Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 2023

Cover Renegade Immortal 1
BC

2023. เต็มไปด้วยความโกรธแค้น 2

นางถอนหายใจ จริงๆ แล้วนางไม่ได้ชอบความมีชีวิตชีวาเช่นนี้ โดยเฉพาะสายตาหวังหลินได้ทำให้นางรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แม้แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องนี้ขึ้น

C

แต่ทุกครั้งที่นางพยายามคิดหาเหตุผล นางจะรู้สึกสับสนยิ่งขึ้น

นางลุกขึ้นเบาๆ ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังและส่งจอกสุราให้ มันลอยอยู่ด้านหลังนางขณะที่เดินออกไปนอกวัง เข้าสู่ลานกว้างและเปิดทางสู่หวังหลิน

หวังหลินนั่งก้มศีรษะอยู่ตรงนั้น เพียงชั่วเวลาสั้นๆ เขาดื่มไปแล้วเจ็ดถึงแปดขวด หวังหลินมองขึ้นไปเห็นนางยืนอยู่ตรงหน้า สายตาเขาเริ่มจะพร่าเลือนอีกครั้ง

“เจ้า…” นางมองหวังหลินและกำลังจะเอ่ยปาก

“เจ้ารู้วิธีการดีดพิณหรือไม่…” หวังหลินถามอย่างขมขื่น จากนั้นเขาก็ส่ายศีรษะและหัวเราะกับตัวเอง หยิบขวดสุราขึ้นมาแตะจอกสุราในมือนาง พอยกดื่มไปหมดทั้งขวด มันเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงและลอยออกไปไกล

หยดสุราสาดกระจาย หนึ่งหยดกระทบใส่ใบหน้านาง มันเย็นมาก

“หวานเอ๋อร์…วิญญาณเจ้าอยู่ที่ไหน!?” หวังหลินหายตัวไปในท้องฟ้า แต่นางยังได้ยินเสียงเขาเลือนลาง

น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า นางไม่ใช่คนเดียวที่ได้ยิน ยังมีคนบางส่วนในลานกว้างและบนแท่นลอยฟ้าที่ได้ยินเช่นกัน จักรพรรดิเต๋าเองก็ได้ยินและผุดรอยยิ้มบนมุมปาก เขายกขวดสุราขึ้นมาดื่มไปหนึ่งจิบ

ทั้งจักรพรรดิเต๋าและหวังหลิน หรือคนอื่นๆ ต่างก็ไม่เห็นว่าตอนที่นางได้ยินคำว่า “หวานเอ๋อร์” นางเผยสีหน้าดิ้นรนและสับสน ทว่าไม่นานก็หายไป สีหน้านางเริ่มว่างเปล่า

นางก้าวเดินกลับมาในวังด้วยความว่างเปล่า ด้านหลังมีงานเลี้ยงที่เริ่มขึ้นอย่างมีชีวิตชีวา

‘หวานเอ๋อร์…ข้าจะพลิกผืนฟ้าเพียงเพื่อค้นหาเจ้า…’

‘หวานเอ๋อร์…ข้าอยากจะจุดท้องฟ้าให้กลายเป็นเปลวเพลิงเพื่อหาเหตุผลให้เจ้าไม่หลับตาลง’

‘หวานเอ๋อร์…ข้าอยากเขย่าโลกทั้งใบด้วยสายฟ้าเพียงเพื่อให้เจ้าได้ยินเสียงข้า’

‘หวานเอ๋อร์…ข้าเดินทางมาหลายล้านลี้และผ่านโลกนับไม่ถ้วนเพียงเพื่อตามหาลมหายใจของเจ้า’

‘หวานเอ๋อร์…ข้ายอมกลายเป็นจอมมาร ฝืนลิขิตสวรรค์เพื่อล้มล้างฟ้าดิน ข้ายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าอย่างเยือกเย็นและโดดเดี่ยวเพื่อให้เจ้าลืมตาขึ้นมามองข้าให้ได้’

‘หวานเอ๋อร์ วิญญาณเจ้าอยู่ไหน!?!’

หยาดน้ำตาของหวังหลินไหลลงเป็นสาย เขาเดินผ่านเมืองหลวงอันส่องสว่าง ก้าวเดินอย่างเงียบเชียบ แผ่นหลังเผยความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง

ความโศกเศร้าของเขาฝังอยู่ในใจมาตลอดและถูกปกคลุมด้วยความเฉยเมยเสมอมา มันไม่ยอมปรากฏขึ้นมาอย่างง่ายดาย แต่ตอนที่เขาได้เห็นบรรยากาศอันคุ้นเคยนั้น หวังหลินไม่สามารถบิดบังและหลอกตัวเองได้อีกแล้ว น้ำตาจึงไหลรินลงมา

ขณะที่ก้าวเดินต่อไปอย่างเงียบงัน หยาดน้ำตาไหลหยดลงหลังคาบ้านที่เขาทะยานผ่าน เสียงแห่งความสุขจากในวังดังขึ้นมาได้ยินแต่หวังหลินไม่อยากฟัง เขาต้องการหาสถานที่อันสงบเงียบของตัวเองและนึกถึงอดีต

หวังหลินกลับมาที่อารามเต๋า กลับมาที่บ้านของตัวเอง นั่งลงในบ้านและไม่มีจิตใจจะบ่มเพาะหรือมองดูตะวันมหาชั้นฟ้าในถ้ำอีกแล้ว เขามองไปยังโลกสีสันสดในด้านนอกอยู่นาน…

‘ข้ามีระดับบ่มเพาะสูงเสียดฟ้า…แต่แล้วอย่างไรเล่า…’

‘ข้าฝืนลิขิตสวรรค์…แต่แล้วอย่างไรเล่า…’

‘แม้ข้าจะเป็นองครักษ์ของอาณาเขตเต๋า ข้าก็ไม่สามารถค้นหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์ให้เจอได้…’ หวังหลินมีใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาไม่ยอมขบคิดถึงปัญหานี้ เขาใช้ระดับบ่มเพาะมาเป็นข้ออ้างแก้ตัวและหลอกตัวเอง พร่ำบอกตัวเองว่านี่คือความหวังเดียวในการตามหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์

ทว่าเขาหลอกตัวเองมาเป็นพันปี แต่ตอนนี้พอได้เห็นซ่งจื่อที่ดูเหมือนหวานเอ๋อร์ เขากลับไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หวังหลินขังตัวเองอยู่ในบ้าน ต้านทานความเจ็บปวดทิ่มแทงจิตใจ เขานึกถึงความทรงจำในอดีต ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยว…

เช่นเดียวกับบรรพชนแห่งสำนักตงหลิน ผู้อยู่ในสำนักไร้ชีวิตและอยู่กับความทรงจำของตัวเอง

‘ในโลกนี้…จะมีใครที่มีบรรยากาศเช่นนี้อีก…แต่นางไม่ใช่หวานเอ๋อร์ นางคือซ่งจื่อ…ข้าเคยเจอนางครั้งหนึ่งแล้วที่เมืองศิลาดำ…’ หลังจากนั้นหวังหลินก็ฝืนระงับความเจ็บปวดและความทรงจำในใจเอาไว้ เขาไม่ต้องการทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยง มันไม่ช่วยในการตามหาวิญญาณของหวานเอ๋อร์ขึ้นมาเลย

หวังหลินหลับตาพลางถอนหายใจยาว เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงเกิดเป็นความสงบนิ่ง แต่ส่วนลึกภายในยังคงมีความเศร้า

“ซ่งจื่อ…” เพียงหวังหลินพึมพำ เขายกแขนขึ้นมาและมีร่างเงาหนึ่งทับซ้อนกับตัวหวังหลินก้าวเดินออกมา มันเป็นร่างแก่นแท้ห้าธาตุและตรงกลางคือกลุ่มก้อนแสงสีทอง ภายในแสงมีร่างเงาหนึ่งซึ่งคือร่างแก่นแท้โลหะที่กำลังเกิดเป็นรูปร่าง

หวังหลินฝืนบังคับให้ตัวเองสงบลงและไม่คิดเรื่องอื่นอีก เขาบอกตัวเองว่าซ่งจื่อไม่ใช่หวานเอ๋อร์ เขาหลับตาลงและกำลังจะพึ่งพาระดับบ่มเพาะให้หยุดคิดถึงอดีต

แต่ขณะที่หวังหลินหลับตา เขาพลันลืมตาตื่นอีกครั้ง แววตาเผยประกายแสงสีทองและเกิดความตกตะลึง!

‘แบบนั้นไม่ถูก!!!’

‘ข้าเคยเจอซ่งจื่อแล้วที่นอกเมืองศิลาหิน ตอนนั้นนางไม่มีความรู้สึกเหมือนตอนที่อยู่ในวัง นางเป็นคนธรรมดามาก ธรรมดามาก แม้จะมีความสง่างามแต่ไม่เหมือนที่ข้ารู้สึกได้ในวัง!!’

หวังหลินร่างกายสั่นเทา

‘หากนางเหมือนกับที่อยู่ในวัง คงไม่มีทางที่ข้าจะสังเกตไม่ได้ตอนที่อยู่นอกเมืองศิลาดำ ข้าควรรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว!’

‘แต่ตอนนั้น ข้าไม่รู้สึกอะไรเลย จนมาตอนที่ข้าได้เจอนางอีกครั้งในวัง ข้าถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคย!!!’

‘มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!!’

‘จักรพรรดิเต๋าค้นหานางสนมมาหลายร้อยปีและในที่สุดก็เลือกได้หนึ่งคน ซ่งจื่อไม่ได้สวยงามไร้ที่ติ ดังนั้นทำไมนางถึงถูกเลือก…’

‘สตรีแบบไหนกันที่จักรพรรดิเต๋าใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อค้นหา…ทำไมซ่งจื่อถึงได้ให้ความรู้สึกแตกต่างเมื่อข้าได้เห็นนางอีกครั้งในวัง!?’

‘ทำไมข้าถึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจตอนที่เข้าไปในวังและหลังจากกลับมา? ทำไมถึงเกิดจิตสังหารตอนที่ข้าเห็นจักรพรรดิเต๋า? ทำไมมันถึงหายไปตอนที่ข้าได้เห็นซ่งจื่อ!?!’

หวังหลินยืนขึ้นทันที ร่างกายสั่นเทา ดวงตาเปล่งประกายเจิดจ้าและส่องสว่างไปทั้งบ้านไม้ เรือนผมพริ้วไหวไร้สายลมราวกับพลังที่ซ่อนเอาไว้กำลังปะทุ!

‘แต่ข้าตรวจนางด้วยสัมผัสวิญญาณแล้วและไม่เจออะไรผิดปกติ นางปกติมาก เพียงแต่บรรยากาศของนางเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกคุ้นเคย…’

‘แต่ทำไมถึงเป็นแบบนั้น…’ จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาไม่สามารถได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเร็วดุจรัวกลอง ความรู้สึกเช่นนี้หายากยิ่งสำหรับเขา เป็นความตื่นเต้น ความลังเล ปะปนไปด้วยความสงสัยและสับสน ทั้งยังสั่นเทาจากความไม่เชื่อหรือไม่แน่นอนอีก

คล้ายกับเปลวเพลิงกำลังถูกข่มอยู่ในใจแต่ก็ถึงจุดที่มันกำลังระเบิด!

‘การคัดเลือกหลายร้อยปี…ความแตกต่างครั้งใหญ่ระหว่างซ่งจื่อก่อนหน้าและตอนนี้…ท้ายที่สุดแล้วนี่มันเป็นความลับอะไรถึงทำให้ข้าเป็นบ้าขนาดนี้!!’ หวังหลินมีใบหน้าบิดเบี้ยวและแทบไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาต้องการมุ่งหน้าเข้าไปในวังและจับจักรพรรดิเต๋ามาค้นวิญญาณเสียให้สิ้น!

แต่…เขาทำไม่ได้!!

เขาคือศิษย์ของซวนลั่วและซวนลั่วคือองครักษ์ของอาณาเขตเต๋า ซวนลั่วคืออาจารย์เขาและช่วยหวังหลินไว้อย่างมาก!! หากไม่มีหลักฐานใดและมุ่งหน้าเข้าวังเพื่อสังหารจักรพรรดิ หวังหลินคงไม่สามารถรอดชีวิตได้แน่ เขาคงไม่มีหน้าไปเจออาจารย์ที่ช่วยเหลือเขาไว้อย่างมากมาย!

หวังหลินดวงตาเป็นประกายและยกแขนขวา หินหยกสีดำก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ!

หินหยกก้อนนี้เปล่งแสงสีดำและน่าขนลุก หากมองเข้าไปอาจถูกมันกักขังเอาไว้ได้ หินหยกก้อนนี้บรรพชนกระทิงเขียวมอบให้ตอนที่อยู่ในสำนักมหาวิญญาณ ได้มาจากอัจฉริยะของเผ่าต้าวหวังผู้วางแผนทุกอย่างเพื่อให้เผ่าพันธุ์ได้รับอิสระ อัจฉริยะผู้นำสมองและหัวใจของตัวเองออกมาและคุกเข่าเบื้องหน้ารูปปั้นหวังหลินเพื่ออ้อนวอนขอร้องให้ยกโทษ ทั้งยังดูเหมือนเป็นการให้น้ำหนักความสำคัญไปที่สมองและจิตใจของเขาไปด้วย!

‘หินหยกก้อนนี้สามารถช่วยท่านทำนายอนาคตได้หนึ่งครั้ง…’ หวังหลินคิดถึงคำพูดที่ออกมาจากหินหยก

หวังหลินบดขยี้หินหยกโดยไม่ลังเลและพึมพำบทร่าย เปิดฝ่ามือขวาออกทำให้หินหยกเปลี่ยนกลายเป็นควันสีดำควบแน่นกลายเป็นคนตัวเล็กโขกคำนับในฝ่ามือหวังหลินถึงเก้าครั้ง!

วินาทีนั้นจิตใจหวังหลินเลือนลางและเห็นโลกถ้ำ เขาเห็นฝ่ามือผลึกใสได้หยิบเอาเศษวิญญาณของลี่มู่หวานไปจากเต๋าแห่งสวรรค์!

ภายในห้อง เขาเห็นร่างเงาเลือนลางปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้งกำลังถือลูกปัดก้อนหนึ่งอยู่ในมือ ลูกปัดก้อนนี้มีเศษวิญญาณของลี่มู่หวาน!

เขาได้ยินร่างเงาเลือนลางกระซิบบางอย่างที่ทำให้ชายชุดคลุมสูงศักดิ์ผู้นั้นตกตะลึง

หวังหลินเห็นท่าทีประหลาดใจ จากนั้นชายชุดคลุมสูงศักดิ์จึงได้นำวิญญาณไป เขาใช้เวลาหลายร้อยปีเพื่อค้นหานางสนมให้มาผสานวิญญาณแต่ก็ล้มเหลว จนในที่สุดหวังหลินก็เห็นสตรีที่มีใบหน้าคุ้นตา นางคือซ่งจื่อและนางผสานวิญญาณด้วยกันได้

เขาเห็นชายชุดคลุมสูงศักดิ์บีบแก้มนางจนเกิดความเจ็บปวดและนางมีหยาดน้ำตาไหลลงมาทั้งที่ไร้สติอยู่ในวัง

และเขาได้ยินคำพูดจากชายชุดคลุมสูงศักดิ์!

ชายชุดคลุมสูงศักดิ์นั่นคือจักรพรรดิเต๋า!

“เย่ต้าว! ข้าจะไปฆ่าเจ้า!” หวังหลินลืมตา มันแดงก่ำจากความบ้าคลั่งเรือนผมพริ้วไหว หวังหลินปล่อยเสียงคำรามที่อาจฉีกกระชากสรวงสวรรค์และทำลายล้างพลังแห่งราชวงศ์!

เสียงคำรามสัมผัสได้ถึงความบ้าคลั่งและความโกรธเกรี้ยวอยากทำลายล้างโลก ไม่ยอมถอยแม้จะสูญสิ้นชีวิต!

เป็นเสียงคำรามรุนแรงที่สุดที่หวังหลินปล่อยออกมาตั้งแต่เกิดและทำให้โลกสั่นสะเทือน!!

นี่คือความโกรธแค้นของหวังหลิน!

……………………………………………….

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!