Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1819

Cover Renegade Immortal 1

1819. หิมะภูเขาสวรรค์

ตู้ฉิงหลั่งเหงื่อเย็นบนหน้าผากพลางมองไปยังถ้ำหลังภูเขา สัมผัสวิญญาณของหวังหลินที่กระจายอยู่แถวนี้มาเจ็ดเดือนพลันหายวับไป

การหายนี้ไม่ใช่ว่าหวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณ มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเขาได้ผสานกับโลกเข้าแล้ว

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นฉับพลันเกินไป ตู้ฉิงถึงกับจินตนาการสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ออกและไม่ได้เตรียมตัวเลย เขาตกอยู่ในความคิดที่กำลังมองดูเรื่องสนุกแต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

หลังตกตะลึง ตู้ฉิงพุ่งออกไป กระจายสัมผัสวิญญาณเข้าหาหลังภูเขา เมื่อสัมผัสวิญญาณกวาดผ่านไป ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง

‘ไม่อยู่…ไม่อยู่…’ หวังหลินที่นั่งอยู่ในถ้ำมาเจ็ดเดือนได้หายไปแล้ว

ตู้ฉิงไม่ได้สังเกตเห็นหวังหลินหายไปเลย ราวกับหวังหลินระเหยไปตรงหน้าเขา

‘เป็นไปไม่ได้…ไม่สมเหตุสมผล…’ ตู้ฉิงยืนอยู่บนยอดเขาที่มีใต้หญ้าใต้ผืนเท้า บ่นพึมพำพลางลูบตาและกระจายสัมผัสวิญญาณอีกครั้ง

พยายามอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งแต่ก็ไม่พบร่องรอยของหวังหลิน

‘เป็นไปไม่ได้ สัมผัสวิญญาณของเขาไม่สามารถผสานกับโลกนี้ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงเหล่าเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับสูงสุดเท่านั้นที่ทำได้…เขา…เขาทำไม่ได้แน่นอน!’ ตู้ฉิงหน้าซีด แววตาหวาดกลัวรุนแรง เขารู้สึกเหมือนตกอยู่ในความฝันมาเจ็ดเดือน

ตู้ฉิงยังตามหาหวังหลินไม่เจอ ในใจไม่อาจยอมรับได้แต่กลับมีเสียงสงบนิ่งดังขึ้นด้านหลัง “เจ้ากำลังมองหาข้าหรือไม่…”

ตู้ฉิงร่างสั่นเทาและหันกลับไป รูม่านตาหรี่แคบลงเมื่อเห็นหวังหลินยืนอยู่ด้านหลังด้วยท่าทีสงบนิ่งและดูปกติมาก

ด้านหลังหวังหลินคล้ายกับมีระลอกคลื่นไหลเวียนแต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้า…เจ้า…” ตู้ฉิงก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว หวังหลินปรากฏตัวอย่างฉับพลันเกินไปจนเขาไม่ทันสังเกต หากหวังหลินโจมตี เขาคงบาดเจ็บสาหัส

สัมผัสความหนาวเย็นโผล่ออกมาจากร่างหวังหลิน กลิ่นอายเย็นเยียบนี้หายไปพร้อมกับกลิ่นอายของสำนักมังกรฟ้าที่เข้าท่วมหวังหลิน แต่ตู้ฉิงยังรู้สึกเหมือน สายลมเย็นพัดมาใส่ใบหน้า ความตกตะลึงในแววตาเปลี่ยนกลายเป็นความหวาดกลัว วินาทีนี้หวังหลินได้เปลี่ยนกลายเป็นตัวตนที่ลึกลับและน่าหวาดกลัวในสายตาตู้ฉิง ไปแล้ว

ตู้ฉิงระงับความตกตะลึงเอาไว้และพูดขึ้น “ไม่มีอะไร…ศิษย์ส่วนใหญ่กลับมาแล้วและได้ค้นพบสายเพลิงย่อยและสายกิ่งก้านเล็กจำนวนมาก…สายที่ถูกผนึกบางส่วนยังพากลับมาด้วย…”

หวังหลินมองตู้ฉิง ภายใต้สายตานั้นตู้ฉิงก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว

“นำพวกมันมาในถ้ำ” หวังหลินเอ่ยขึ้นพลางก้าวทะยานและลอยกลับเข้าถ้ำ

หลังจากหวังหลินจากไปตู้ฉิงจึงผ่อนคลาย ทว่าเพราะหวังหลินลอยกลับไปจึงเกิดความสงสัยขึ้นในใจอีกครั้ง

‘เป็นไปไม่ได้แน่นอน!! เขาไม่น่าจะผสานเข้ากับโลกได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจากไปในพริบตา…กลิ่นอายที่หายไปก่อนหน้านี้ต้องเป็นการเคลื่อนย้ายพริบตา เขาต้องเคลื่อนย้ายพริบตาแน่ หลังจากล้มเหลวไปมากมาย เขาต้องทำเพื่อไว้หน้า…’ ยิ่งตู้ฉิงคิดยิ่งรู้สึกว่าถูกต้อง เขายังรู้สึกขบขันว่าเพิ่งหวาดกลัวเสียก่อน

‘ข้าบอกแล้วว่าเขาไม่สามารถผสานกับโลกได้ เขาทำไม่ได้แน่นอน! เขาประเมินตัวเองสูงไปจริงๆ!’ ตู้ฉิงเยาะเย้ยและสะบัดแขนเพื่อจากไป ทว่าร่างกายพลันสั่นเทา สายตาจดจ้องตรงหญ้าที่หวังหลินเคยอยู่ ดวงตาแทบถลนนออกมาจากเบ้าและ เกิดความหวาดกลัวพุ่งขึ้นในใจ

ความคิดจิตใจสั่นคลอนราวกับสายฟ้านับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นในใจ ทุกอย่างเบื้องหน้าเขาหายไปเหลือเฉพาะตรงพื้นที่บริเวณที่หวังหลินยืนอยู่

ผ่านไปสักพักตู้ฉิงถึงกับหน้าซีดขาวและถอยร่นไปหลายก้าว มองกลับไปยังถ้ำด้วยสายตาหวาดกลัวและซับซ้อนอธิบายไม่ถูก

ห่างออกไปไม่ไกลมีหิมะสีเขียวบนพุ่มหญ้าที่หวังหลินเคยยืน มันทอประกายใต้แสงอาทิตย์และหลอมละลายอย่างช้าๆ

ในแคว้นกระทิงสวรรค์นั้น หิมะสีเขียวมีอยู่ที่เดียวในภูเขาสวรรค์ทางตะวันตกสุดของแคว้น หากตู้ฉิงเดินทางด้วยความเร็วสูงสุดยังต้องใช้เวลาไปกลับหลายเดือน

“หิมะแห่งภูเขาสวรรค์…คนผู้นี้…เป็นอัจฉริยะโดยแท้!” ตู้ฉิงยืนอยู่เงียบๆไป สักพักก่อนจะพึมพำประโยคนี้ขึ้นมา ความดูถูกและความผิดหวังต่อหวังหลินใน เจ็ดเดือนที่ผ่านมาได้หายไป ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกลึกลับและหยั่งไม่ถึง

ความรู้สึกหวาดกลัวต่อหวังหลินเติบโตขึ้นในใจเขา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการ บ่มเพาะแต่เป็นความลึกลับรอบตัวหวังหลิน

หวังหลินตบเสื้อผ้าอยู่ในถ้ำ สะบัดความหนาวเย็นออกไปจากร่างกายและนั่งลง ผ่านไปเจ็ดเดือนในที่สุดเขาก็ปลุกร่างอวตารขึ้นมาได้

ตอนที่ร่างอวตารตื่นขึ้นมา หวังหลินสัมผัสความเข้าใจที่อธิบายไม่ถูกออกมาจากความว่างเปล่าอันห่างไกล ม่านที่มองไม่เห็นซึ่งสร้างปัญหากับเขาพลันอ่อนลงทันที ราวกับกฎแห่งแผ่นดินเซียนดาราที่กำลังหยุดเขาพลันหายไป

ความเข้าใจทุกรูปแบบปรากฏขึ้นในความคิด มันชัดเจนขึ้นแต่พอคิดอย่างจริงจังกลับคลุมเครือมาก หวังหลินรู้ว่าเป็นเพราะร่างอวตารกำลังเติบโต

เมื่อร่างอวตารเติบโตจนสมบูรณ์ หวังหลินคงจะเข้าใจเรื่องกฎทุกข้อแห่งแผ่นดินเซียนดาราได้ชัดเจน

ขณะเดียวกันแรงกดดันทรงพลังก็ละลายไปเหมือนน้ำแข็ง รอยแตกร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา สัมผัสวิญญาณของหวังหลินผสานเข้ากับโลกได้ทันที

ทั้งหมดเป็นเพราะร่างอวตาร!

จังหวะที่สัมผัสวิญญาณผสานเข้ากับโลก ร่างกายได้หายไปและผสานไปด้วย นาทีนั้นเขารู้สึกเหมือนกับตอนที่ใช้บิดมิติในโลกถ้ำ เขาสูญเสียความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้วเพียงแค่คิดหวังหลินก็ปรากฏตัวบนภูเขาสวรรค์และเห็นหิมะสีเขียวกำลังตกลงมา บิดมิติครั้งแรกที่หวังหลินใช้ที่นี่นั้นไม่ได้กำหนดทิศทาง เขาเพิ่งไปที่ไหนสักแห่งได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

แต่ตอนที่เขาจะกลับมายังสำนักมังกรฟ้า ภาพสำนักมังกรฟ้าปรากฏขึ้นชัดเจนในจิตใจ หวังหลินปรากฏตัวด้านหลังภูเขาของสำนักมังกรฟ้าและอยู่หลังตู้ฉิง

เวลาที่เขาไปและกลับมาใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปไหม้เท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะหิมะ สีเขียวที่ติดอยู่บนฝ่าเท้า ตู้ฉิงคงไม่รู้ว่าหวังหลินหายไปไหนมา

‘ร่างอวตารเติบโตขึ้นเพียงไม่กี่วันก็เร่งความแข็งแกร่งได้ขนาดนี้แล้ว…หากมีเวลามากกว่านี้ ร่างอวตารของข้าจะกลายเป็นร่างที่แข็งแกร่งที่สุด!’ หวังหลินเข้าใจเรื่องนี้มานาน

‘ถึงเวลาไปสำนักมหาวิญญาณเพื่อดูดซับเพลิงปฐพีสายหลักแล้ว ก่อนหน้านั้นข้าต้องดูดซับสายกิ่งก้านเล็กเพื่อดูว่าร่างแก่นแท้เพลิงของข้าจะสร้างขึ้นได้มากแค่ไหน’ หวังหลินรู้ว่ายิ่งมันสมบูรณ์มากแค่ไหนก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น

การจะสร้างศีรษะขึ้นมาเขาไม่เพียงต้องใช้แก่นแท้เพลิง สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือเจตจำนงแห่งเปลวเพลิง

ตู้ฉิงออกมาทักทายเขาครึ่งชั่วโมงให้หลังด้วยสายเพลิงปฐพีที่เหล่าศิษย์แยกออกมาพร้อมกับมีแผนที่ติดมาด้วย นี่คือแผนที่สมบูรณ์ที่สุดของแคว้นกระทิงสวรรค์และมีสายกิ่งก้านเล็กทำเป็นเครื่องหมายเอาไว้

หวังหลินไม่ได้ทำเป็นถ่อมตัว เขาดูดซับสายเพลิงปฐพีพวกนั้นไปแล้ว แต่เนื่องจากไม่ได้มีเจตจำนงแห่งเปลวเพลิงข้างในมากมาย ดังนั้นจึงไม่ได้ช่วยให้สร้างร่างแก่นแท้มากนัก

อย่างไรก็ตามแผนที่นี้มีประโยชน์ต่อหวังหลิน หลังจากรับหินหยกไปหวังหลินจึงกล่าวลาตู้ฉิง ตู้ฉิงรู้ว่าหวังหลินกำลังไปทำอะไร เขาไม่สามารถเข้าร่วมเรื่องนี้ได้แต่ก็ไม่ได้รายงานเรื่องของหวังหลินเช่นกัน อีกทั้งเข้ายังต้องการให้หวังหลินรู้สึกขอบคุณ

สิ่งสำคัญไปกว่านั้น สายตาที่หวังหลินมองมาที่เขาก่อนจะจากไปนั้นเยือกเย็นยิ่ง ใต้ฝ่าเท้าหวังหลินเกิดเป็นระลอกคลื่นเสียงดังกึกก้องและเขาพลันหายตัวไป ฉากเหตุการณ์นี้ยิ่งทำให้ใครต่อใครตกตะลึง

ตู้ฉิงจิตใจสั่นเทาขณะที่มองหวังหลินหายไป ผ่านไปสักพักจึงถอนหายใจ

“ข้าจะจำไว้ว่าสหายเซียนตู้ช่วยข้าไว้อย่างไร หากมีโอกาสข้าจะมาตอบแทน” หลังจากหวังหลินจากไป เขาเอ่ยเสียงดังกึกก้องในหูของตู้ฉิง

พอวันที่เจ็ดหลังจากหวังหลินจากไป สายเพลิงปฐพีกิ่งก้านเล็กหลายแห่งบนแคว้นกระทิงสวรรค์ก็พังทลาย เปลวเพลิงปะทุพวยพุ่งทั่วแคว้น แม้แต่อากาศยังร้อนระอุ เพียงแค่หายใจก็รู้สึกร้อนผ่าว

ขณะที่เรื่องนี้เกิดขึ้นหลายแห่งบนแคว้นกระทิงสวรรค์มันกลับทำให้สำนักหลายแห่งให้ความสนใจ พวกเขาส่งศิษย์จำนวนมากออกมา บางครั้งผู้อาวุโสก็ออกมาด้วยตัวเองแต่ก็ไร้เบาะแส แต่ทุกครั้งที่ไปล้วนเห็นสายเพลิงปฐพีแห้งเหี่ยวกันหมด

ครึ่งเดือนต่อมา ณ ภูเขาที่ล้อมรอบด้วยหมอกสีดำซึ่งเป็นจุดที่เคยมีสำนักเจ็ดเต๋าตั้งอยู่ หวังหลินก้าวออกมาจากภูเขาด้วยอารมณ์ความรู้สึก

เขาต้องมาที่นี่ เพราะที่นี่สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโลกถ้ำและจำนวนปีที่ซวนลั่วรอคอยเขา

หวังหลินก้าวอออกมาจากหมอกสีดำและมองกลับไปยังภูเขาข้างใน ขบคิดชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจและจากไป

‘ซือถู ฉิงชุ่ย ลี่เฉียนเหมยและเหล่าคนที่ได้ไปเกิดใหม่…ตอนนี้พวกเจ้าอยู่ไหนกัน…’ หวังหลินหันตัวกลับเพื่อจากไป แผ่นหลังของเขาเปล่งความโดดเดี่ยวอ้างว้าง

ผ่านไปหนึ่งวัน ทางทิศตะวันออกของแคว้นกระทิงสวรรค์ ณ ภูเขาสวรรค์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตั้งของสำนักมหาวิญญาณ ชายหนุ่มผมขาวยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับ หิมะสีเขียวตกลงมา เขามองเห็นอีกฝั่งของเขาภูเขาที่มีหิมะตกลง

ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้น มองเห็นเทือกเขามากมายไร้ขอบเขต ภายในเทือกเขาเหล่านั้นมีภูเขาสีแดงแทงทะลุยอดฟ้าอยู่ไกลๆ

“สำนักมหาวิญญาณ…” ชายหนุ่มผมขาวพึมพำ ดวงตาเปล่งประกาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!