Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 1886

Cover Renegade Immortal 1

1886. รางวัลชดเชย

หวังหลินถือก้อนหินสีดำขึ้นมา นี่ไม่ใช่หินมิติ เขามองตู้ฉิงและคำนับฝ่ามือ

“ขอบคุณมากน้องตู้!”

ตู้ฉิงรีบส่ายศีรษะ เขากระพริบตาและถามเบาๆ “อะไรอยู่ข้างในกัน?”

หวังหลินยิ้มบางๆ และส่ายศีรษะโดยไม่ได้ตอบกลับไป เขามองไปยังท้องฟ้าและเอ่ยขึ้น

“ข้าจะไม่พูดอะไรมากนัก น้องตู้ หากมีโอกาสขอให้เราได้เจอกันอีกครั้ง ลาก่อน!” หวังหลินถอนหายใจและหายวับเข้าไปในท้องฟ้า

ตู้ฉิงมองร่างหวังหลินที่กำลังจากไป เขาลอบถอนหายใจและส่ายศีรษะ จากนั้นเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักมหาวิญญาณเพื่อบอกบรรพชนกระทิงเขียวว่าทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หวังหลินผสานเข้ากับโลกและออกไปจากสำนักเจ็ดเต๋า เขาปรากฏตัวในทะเลทรายแห่งหนึ่งซึ่งไม่ได้เจอได้ทั่วไปในแคว้นกระทิงสวรรค์

ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน สายลมที่พัดผ่านทะเลทรายช่างเยือกเย็นเสียดกระดูกและอาจทำให้คนธรรมดาแข็งค้าง เหล่าเซียนสามารถต้านทานได้แต่สำหรับเซียนขั้นที่สามแบบหวังหลินมันเหมือนกับลมเบาๆ

หวังหลินยังถือก้อนหินสีดำในมือ เขาก้มหน้ามองก้อนหิน ไม่รู้ว่าควรจะเปิดมันออกมาดีหรือไม่

แม้จะไม่รู้ว่ามันมีอะไรข้างใน แต่กลิ่นอายของวิชาเต๋าเนตรวิญญาณได้บอกวิธีการเปิดแก่หวังหลินอย่างลับๆ

ครู่ต่อมาหวังหลินจึงเผยแววตาตัดสินใจ เขาแบมือพลันปรากฏคนตัวเล็กขนาดสามนิ้วขึ้นข้างๆ ก้อนหิน พริบตาเดียวมันก็เข้าไปในหิน

เสียงแตกร้าวดังขึ้นมากลางค่ำคืนในทะเลทราย หลังจากคนตัวเล็กเข้าไป บนก้อนหินจึงเผยรอยแตก ภายในเวลาไม่ถึงสามลมหายใจมันจึงแตกละเอียดอย่างสิ้นเชิง

ก้อนแสงทั้งสี่ก้อนพลันลอยออกมา!

หลังจากเห็นก้อนแสงทั้งสี่ จิตใจหวังหลินสั่นเทาและตกตะลึง

ก้อนแสงก้อนแรกมีมนุษย์ดินขนาดเท่ากำปั้น มันนั่งลง ไม่มีใบหน้าแต่ร่างกายสับเปลี่ยนระหว่างชุดเกราะและรูปร่างมนุษย์

กลิ่นอายธาตุดินพวยพุ่งออกมาจากมัน ดูคล้ายกับผสานเข้ากับทรายที่นี่จนทำให้ผืนทรายเคลื่อนไหวรุนแรง

หวังหลินไม่รู้เรื่องชุดเกราะจากสำนักกุ้ยยี่มากนักแต่เขาเคยเห็นมาบ้างในโลกถ้ำและมีคนของสำนักกุ้ยยี่ได้มอบให้แก่ผู้ส่งสาส์น

ทว่าชุดเกราะพวกนั้นไม่สามารถเปรียบเทียบในแง่รูปลักษณ์หรือกลิ่นอายกับเกราะมนุษย์ข้างในก้อนแสงนี้ได้! แม้หวังหลินจะไม่ได้รู้อะไรมากนักแต่ก็พอบอกได้ว่าพวกมันไม่ได้มีระดับเดียวกัน

เกราะรูปร่างมนุษย์นี้แม้แต่ในสำนักกุ้ยยี่ก็ยังเป็นสิ่งหายาก! หวังหลินไม่รู้ว่าบรรพชนกระทิงเขียวต้องแลกกับอะไรมาถึงสามารถเอามาให้หวังหลินได้

หวังหลินขบคิดเงียบๆ

ภายในก้อนแสงที่สองเป็นใบเรือสีดำขนาดเล็ก พูดให้ถูกคือมันเป็นใบเรือหน้าผี กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมาทำให้ผู้คนต้องหลงทางอยู่ในความฝัน

หวังหลินสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของใบเรือหน้าผีที่ถูกใช้เป็นค่ายกลป้องกันสำนักมหาวิญญาณ หากหวังหลินเดาถูก เช่นนั้นนี่คือใบเรือหน้าผีระดับสูงที่เป็นส่วนหนึ่งในรางวัลสำหรับการสังหารหวังหลิน!!

พอมองใบเรือหน้าผีอันเล็กนี้แล้ว หวังหลินรู้สึกอธิบายไม่ถูก

ใบเรือหน้าผีป้องกันสำนักนั้นสำคัญยิ่งต่อสำนักมหาวิญญาณ แต่บรรพชนกระทิงเขียวกลับมอบให้เขาอย่างไม่คาดคิด

หวังหลินได้แต่ขบคิดต่อไป

ภายในแสงสีเขียวก้อนที่สามมีลูกปัดสีน้ำตาล ลูกปัดนี้มีขนาดเท่ากับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า แม้แต่กลิ่นอายยังคล้ายคลึงกัน หลังจากมองดูแล้วหวังหลินเกิดภาพเลือนลางเหมือนกำลังมองดูลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าที่ผสานเข้ากับวิญญาณเขา

‘นี่มัน…’ หวังหลินตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาค้นพบว่ามันเหมือนกับลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าแต่ไม่ใช่ทั้งหมด

แม้จะคล้ายกันแต่ก็เหมือนการเทียบหิ่งห้อยกับดวงจันทร์ ฝั่งหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ส่วนอีกฝั่งเป็นได้แค่ดาวอับแสง

หวังหลินสัมผัสกลิ่นอายกระทิงสวรรค์จากลูกปัดนี้ได้ แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรเขาก็พอจะเดาได้บ้าง มันเกี่ยวข้องกับกระทิงสวรรค์อย่างล้ำลึก

สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับกระทิงสวรรค์ล้วนเป็นสมบัติสำคัญต่อแคว้นกระทิงสวรรค์ มันคงไม่มอบให้ใครง่ายๆ หรือคงไม่อนุญาตให้นำออกไปจากแคว้นกระทิงสวรรค์ ทว่าลูกปัดนี้ถูกส่งมาหาหวังหลิน แม้จะมีน้ำหนักเบาแต่กลับส่งผลต่อจิตใจหวังหลินอย่างใหญ่หลวง

ก้อนแสงที่นี่มีกระดองเต่าแตกหักที่เต็มไปด้วยลวดลายบางอย่าง พอมองดูด้วยตาเปล่าจะพร่ามัว แต่เมื่อใช้สัมผัสวิญญาณมองดูหวังหลินจึงหันกลับไปที่สำนักมหาวิญญาณทันที

ดูเหมือนเขาได้เห็นชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในภูเขาฟ้าเขียวของสำนักมหาวิญญาณ ชายชราคนนั้นกำลังยิ้มมาให้เขา ยกแขนขวาขึ้นมาราวกับกำลังกล่าวลาหวังหลิน

กระดองเต่านี้มีแผนที่ของทั้งแผ่นดินฝั่งตะวันออก มันไม่ได้มีรายละเอียดมากนักและยิ่งห่างไกลจากแคว้นกระทิงสวรรค์ก็ยิ่งจะพร่ามัว ส่วนใหญ่เป็นเค้าโครงหยาบๆและอธิบายง่ายๆ

แต่แผนที่นี้สำคัญต่อหวังหลินที่สุด!

ภายในกระดองเต่า นอกจากแผนที่แล้วยังมีคำอธิบายลูกปัดกระทิงสวรรค์อย่างละเอียดจนหวังหลินเกิดความเข้าใจมหาศาล

บรรพชนกระทิงเขียวทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ มันไม่ใช่ข้อความสัมผัสวิญญาณแต่ถูกสลักเอาไว้ในกระดองเต่า

“ขอให้เดินทางปลอดภัย…อีกสามร้อยปี กลับมาเจอกันที่สำนักมหาวิญญาณ…” ไม่มีคำอธิบายและไม่ได้พูดถึงสามเงื่อนไข จบเวรกรรมของหวังหลินกับแคว้นกระทิงสวรรค์ด้วยประโยคเดียว

หวังหลินเผยท่าทีซับซ้อน ผ่านไปสักพักจึงเก็บใบเรือหน้าผีและเกราะรูปร่างมนุษย์เอาไว้ เขาถือลูกปัดกระทิงสวรรค์และเก็บวิญญาณกระทิงสวรรค์ไว้ข้างใน ตอนนี้เขาสามารถพามันไปทุกที่ที่เขาต้องการได้แล้ว

สุดท้ายหวังหลินจึงเก็บกระดองเต่าด้วยความระมัดระวังและมองไปทางสำนักมหาวิญญาณ เขาคำนับฝ่ามือและโค้งตัว

“ข้าจะกลับมา…” หวังหลินพึมพำก่อนจะหันตัวกลับ ทะยานเข้าสู่ท้องฟ้า เข้าหาชายแดนตามแผนที่ เขากำลังจะไปสำนักตงหลิน!

สำนักตงหลินอยู่ทางทิศเหนือของแผ่นดินฝั่งตะวันออกซึ่งอยู่ในแคว้นมหาปราชญ์ มันห่างจากแคว้นกระทิงสวรรค์ถึงห้าแคว้น! ซึ่งอยู่ไกลมากและการเดินทางยังต้องใช้เวลาหลายปี แม้จะมีวิชาบิดมิติแต่หวังหลินไม่สามารถใช้ได้ถี่ๆ อาจทำให้เขาต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองปีกว่าจะไปถึง

การมุ่งหน้าสู่สำนักตงหลินยังต้องผ่านที่หนึ่งนั่นคือแคว้นมารเขียว! หากเขาอ้อมไปคงเสียเวลามากกว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ห้าแคว้นและอาจมีอันตรายอีกมาก

หลังจากขบคิดเพียงชั่วขณะ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นมา เขาคาดเดาว่าการเปลี่ยนแปลงในสำนักมหาวิญญาณและสำนักกุ้ยยี่นั้นเกี่ยวข้องกับแคว้นมารเขียว เขาไม่รู้ว่าเขาเดาถูกหรือผิด แต่หากเดาถูกต้อง คงอาจจะมีคนรอเขาอยู่ที่ชายแดนของแคว้นกระทิงสวรรค์

แม้การเข้าไปยังแคว้นมารเขียวจะดูอันตราย แต่ตอนนี้แทบจะว่างเปล่า บางทีสถานที่ที่อันตรายที่สุดอาจเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

นอกจากนี้คงมีน้อยคนมากที่จะคิดว่าหวังหลินกล้ามุ่งหน้าไปยังแคว้นกระทิงสวรรค์ตัวคนเดียว…

หลังจากตัดสินใจได้ หวังหลินจึงเปลี่ยนทิศทางและใช้วิชาบิดมิติเข้าสู่ทะเลโอสถ เขาพุ่งทะยานไปด้วยความระมัดระวัง

เมื่อถึงตอนที่ไม่สามารถใช้บิดมิติได้ เขาก็ไม่ได้เหาะเหินผ่านอากาศ ตอนนี้ทุกคนในแคว้นกระทิงสวรรค์เป็นศัตรูกับเขา ไม่ว่าจะเป็นเซียนจากแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ ตราบใดที่พวกนั้นจดจำเขาได้ก็จะเป็นการไล่สังหารแน่นอน

เซียนทั่วไปในแคว้นกระทิงสวรรค์รู้แต่เพียงสาส์นวิญญาณ ไม่ได้รู้รายละเอียด

แต่หวังหลินไม่อยากสังหารเซียนจากแคว้นกระทิงสวรรค์ ดังนั้นแล้วเมื่อเขาไม่สามารถใช้บิดมิติได้ก็จะมุดดินเข้าไป พอเวลาผ่านไปสักพักก็จะพุ่งออกมาอีกครั้ง

ทำให้การเดินทางของเขาค่อนข้างช้าลงไปมาก เมื่อหวังหลินเคลื่อนที่ผ่านทุ่งยอดนภาและใช้บิดมิติมาถึงทะเลโอสถ เวลาก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว

พื้นที่แถบนี้ของแคว้นกระทิงสวรรค์เป็นฤดูหนาว หิมะกำลังตกลงมาจากท้องฟ้าและเกิดพายุหิมะกินระยะทางหลายหมื่นลี้

ยังต้องใช้เวลาครึ่งเดือนกว่าที่หวังหลินจะใช้บิดมิติได้อีกครั้ง เขาใช้เวลานี้ปิดด่านบ่มเพาะและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ สองขาก้าวไปบนหิมะและเผชิญหน้ากับสายลมหนาว

ห่างจากเขาไปไม่ไกลนักมีเมืองธรรมดาปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนทอประกาย กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ผสมผสานกับหิมะทำให้ดูงดงามและสงบเงียบ

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังหลินกำลังเข้าไปในโลกของคนธรรมดาในแผ่นดินเซียนดารา แม้ที่นี่ยังคงห่างจากทะเลโอสถ ถึงจะอยู่ในระแวกเดียวกันแต่มันไม่ได้ถูกทำลายไปตอนที่ทะเลโอสถพังทลาย

ไม่ควรมีคนธรรมดาคนใดตายเนื่องจากการพังทลายของทะเลโอสถ ตามตำนานของทะเลโอสถที่คงอยู่มาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ พวกเขาได้ทำให้พื้นที่รอบทะเลโอสถกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามสำหรับเหล่าคนธรรมดา

แต่หากเม็ดยาสวรรค์ระเบิดอยู่ใกล้แคว้นกระทิงสวรรค์มากกว่านี้ เมืองเบื้องหน้าหวังหลินคงหายวับไปในพริบตา

พายุหิมะเริ่มรุนแรงยิ่งขึ้น

สายลมหวนราวกับวิญญาณปิศาจกำลังร่ำร้องอยู่ในท้องฟ้า ควันที่กำลังพวยพุ่งพลันแตกสลายก่อนจะรวมตัวกัน ผู้คนในเมืองทั้งหมดสวมชุดผ้าฝ้ายและรีบเดินก้มหน้ากลับบ้านของตัวเอง

เวลานี้หวังหลินได้เดินเข้าไปในเมือง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!