้าถ้ำ
เสร็จสิ้นเรื่องทั้งหมดเขานั่งลงบนพื้นดึงกระเป๋าที่เขาได้จากชายชุดดำและซุนโย่วค่ายออกมาค้นหาสิ่งของอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นดึงเอาเศษหยกออกมาสามชิ้น
หวังหลินวางเศษหยกชิ้นแรกบนหน้าผาก หลังจากมองเข้าไปข้างในไม่นานนักก็วางมันลงด้านข้างของสิ่งนี้มีวิถีเซียนจากสำนักมารปิศาจที่เรียกกันว่าวิถีเซียนทะลุข้อจำกัด
สำนักมารปิศาจเป็นหนึ่งในสำนักมารภายในแคว้นฮัวเฝิน วิถีเซียนทะลุข้อจำกัดนี้มีหกระดับและเน้นไปที่ความเหี้ยมโหด
คำแนะนำในหินหยกคือ ให้สังหารเซียนและหลอมจิตวิญญาณในขณะที่หลอมจิตวิญญาณให้เปลี่ยนรูปร่างของจิตวิญญาณเข้ามาสู่จิตสำนึกของผู้ฝึกจากนั้นดิ่งลึกสู่เส้นทางแห่งความเหี้ยมโหดเพื่อสร้างวิญญาณแห่งชูร่าแทนการสร้างวิญญาณเซียนถึงจะเสร็จสมบูรณ์
ความต้องการในการฝึกวิธีนี้คือในตอนเริ่มนั้นต้องสังหารคนหนึ่งคนเขาเดาว่าชุดดำคนนี้กำลังฝึกฝนวิธีนี้และหยกชิ้นนี้ก็มาจากกระเป๋าของเขา
หวังหลินไม่ได้สนใจวิถีการฝึกเซียน แต่สิ่งที่สนใจคือเทคนิคบางประการในนั้น แม้ว่าวิชามารจะโหดร้ายทารุณแต่มันยังมีประโยชน์เช่นกัน
หวังหลินหยิบหินหยกชิ้นที่สองขึ้นมา ข้อมูลข้างในทำให้เขายิ้มขึ้นมีวิชาเซียนหนึ่งวิชาบันทึกอยู่ข้างใน ชื่อของมันคือวิชาเซียนหลบหนีธาตุปฐพี
วิชาเซียนหลบหนีปฐพีเป็นหนึ่งในห้าวิชาเซียนหลบหนีเบญจธาตุพูดถึงวิชาเซียนเบญจธาตุแล้ว มันมีชื่อเสียงโด่งดังมากแม้แต่ยุคเซียนโบราณหลังจากสมาพันธ์เซียนปรากฎขึ้น วิชาเซียนนี้ก็กลายเป็นวิชาที่หายากมาก
แต่เนื่องจากวิชาเซียนเบญจธาตุมีชื่อเสียงโด่งดังมากดังนั้นจึงมีวิชาแตกแขนงออกมานับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นส่วนใหญ่วิชาย่อยพวกนี้ใช้แต่เพียงชื่อทว่าความจริงไม่ได้ต่างไปจากวิชาหลบหนีชนิดอื่นเลย
หยกที่หวังหลินถืออยู่ไม่ได้มีวิชาหลบหนีเบญจธาตุของจริงมันเป็นของเลียนแบบทว่าการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยนี้ได้สร้างความแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องข้าขณะที่เขาใช้เวลาไปกับการเรียนรู้วิชาเซียนหลบหนีปฐพีจนกระทั่งรุ่งเช้าวันถัดไปหวังหลินถึงได้ลืมตาขึ้นและใบหน้าเผยความเข้าใจทันใดนั้นเขายืนขึ้น หวังหลินกระแทกพื้นด้วยสองมือร่างกายเขาหายไปวับทันทีและปรากฎตัวห่างจากเดิมสามสิบฟุต
ใบหน้าแห่งความสุขปรากฎขึ้นขณะที่เขาพึมพำ “ร่างหม่าเหลียงคนนี้แข็งแกร่งกว่าร่างในอดีตของข้านักแม้มันจะไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่มันก็ยังอยู่ระดับกลางๆดังนั้นการจะเรียนวิชาหลบหนีปฐพีนี้จึงไม่ยากนักแต่ข้ายังต้องฝึกฝนอีกนานให้เกิดความเชี่ยวชาญกว่านี้”
หวังหลินหยิบเอาถังไม้ที่มีน้ำพลังปราณอยู่เต็มเขาดื่มมันจนหมดจากนั้นเริ่มฝึกฝนเซียน ครึ่งชั่วโมงถัดมาความเมื่อยล้าจากการฝึกฝนวิชาหลบหนีก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เขาหยิบหยกชิ้นที่สามขึ้นมาอย่างลวกๆและมองเข้าไปหยกชิ้นนี้มีบันทึกประจำวันของซุนโย่วค่ายดูเหมือนซุนโย่วค่ายมีงานอดิเรกในการบันทึกประจำวันหยกชิ้นนี้มีบันทึกทั้งสามสิบปีในการฝึกเซียนของเขา
ทั้งยังมีข้อมูลที่เขามีความสัมพันธ์กับสตรีหลายคน
หวังหลินมองข้ามเรื่องพวกนี้ทั้งหมดสิ่งที่ทำให้เขาสนใจก็คือจุดสำคัญที่ซุนโย่วค่ายได้รับยาทั้งหมดในสิบปีที่ผ่านมาหยกนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องเม็ดยาที่แตกต่างกันมากกว่าสิบชนิดรวมไปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับร่างกาย จำนวนพลังปราณที่ใช้และการเพิ่มระดับฝึกตนอย่างรวดเร็ว
นอกไปจากนี้มันยังมีข้อมูลเจ็ดหรือแปดเม็ดยาที่เขาต้องการแต่ไม่สามารถเอามันมาได้ หลังจากนั้นเขาก็มองหาของสิ่งอื่นในกระเป๋า
นอกจากขวดเม็ดยาไม่กี่ขวด ซุนโย่วค่ายไม่มีสมบัติเซียนเลยหากเป็นก่อนหน้านี้หวังหลินคงสงสัยแต่หลังจากอ่านบันทึกของเขาแล้วจึงรู้ได้ว่าซุนโย่วค่ายแลกทุกอย่างกับเม็ดยาที่ใช้เพิ่มระดับฝึกฝน
ส่วนของชายชุดดำมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้หวังหลินสนใจ มันเป็นกระดาษเหลืองกับตราสีดำบนนั้น ตราสัญลักษณ์ตัวปลดปล่อยคลื่นพลังงานอันทรงพลัง
หวังหลินรู้ได้ว่ากระดาษเหลืองใบนี้มีเจ้าของมาก่อน มันถูกสร้างโดยเซียนขั้นแตกหน่อและมีพลังอันเต็มเปี่ยมของเซียนบรรจุอยู่ในนั้น
หวังหลินจะหัวเราะเยาะขณะที่ถือกระดาษเหลืองหากชายวัยกลางคนระมัดระวังมากกว่านี้และนำของชิ้นนี้ออกมา เขาคงไม่ตายสังเกตได้ว่าชายชุดดำคนนี้จะไม่ใช้มันจนกว่าจะถึงยามจำเป็นจริงๆน่าเสียดายที่เขาเจอขอบเขตจวี่ของหวังหลิน พร้อมกับที่ประเมินหวังหลินผิดไปจึงไม่มีเวลานำสมบัติชิ้นนี้ออกมา
เปรียบเทียบกับยันต์เซียนชิ้นนี้แล้วของชิ้นอื่นในกระเป๋าไม่คู่ควรให้กล่าวถึง หลังจากจบการแบ่งของหวังหลินชี้ไปที่คิ้วตัวเองและลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าลอยออกมา
หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่มองไปที่ลูกปัดลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าบนผิวมันกลับมาเป็นใบไม้ห้าใบเหมือนเดิมเขาครุ่นคิดเล็กน้อยลูกปัดนี้จำเป็นต้องรวบรวมธาตุทั้งห้าเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่แท้จริงธาตุวารีและอัคคีเสร็จเรียบร้อยและธาตุพฤกษาเสร็จไปครึ่งส่วนเขายังเหลือธาตุปฐพีและธาตุโลหะอีก
หวังหลินแทบจะทนรอดูไม่ไหวว่าพลังที่ลูกปัดปลดปล่อยออกมาหลังจากเก็บรวบรวมครบทั้งห้าธาตุจะเป็นเช่นไรขณะที่ตอนนี้มันมีเพียงความสามารถเดียวคือการเข้าไปในมิติอื่นทว่าสมบัติที่ทำให้ซือถูหนานซึ่งเป็นเซียนอันดับหนึ่งในดาวเคราะห์ซูซาคุจนละทิ้งกายเนื้อจะง่ายดายเช่นนั้นหรือ?
หวังหลินจ้องไปที่ลูกปัดด้วยดวงตาสั่นเทาเขาวางมันกลับเข้าไประหว่างคิ้วถัดมาเขาเขย่ากระเป๋าและหยกชิ้นหนึ่งลอยออกมาพร้อมกับเขาส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในหินหยกหยกชิ้นนี้มีวิชาหลอมสมบัติที่หยางเซี่ยงทำสำเนาให้เขาจากเจดีย์เทพสงคราม
ก่อนหน้านั้นหวังหลินไม่มีเวลาเพื่อตรวจสอบหยกชิ้นนี้ได้ ทว่าในที่สุดเขาก็หาสถานที่สงบเพื่อเรียนรู้มัน
ขณะเดียวกันภูเขาไฟนับไม่ถ้วนในฮัวเฝินปลดปล่อยควันสีดำออกมาควันนี้เริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณที่เต็มไปด้วยโทสะครอบคลุมฮัวเฝิน
นอกจากเรื่องนี้เหล่าเซียนหลายสำนักได้สังเกตเห็นอสูรอัคคีที่อยู่ปล่องภูเขาไฟพวกเขาทั้งหมดตกใจและใช้วิธีการหลากหลายเพื่อรายงานข้อมูลนี้กลับไปที่สำนักของตนเอง
สำนักใหญ่ทั้งสี่แห่งเคยชินกับการผนึกภูเขาไฟและเคยชินเหล่าอสูรอัคคีด้วย ทว่ามีเพียงเซียนขั้นผลิดอกเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้
ในห้องโถงหลักของสำนักเจดีย์เทพสงคราม สี่บุรุษและสองสตรีนั่งอยู่ด้านใน พลางขมวดคิ้วท่ามกลางความเงียบ
หนึ่งในชายชราได้พูดขึ้นเสียงแหลม “ทุกคนคิดเช่นไรกับเรื่องนี้?”
“พี่ใหญ่ซ่ง ข้าเพียงเคยเห็นอสูรอัคคีพวกนี้ในบันทึกเก่ามาบ้างบันทึกพวกนั้นเพียงพูดว่าพวกมันเป็นอสูรวิญญาณ คำอธิบายพวกนั้นน่าทึ่งมากแต่ข้าเชื่อว่าพวกมันไม่ควรถูกละเลย นับตั้งแต่มันเป็นอสูรวิญญาณข้าก็เชื่อว่ามันสามารถนำมาเลี้ยงได้หากพวกเราหกคนเคลื่อนไหวพร้อมกันคงจะดีไม่น้อยข้าไม่เชื่อว่าเซียนขั้นผลิดอกหกคนจะไม่สามารถต่อกรกับแค่อสูรอัคคีพวกนั้นได้” คนที่พูดเป็นชายวัยกลางคน แม้ใบหน้าจะดูอ่อนโยนและน้ำเสียงนุ่มลึกแต่เต็มไปด้วยความโอหัง
สตรีสุดสวยที่เจอหวังหลินพูดด้วยความรุนแรง “ไร้สาระ!ท่านอาจารย์เคยเจอพวกอสูรอัคคีตอนอยู่เพียงขั้นแตกหน่อมันเป็นอสูรธาตุอัคคีดังนั้นวิชาเซียนที่มีพื้นฐานธาตุอัคคีจะไม่สามารถใช้กับมันได้มีเพียงวิชาเซียนธาตุน้ำแข็งที่ต่อต้านมันได้เพียงน้อยนิดอย่าพูดถึงการสังหารหรือนำมันมาเลี้ยงเลยดีกว่า”
ชายวัยกลางคนไม่ได้รู้สึกอับอาย เขามองไปที่สตรีคนนั้นอย่างงึกงักและไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เรื่องนี้จัดการง่ายมาก อสูรอัคคีพวกนี้อยู่มานานแล้วแต่พวกมันก็ไม่เคยออกจากภูเขาไฟข้าเชื่อว่ามีกฎธรรรมชาติบางอย่างป้องกันไม่ให้มันออกมาข้าแค่คิดว่าควรเพิ่มผนึกให้หนาแน่นแทนที่จะเสียเวลามาสนทนากันที่นี่เราสามารถทำเรื่องนี้ได้ตอนนี้ ไปกันเถอะ” บุคคลผู้นี้สะบัดแขนเสื้อยืนขึ้นและเดินออกไป เขาสูงหกฟุตและหน้าผากกว้างกว่าสามนิ้ว
เมื่อเห็นทุกคนเงียบ ผู้อาวุโสซ่งพูดขึ้น “ลืมมันซะข้าหวังว่าการปรากฎตัวของอสูรอัคคีเหล่านั้นไม่ได้เป็นเพราะผนึกล้มเหลวจงทำสิ่งที่เราทำกันตามปกติและผนึกภูเขาไฟที่สำนักเราดูแลเถอะ”
เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นที่สำนักลั่วเหอสำนักมารปิศาจและสำนักซากศพผลสรุปนี้ความใกล้เคียงกันและเหล่าเซียนขั้นผลิดอกในฮัวเฝินก็ออกไปผนึกภูเขาไฟ
ทันใดนั้นทั่วทั้งแคว้นฮัวเฝินจะเห็นเซียนขั้นผลิดอกจากต่างสำนักลอยอยู่รอบๆภูเขาไฟซึ่งกำลังตราผนึกอยู่ความผันผวนของพลังปราณเริ่มรุนแรงมากขึ้นในหลายวันมานี้
ขณะที่พวกเขาผนึกภูเขาไฟ เหล่าเซียนขั้นผลิดอกทั้งหมดรู้สึกผิดปกติภูเขาไฟทุกแห่งมีอสูรอัคคีนับไม่ถ้วนรอคอยอยู่ที่ปล่องภูเขาไฟพวกมันไม่ได้หยุดการผนึกหรือโจมตีเหล่าเซียนพวกมันเพียงจ้องมองและรอคอยอย่างเยือกเย็น
จิตใจของเหล่าเซียนที่เข้าร่วมการผนึกเริ่มหนักหน่วงขึ้นและหนักขึ้น แม้แต่คนที่มองโลกในแง่ดีก็เปลี่ยนใจ
หวังหลินไม่ได้สนเรื่องพวกนั้นขณะที่เขาจมดิ่งไปกับการเรียนรู้วิชาการหลอมสมบัติเขารู้แค่ว่าอสูรอัคคีพวกนั้นจะปรากฎสักวันหนึ่งแต่เขาต้องรอสิบวันเพื่อให้หลินท่าวนำแผนที่มาให้เขา หากเขาจากไปตอนนี้มันก็ยากที่จะหาแผนที่ชุดอื่นหลังจากเข้าไปในแคว้นอื่น
เขายังเหลืออีกสี่วันก่อนที่จะถึงวันที่หวังหลินนัดหลินท่าวไว้หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณออกมาจากหินหยกแม้ว่าเขาจะเหนื่อยแต่ใบหน้ากลับปรากฎความสุขวิชาเซียนหลอมสมบัตินั้นลึกซึ้งมากและไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเชี่ยวชาญได้ในเวลาอันนั้นเมื่อเขาเข้าใจมันได้ เขาจะตั้งความสนใจไปที่การหลอมกระบี่เหิน
หลังจากนำหินหยกเก็บไปหวังหลินสะบัดแขนและชิ้นส่วนโลหะลอยออกมาจากกระเป๋าทันทีมันวนรอบศีรษะเขาก่อนที่จะหยุดลงด้านหน้า หลังจากที่ผ่านมาใช้ไปหลายครั้งเศษหยกได้ลดขนาดลงขอบของมันเป็นสีดำทั้งหมดซึ่งเกิดจากการที่มันบินด้วยความเร็วสูงขอบเลือนหายไปมากขึ้นและมากขึ้นทุกครั้งที่เขาเหาะ
หวังหลินครุ่นคิดชั่วขณะ จากนั้นหุบแขนเข้าเมื่ออ้าแขนออกอีกครั้งมีเส้นพลังปราณบางๆหลายเส้นระหว่างแขนทั้งสองนี่เป็นขั้นตอนแรกในวิชาหลอมสมบัติของเจดีย์เทพสงคราม
วิชาหลอมสมบัติจากเจดีย์เทพสงครามแตกต่างจากวิชาหลอมแบบดั้งเดิมพูดได้ว่ามันแยกออกมาเป็นเส้นทางของตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับการใช้ไฟเพื่อหลอม วางค่ายกล หรือผสมวัตถุดิบมันใช้กระบวนการลึกลับมาก
กระบวนการพิเศษนี้จำเป็นต้องทำสามขั้นตอนคือ ดัดแปลง หลอม และผสานสำนักเจดีย์เทพสงครามทั้งยังจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่สำคัญเรียกว่าเตาปฏิกรณ์ ซึ่งพูดถึงหลายครั้งในหินหยก
ผลลัพธ์ของเตาปฏิกรณ์คือการจำลององค์ประกอบต่างๆของแต่ละวัตถุดิบเพียงหลังจากสำเร็จการสร้างเตาปฏิกรณ์ได้นั่นถึงจะผ่านขั้นตอนแรกของวิชาหลอมสมบัติ
มือทั้งคู่ของหวังหลินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะที่จำนวนเส้นด้ายพลังปราณระหว่างสองมือเพิ่มขึ้นในไม่ช้าหวังหลินได้สร้างสิ่งของราวกับผืนผ้าซึ่งสร้างจากพลังปราณเรืองแสงระหว่างสองมือ
เมื่อผืนผ้าบางๆนี้ถูกสร้างขึ้น เขาสะบัดมือและมันก็ลอยไปบนอากาศดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่เขานึกถึงกรรมวิธีสร้างเตาปฏิกรณ์มีข้อกำหนดหนึ่งที่ยากมากนั่นก็คือกะโหลกของอสูรวิญญาณเพื่อใช้เป็นรูปร่างของเตาหลอม
หวังหลินไม่รู้ว่าเพียงแค่ความต้องการนี้ทำให้ศิษย์หลายคนในเจดีย์เทพสงครามได้ติดอยู่ตรงนี้และถอดใจ
หวังหลินสูดหายใจลึกและสัมผัสกระเป๋าตนเอง ซากงูตัวหนึ่งพร้อมกับหัวและร่างหนาราวกับถังไม้ลอยออกมา
งูตัวนี้มาจากกระเป๋าที่เขาได้จากซิ่วเฮ่าในสนามรบต่างแดนหวังหลินไม่แน่ใจว่าเขาได้รับมันมาจากที่ไหนและไม่ได้ใส่ใจนักแต่ตอนนี้เขาจำเป็นต้องสร้างเตาปฏิกรณ์ ดังนั้นจึงหยิบมันออกมาลองดู
จากการวิเคราะห์ของเขางูตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเซียนแข็งแกร่งผู้หนึ่งซิ่วเฮ่าโชคดีได้รับมันและพบร่างมันขณะที่กำลังกวาดล้างสนามรบต่างแดน
หวังหลินตัดหัวงูออกมาอย่างระมัดระวัง เลาะเอาหนังและเนื้อออกจนหมดสิ่งที่ปรากฎด้านหน้าเขาเป็นกะโหลกทรงรี หลังจากเอาเครื่องในออกรูปร่างของเตาหลอมปฏิกรณ์ก็เสร็จเรียบร้อย
ขั้นต่อไปหวังหลินควบคุมชั้นพลังปราณอย่างระมัดระวังและวางมันลงบนกะโหลกอย่างปราณีตเขาเพียงได้ยินเสียงงับขณะที่รอยแตกหลายแห่งปรากฎขึ้นบนกะโหลกรอยแตกเพิ่มมากขึ้นจนกระโหลกแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ขณะเดียวกันชั้นพลังปราณเริ่มกระจายออกอย่างช้าๆจนในที่สุดมันก็มอดหายไปหมด
กระบวนการสร้างเตาปฏิกรณ์ล้มเหลว
หวังหลินยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะผิดหวังเขาก็เตรียมพร้อมรับมือกับผลลัพธ์เช่นนี้ไว้แล้วหินหยกได้บอกว่าโอกาสการสร้างเตาหลอมนั้นต่ำมากเขาจำเป็นต้องควบคุมเส้นใยพลังปราณให้ได้ดีกว่านี้แต่ส่วนสำคัญที่สุดยังเป็นวัตถุดิบสำหรับรูปร่างของเตาหลอม
จะดีที่สุดหากเขาได้รับกะโหลกของอสูรที่พึ่งตายหรือกะโหลกของอสูรอันแข็งแกร่งเป็นอสูรเดียวดายจะยิ่งดีกว่านี้ทว่าหากเป็นอสูรที่ตายไปนานแล้วโอกาสสำเร็จจะต่ำมากและหากไม่ใช่อสูรวิญญาณโอกาสสำเร็จแทบจะกลายเป็นศูนย์
คุณภาพของเตาปฏิกรณ์ยังมีผลต่อประสิทธิภาพการหลอมในอนาคต ภายในหินหยกได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้หลายครั้ง
หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยหลังจากการสร้างเตาปฏิกรณ์ล้มเหลวเขามีเพียงอสูรวิญญาณคืองูในกระเป๋าตอนนี้กะโหลกของงูตัวนั้นได้แตกเป็นเสี่ยงๆไปแล้วและไม่มีทางสร้างเตาหลอมปฏิกรณ์ได้หวังหลินจำเป็นต้องถอยออกหนึ่งก้าวและมองหาหนทางอื่นเพื่อหลอมสมบัติเซียน
เขาชี้ไปที่ชิ้นส่วนโลหะและมันเริ่มหมุนอย่างรวดเร็วทันทีในไม่ช้าหยดโลหะร่วงหล่นลงพื้นขณะที่มันหดตัวลงเพิ่มอีกในท้ายสุดชิ้นส่วนโลหะได้กลายเป็นแอ่งน้ำโลหะเหลวเจ้าปิศาจได้ออกจากโลหะไปแล้วและมองหวังหลินอย่างเชื่อฟังอยู่ข้างๆ
ภาพสะท้อนกระบี่สีฟ้าขนาดเล็กลอยออกมาและลอยรอบตัวหวังหลินจากนั้นหยิบเอากระบี่ดำที่เป็นของศิษย์พี่ของซุนโย่วค่ายออกมาสำหรับหวังหลินนี่มันง่ายมาก
หวังหลินชี้ไปที่ภาพกระบี่เล็ก มันลอยเข้าไปและรวมเข้าด้วยกันอย่างช้าๆนี่เป็นวิธีตรงที่สุดและเป็นการหลอมที่แย่ที่สุดด้วยเช่นกันมันไม่ได้เป็นการหลอมเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการหาร่างใหม่ให้กับกระบี่เหินเช่นเดียวกันกับเหล่าเซียนกลืนกินกายเนื้อ
หวังหลินขมวดคิ้วขณะที่เขาทดสอบกระบี่เหินกระบี่รวดเร็วมากกว่าชิ้นส่วนโลหะแต่มันยังห่างชั้นกับตอนที่เขาอยู่แคว้นจ้าวมากนักทว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เขาทำได้ตอนนี้
เจ้าปิศาจไม่ได้รอหวังหลินออกคำสั่งและเข้าไปในกระบี่เหินอย่างเชื่อฟังหวังหลินเก็บกระบี่กลับไป เขาคำนวณเวลาที่จะออกไปสักเล็กน้อยพักไม่นานนักจากนั้นก็ฝึกฝนต่อ หลังจากฟื้นฟูพลังปราณของตนเองหวังหลินก้าวออกไปโดยไม่ลังเลและหายตัวไป
หวังหลินไม่รู้ว่าระหว่างที่เขาปิดด่านฝึกตนหลายวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงหลายครั้งในฮัวเฝิน
ต้นตอของการเปลี่ยนแปลงนี้คือภูเขาไฟลูกหนึ่งที่เซียนขั้นผลิดอกจากสำนักลั่วเหอผนึกอยู่หนึ่งในภูเขาไฟที่เขาผนึกไปแล้วพลันระเบิดขึ้นอย่างกะทันหันลาวาพ่นออกมาจากปล่องภูเขาไฟนับหลายร้อยฟุตเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ
ในเวลาเดียวกัน ควันสีดำจำนวนมากคละคลุ้งทั่วท้องฟ้าคราแรกมันไม่ได้มากนักแต่เพราะเซียนขั้นผลิดอกได้ต่อสู้กับอสูรอัคคีจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใต้ลาวา
ในเหล่าอสูรอัคคีพวกนี้ มีตัวนึ่งที่มีขนาดใหญ่พิเศษหลังจากเซียนขั้นผลิดอกต่อสู้กับอสูรอัคคียักษ์ตัวนั้นเขาพบว่าตัวเองต่อสู้ไม่ได้และหนีออกมาพร้อมกับบาดแผลเต็มตัว
โชคยังดีที่อสูรอัคคีไม่ได้ตามล่าเขา มันทำลายผนึกบนภูเขาไฟลูกอื่นแทนทันใดนั้นภูเขาไฟหลายแห่งในฮัวเฝินระเบิดขึ้นพลังปราณอันรุนแรงอย่างหนาแน่นในบรรยากาศหากใครที่ฝึกฝนพลังปราณแบบนี้ในเวลานี้หากโชคดีก็คงเข้าไปดูดซับอย่างบ้าคลั่ง แต่หากไม่ คงถูกไฟคลอกตัวเองจนตาย
ขณะที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทั่วทั้งแคว้นฮัวเฝินตกอยู่ในความวุ่นวายเรื่องแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือเหล่าคนธรรมดาที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากอสูรอัคคีได้เหล่าคนธรรมดากำลังเคลื่อนย้ายออกจากแคว้น
เรื่องที่สองคือเหล่าตระกูลเล็กและตระกูลขนาดกลาง พวกเขาทั้งหมดมองหาสำนักหลักทั้งสี่เพื่อดูว่าจะต่อสู้หรืออพยพ
เหล่าเซียนขั้นผลิดอกทั้งสี่สำนักเจอกันที่เจดีย์เทพสงคราม หลังจากรายงานข่าวให้กับแคว้นอันดับสูงกว่า พวกเขามีคำสั่งให้ทำการอพยพ
นอกจากนั้น มีโอกาสที่แคว้นอันดับสี่จะปรากฎขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้หากพวกเขาชนะศึกนี้ความสูญเสียนั้นใหญ่หลวงนักและพวกเขาอาจจะตกอันดับไปที่อันดับสอง
ฮัวเฝินมีอาณาเขตติดต่อกับแคว้นซวนหวู่(宣武 Xuānwǔ) เทียบกับฮัวเฝินแล้วซวนหวู่กลับยุ่งวุ่นวายมากกว่าเนื่องจากมีสำนักเซียนจำนวนมากที่นี่
เมื่อหวังหลินออกมาจากถ้ำก็เป็นตอนที่สำนักหลักทั้งสี่กำลังอพยพการอพยพของสำนักฟังดูง่ายแต่เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นยากมากเพราะการโจมตีของอสูรอัคคี ทางสำนักจึงส่งศิษย์ออกไปเพื่อรั้งพวกมันไว้ก่อน
ผลลัพธ์ก็คือ เมื่อในที่สุดสำนักทั้งสี่แห่งรวมเข้าด้วยกันเพิ่มด้วยตระกูลอื่นๆอีกหลายแห่ง พวกเขาสร้างเป็นกลุ่มเซียนราวสองหมื่นคน ณจุดนี้ ไม่เพียงแต่อสูรอัคคีทั้งหมดทำลายผนึกบนภูเขาไฟทุกแห่งพวกมันทั้งยังสร้างเป็นกองทัพอสูรอัคคีนับแสนตัวซึ่งกำลังเดินทัพใกล้เข้ามา
หลังการต่อสู้ขนาดใหญ่หลายครั้ง เหล่าเซียนได้ตีวงล้อมออกไปทิ้งกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลังเพื่อต้านทานเหล่าอสูรอัคคีในขณะที่ทุกคนเข้าใกล้แคว้นซวนหวู่
เมื่อหวังหลินออกมาจากถ้ำ รูม่านตาเขาหดเล็กลงขณะที่เขาเห็นเหล่าเซียนนับเจ็ดหรือแปดคนถูกอสูรอัคคีกระโดดเข้าใส่และตายทันที