1408. เพลิงแห่งเวรกรรมลุกโชนในวิญญาณ
ภายในบททดสอบมนุษย์ วังวนที่มีแค่หวังหลินเห็นพลันแตกสลายราวกับมีพลังที่มองไม่เห็นฉีกทำลายมัน ท้องฟ้าค่อยๆกลับคืนสู่ปกติ
ไม่มีใครในบททดสอบมนุษย์จะสังเกตสิ่งนี้ได้นอกจากหวังหลิน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หวังหลินถอนสายตาออกมาจากท้องฟ้าและนั่งลงบนยอดภูเขา
การจุดเพลิงแห่งเวรกรรม เป็นการสร้างเปลวไฟด้วยความคิด มันไม่ใช่การเผาโลกใบนี้แต่เป็นการเผาดวงวิญญาณของตัวเอง ใช้วิธีอันตรายนี้ในตอนที่วิญญาณกำลังจะถูกทำลายเพื่อค้นหาหนทางเอาชีวิตรอดและสร้างเพลิงแห่งเวรกรรมขึ้นมา ซึ่งจะทำให้วิหคศักดิ์สิทธิ์มีโอกาสตื่นเป็นครั้งที่สี่จนทะลุผ่านขอบเขตของเพลิงไร้ลักษณ์ซึ่งหาได้ยากยิ่งในหมู่มวลของเผ่าวิหคศักดิ์สิทธิ์!
เพลิงไร้ลักษณ์คือต้นตอของเพลิงทั้งหมดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเพลิงแห่งความริษยา โกรธเกรี้ยว บ้าคลั่งหรือเจ้าอารมณ์ ทั้งหมดนั้นคนที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตเพลิงไร้ลักษณ์ต่างก็นำมาใช้ได้!
เซียนผู้บรรลุระดับเพลิงไร้ลักษณ์นั้นทรงพลังยิ่ง แม้จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเซียนขั้นที่สาม แต่เซียนขั้นที่สามยังต้องระวัง! เมื่อเผชิญหน้ากับเซียนจะไม่สามารถแสดงอารมณ์อันใดได้ เพราะความผันผวนด้านอารมณ์เพียงเล็กน้อยก็จะสามารถทำให้อีกฝ่ายนำมาสังหารได้!
นี่คือวิชาที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ต้องกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างก็มีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหนหรือซ่อนอารมณ์ตัวเองได้ดีเพียงใด อารมณ์ก็ยังอยู่ภายในอยู่ดี
แม้กระทั่งความปรารถนาของปรมาจารย์เต๋าความฝันยังกลายเป็นเชื้อเพลิงให้แก่เพลิงไร้ลักษณ์ได้! มีเพียงคนที่ปิดกั้นอารมณ์ได้อย่างหมดจดหรือลบความหวาดกลัวเพลิงไร้ลักษณ์ไปเท่านั้นถึงจะพอมีความสามารถ!
ความน่ากลัวที่แท้จริงของเซียนระดับเพลิงไร้ลักษณ์ไม่ใช่การต่อสู้ตัวต่อตัว แต่เป็นการต่อสู้เป็นกลุ่มใหญ่!
เซียนเพลิงไร้ลักษณ์คนเดียวสามารถต่อสู้ได้นับพัน…เซียนขั้นที่สามรู้ว่าการทะลวงประตูดับสูญในฐานะเซียนสายฟ้านั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง เพราะสายฟ้าเป็นสิ่งที่ถูกสวรรค์ควบคุม ดังนั้นการทะลวงผ่านประตูดับสูญจึงเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าเดิม!
แก่นแท้เพลิงเป็นส่วนหนึ่งของธาตุทั้งห้า มีเพียงการกลายเป็นเพลิงไร้ลักษณ์เท่านั้นจึงจะสามารถเป็นอิสระออกมาจากธาตุทั้งห้าได้ หากมันสามารถวิวัฒนาการไปเป็นเพลิงแห่งเต๋าได้เมื่อนั้นก็จะสามารถใช้เผาใส่ประตูดับสูญเพื่อกลายเป็นเซียนขั้นที่สามได้เลย!
หวังหลินดวงตาสงบนิ่ง เพลิงไร้ลักษณ์ได้มายากยิ่งนักเพราะเมล็ดเพลิงจะได้รับต่อเมื่อเกิดการตื่นครั้งที่สี่จากวิหคศักดิ์สิทธิ์! อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมเผาไหม้โลกนี้ ดังนั้นจึงต้องเลือกหนทางที่ยากยิ่งกว่า
เส้นทางที่เดินอยู่ระหว่างความเป็นความตาย หวังหลินยังสามารถเลือกออกไปจากที่นี่และล้มเหลวการทดสอบได้
“วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองดูแลข้าเป็นอย่างดี เช่นนั้นข้าจะยอมแพ้ง่ายๆได้อย่างไร?” หวังหลินพึมพำและมีแววตามุ่งมั่น
เช่นเดียวกับที่เขาไม่เต็มใจจะเผาโลกใบนี้ หวังหลินห่วงใยผู้มีพระคุณยิ่ง จึงไม่อาจทำให้วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองผิดหวังได้!
หวังหลินสูดหายใจลึกและหลับตา เปลวเพลิงสีฟ้าปะทุออกมาจากร่างกาย มันไม่ได้แพร่กระจายออกไปไหนแต่เผาไหม้อยู่ในร่าง
คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นเปลวเพลิงได้ แต่ความเจ็บปวดจากการเผาไหม้ดวงวิญญาณได้ทำให้หวังหลินสั่นเทา เขากัดฟันแน่น อดทนและมีสมาธิต่อการเผาไหม้จนกว่าจะทำลายตัวเอง
‘ข้าจะเข้าสู่เต๋าด้วยการย้ำความคิดนี้ แม้กระทั่งทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่สามารถหยุดข้าได้!!’ หวังหลินเงยศีรษะขึ้นและลืมตา เปลวเพลิงในร่างเจิดจ้าแต่ไม่มีใครด้านนอกมองเห็น
วันเวลาในบททดสอบมนุษย์ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ลี่มู่หวานค่อยๆมาเยี่ยมบนยอดภูเขามากขึ้น ทุกครั้งที่หวังหลินเห็นนางจะทำให้เปลวเพลิงในวิญญาณรุนแรงขึ้น แต่เขาก็ไม่เผยออกมาเลยแม้แต่น้อย ความอ่อนโยนในสายตาหวังหลินลึกล้ำดั่งทะเลสาบ
ลี่มู่หวานค่อยๆคุ้นเคยกับท่าทีของหวังหลิน บางครั้งเมื่อนางขึ้นมาบนภูเขาก็มักจะพูดคุยกับหวังหลินด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อย่างไรก็ตามลี่มู่หวานผู้ใส่ใจกลับสังเกตได้ว่าแต่ละครั้งที่นางขึ้นมาที่นี่ ผู้อาวุโสประหลาดดูเหมือนจะอ่อนแอลงเล็กน้อย แม้กระทั่งรูปร่างหน้าตาก็ยังแก่ขึ้นด้วย
นางไม่รู้ว่าหวังหลินในตอนนี้กำลังทนกับความเจ็บปวดเกินคำอธิบาย เขาต้องการจุดเพลิงแห่งเวรกรรมและใช้ความหลงใหลในใจเป็นเชื้อเพลิง ยิ่งเขาหลงใหลมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้เพลิงรุนแรงขึ้นเท่านั้น
ทุกครั้งที่เขาเห็นลี่มู่หวาน ความหลงใหลของเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น! เปลวเพลิงยิ่งหนาแน่นและความเจ็บปวดเพิ่มเป็นทวีคูณ!
วันเวลาผ่านไปไม่รู้เวลา เปลวเพลิงในวิญญาณหวังหลินมาถึงจุดหนึ่ง ดวงตาเลื่อนลอย ร่างกายอ่อนแอ ใบหน้ามีอายุขึ้นจากชายหนุ่มเป็นชายวัยกลางคน
ราวกับขณะที่วิญญาณเผาไหม้ กาลเวลาสองพันปีได้ทุ่มลงมาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“ยอมแพ้เถอะ…เจ้าไม่สามารถทนต่อการเผาไหม้ดวงวิญญาณได้ แม้ข้าจะไม่ได้พบเจอมัน แต่จากที่ข้าได้ยินจากบรรพชน ข้าบอกได้ว่าตายยังรู้สึกดีกว่า…”
วังวนที่พังทลายไปแล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งในท้องฟ้า วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองโผล่ออกมาอีกครั้งเพราะเป็นกังวล
หวังหลินกัดฟัน ความคิดจิตใจไม่ชัดเจนไปแล้ว ความเจ็บปวดรุนแรงเสมือนคลื่นที่ ถาโถมเข้าใส่ ความเจ็บปวดเช่นนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่หวังหลินเผชิญครั้งก่อน หลายเท่า!
ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับหายนะของเทพโบราณซึ่งร่างกายแตกสลายและ สร้างขึ้นมาใหม่ เขาได้พบประสบการณ์ที่ไม่อาจเทียบได้ แต่ว่าความเจ็บปวดสองรูปแบบนี้ยังมีความแตกต่างกันช่วงใหญ่
“เจ้ายังเผาไหม้ดวงวิญญาณ แต่ความหลงใหลของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนกลายเป็น เพลิงแห่งเวรกรรม ระดับความเจ็บปวดนี้เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น เมื่อเพลิงแห่ง เวรกรรมปรากฏขึ้น เจ้าจะผ่านวิบากกรรมเก้าครั้ง แม้กระทั่งบรรพชนยังผ่านมันด้วยการปกป้องของคนอื่น เจ้ายังยกเลิกตอนนี้ได้ เมื่อความหลงใหลของเจ้าเปลี่ยนกลายเป็นเพลิงแห่งเวรกรรม มันจะเผาไหม้วิญญาณเจ้าในพริบตา จะไม่มีโอกาสที่ เจ้าจะเปลี่ยนกลายเป็นเพลิงเวรกรรมได้อีก!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะมีการปกป้องของจักรพรรดิเทพ ท่านบรรพชนคงไม่สำเร็จ!” น้ำเสียงวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองยังเต็มไปด้วยความกังวล
“สาวน้อยคนนั้นคือความหลงใหลในใจเจ้า…ในบททดสอบมนุษย์แห่งนี้ทุกอย่างเป็นภาพลวงตาเท่านั้น ทำไมเจ้าถึงพาตัวเองให้ตกอยู่ในสภาวะความเป็นความตายเพียงเพื่อภาพลวงตา?”
“หวังหลิน ทำไมเจ้าถึงต้องหมกมุ่นเช่นนั้น!?” น้ำเสียงวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองยิ่งร้อนใจขึ้นและมีโทนเสียงรุนแรง
หวังหลินไม่ตอบ ตอนนี้ความคิดพร่ามัว ความเจ็บปวดเปลี่ยนกลายเป็นความทรงจำแล่นผ่านดวงวิญญาณ
เขาเจอกับลี่มู่หวานครั้งแรก…ทะเลปีศาจ…สำนักเมฆาฟ้า…การตายของนาง…จนกระทั่งนางกลายเป็นร่างไร้ชีวิตที่หลับใหลอยู่ในโลงศพ
ความทรงจำทั้งหมดนี้เผาไหม้ภายในวิญญาณ
“นี่มันผ่านมานานแล้ว หากเจ้าทำต่อไปจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ในเมื่อเจ้าไม่ยอมตัดขาดตัวเองจากโลกนี้ เช่นนั้นถึงแม้ท้ายที่สุดเจ้าจะเกลียดข้า ข้าจะทำลายโลกนี้ให้เจ้า!” คำพูดของวิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองดังกึกก้อง ทะเลเพลิงปรากฏขึ้นมาจากวังวน เปลวเพลิงแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง พริบตาเดียวมันก็ล้อมรอบโลกทั้งใบเอาไว้ มันกำลังจะตกลงมาเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ตอนนี้ลี่มู่หวานปรากฏอยู่บนยอดภูเขา นางกำลังหอบหายใจและเพิ่งขึ้นมาถึงยอด นางไม่สามารถมองเห็นเปลวไฟได้แต่ในสายตาอันพร่ามัวของหวังหลิน เขาเห็นทะเลเพลิงกำลังพยายามกลืนกินลี่มู่หวานเหมือนปากขนาดยักษ์!
เสี้ยววินาทีนี้สายตาหวังหลินก็พลันชัดเจน ในแววตาปรากฏเปลวเพลิงมหึมา ชั่วขณะที่เปลวเพลิงกำลังแตะต้องลี่มู่หวาน หวังหลินเข้าไปกอดนางและใช้แผ่นหลังตัวเองเข้าปกป้อง!
ลี่มู่หวานตกตะลึง ขณะที่หวังหลินกอดนาง เขาหันกลับและร้องคำรามใส่ท้องฟ้า!
“ข้าทำมันได้!!”
“เจ้า!!” น้ำเสียงรุ่นที่สองโกรธเกรี้ยวยิ่ง เพลิงที่เขาส่งออกมาจากท้องฟ้าถูกหยุดเอาไว้
“บรรพชน ข้าฝึกฝนทั้งชีวิตเพื่อนางเท่านั้น! แม้มันจะเป็นแค่ภาพลวงตา แต่ผู้น้อยไม่ยอมให้ทำร้ายนางได้ อย่าว่าแต่การทำลายนางเลย!!” หวังหลินมองท้องฟ้าพร้อมกับหยาดน้ำตาไหลลงบนแก้มและร่อนลงบนแขนลี่มู่หวาน น้ำตาร้อนๆดูเหมือนเข้าสู่หัวใจนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสน
วินาทีที่หวังหลินกล่าวเช่นนี้ เปลวเพลิงในวิญญาณปะทุขึ้นมารุนแรงยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า!
ข้างในเปลวเพลิงนี้มีเพลิงทมิฬหนึ่งสาย เปลวเพลิงทมิฬทำให้โลกเปลี่ยนสีและระงับเพลิงสีฟ้าในวิญญาณหวังหลินได้อย่างสมบูรณ์
“เพลิงแห่งเวรกรรม!” วิหคศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่สองอ้าปากค้างและถอนหายใจ
“ตอนนี้ความหลงใหลของเจ้าได้เปลี่ยนกลายเป็นเพลิงแห่งเวรกรรมแล้ว นอกจากบรรพชนรุ่นแรก ไม่มีใครสามารถหยุดเจ้าได้ ช่างมันเถอะ…ในเมื่อเจ้าเลือกแล้ว ช่างมันเถอะ…” น้ำเสียงรุ่นที่สองค่อยๆหายไป ทะเลเพลิงหายไปและวังวนพังทลาย
เพลิงทมิฬเต็มไปทั่วร่างหวังหลินและยึดครองเพลิงสีฟ้าทั้งหมด เพียงพริบตาเดียวเพลิงสีฟ้ากว่าแปดในสิบส่วนต่างเปลี่ยนกลายเป็นสีดำ ความเจ็บปวดจากวิญญาณทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน ความเจ็บปวดรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายพันเท่า วิญญาณของเขากำลังพังทลายอย่างรวดเร็ว ร่างกายแตกสลายอย่างรวดเร็วแต่แขนยังคงกอดลี่มู่หวาน เขาซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ให้ดีที่สุดและค่อยๆมองลี่มู่หวาน
หวังหลินมองนางและเอ่ยขึ้นเบาๆ “การมีเจ้าอยู่กับข้าเพียงไม่กี่วันนี้ ข้ามีความสุขมาก…แม้เจ้าจะเป็นแค่ภาพมายา ข้าจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเจ้า…”
ทว่าน้ำเสียงเขากลับมีพลังที่ทำให้ความคิดลี่มู่หวานตกตะลึง
“ท่าน…ท่านเป็นใคร…” ลี่มู่หวานจ้องมองหวังหลิน