234. เถิงฮว่าหยวน
หนึ่งวันถัดมาชายหนุ่มผู้มีกลิ่นอายชั่วร้ายจดจ้องด้วยแววตาเยือกเย็นไปบนพื้นซึ่งปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์
คนผู้นี้คือเซียนที่เร่งรีบมาที่นี่จากแคว้นฮัวเฝิน หากใครสักคนรู้ว่าชายคนนี้ได้ใช้เวลาไม่กี่เดือนเพื่อเดินทางจากฮัวเฝินมาทะเลปิศาชั้นในคงหวาดกลัวนัก ระยะทางระหว่างฮัวเฝินและทะเลปิศาจนับว่ามหาศาลเกินบรรยาย
แม้กระทั่งตวนมู่ยังต้องใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ เขากล่าวครั้งหนึ่งว่าหากเหาะเหินคงใช้เวลาหลายร้อยปีด้วยระดับตัดวิญญาณของเขา
ทำให้ระดับความเร็วของชายหนุ่มผู้นี้นับว่าเหนือจินตนาการ
ความจริงแล้วเหตุผลที่ชายหนุ่มคนนี้มาที่นี่ได้เร็วนักไม่ได้เกี่ยวกับระดับฝึกฝนขั้นแปลงวิญญาณของเขา หลักๆแล้วคือวิชาลับของตระกูลเรียกว่า วิชาค้นหาภูติ
วิชานี้คือการใช้ร่างอวตารหลายร่างเดินทางออกไปในทิศทางแตกต่างกันทั้งหมดจากนั้นรวมกลับเข้าด้วยกันซึ่งจะทำให้ระยะทั้งหมดแต่ละร่างอวตารเข้าสู่ร่างหลัก วิธีนี้ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นนับร้อยเท่าและทำให้เขามาถึงที่นี่ในเวลาเพียงแค่สองเดือน
สายตาของเขามืดลงขณะจ้องไปที่พืชใต้ฝ่าเท้าพร้อมกับค่อยๆลดลงไป พืชทั้งหมดไร้การเคลื่อนไหวราวกับตายลงเมื่อเขามาถึง
เขามองไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเสียหายนั้น ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ได้รับความเสียหายหนักและไม่สามารถซ่อมแซมได้อีกต่อไป นับว่ามันกลายเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ไร้ประโยชน์
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจและพึมพำกับตัวเอง “มีคนไม่มากในดาวเคราะห์นี้ที่สามารถเปิดกระเป๋าของข้าได้ ด้วยระดับฝึกฝนที่ไม่เสถียรของข้าตอนนี้หากข้าไม่กลับดาวเคราะห์บ้านเกิดในไม่ช้า ระดับฝึกตนของข้าจะลดลงมากกว่านี้…” เขาขมวดคิ้วบางและหายตัวไป
ณ ทวีปคง หนึ่งในหกทวีปหลักของดาวเคราะห์ซูซาคุ
มีแคว้นเซียนนับไม่ถ้วนในทวีปคงแต่ส่วนใหญ่มีอันดับหนึ่งหรือสอง บางส่วนอันดับสามและมีน้อยมากที่อันดับสี่ นอกจากนั้นทรัพยากรของทวีปนี้นับว่าแร้นแค้นอย่างมาก
ที่ชายแดนของทวีปคงและทะเลปิศาจมีหมู่บ้านชายแดนเล็กๆอยู่หมู่บ้านหนึ่ง เมืองนี้ไม่ได้ใหญ๋มาก คนแข็งแกร่งสุดเพียงแค่ขั้นแกนลมปราณเท่านั้น ทว่าในเมืองแห่งนี้มีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่หนึ่งแห่ง
ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้พลันสว่างขึ้นและร่างหวังหลินเดินออกมาในไม่ช้า
หลังจากเขาปรากฎตัวจึงกระจายสัมผัสวิญญาณออกทันทีและตรวจสอบทั่วทั้งเมือง ขณะที่กระจายสัมผัสวิญญาณออก ทุกคนในเมืองรู้สึกกระดูกสันหลังเย็นวาบแต่ความรู้สึกนี้หายไปอย่างรวดเร็ว
หวังหลินถอนสัมผัสวิญญาณออกพลันหายตัวไปจากจุดนั้น เขาเคลื่อนที่ไปตามแผนที่ในใจ เมื่อเขาห่างออกจากเมืองได้หลายพันลี้จึงตบกระเป๋าและอสูรยุงปรากฎตัวเบื้องหน้าทันที
หวังหลินกระโดดขึ้นไปบนหลังมัน จากนั้นส่งข้อความให้อสูรยุง มันคำรามหนึ่งครั้งและพุ่งไปเบื้องหน้า
หวังหลินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเขาพบสถานที่ต่างๆมากมายที่เต็มไปด้วยเซียนแข็งแกร่ง ชัดเจนว่าสถานที่พวกนี้คือสำนักในพื้นที่แห่งนี้
หวังหลินไม่หยุด เขาเดินทางผ่านเส้นทางในแคว้นแห่งนี้ หลังผ่านไปสิบวันเขาผ่านแคว้นอับดับหนึ่งและแคว้นอันดับสองมานับไม่ถ้วนและมาถึงจุดหมายปลายทางคือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งที่สอง
ผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไปเขาจะเข้าใกล้แคว้นจ้าวได้อย่างรวดเร็ว ทว่าเมื่อเขาห่างจากค่ายกลเคลื่อนย้ายในระยะหนึ่งพันลี้จึงเริ่มขมวดคิ้วอย่างช้าๆ
จากแผนที่ ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้อยู่ในภูเขาแห่งหนึ่งแต่หวังหลินรู้สึกได้ว่ามีสิ่งก่อสร้างจำนวนมากในพื้นที่แห่งนี้ พื้นที่ยังเต็มไปด้วยพลังปราณและบ่งบอกได้ว่าตอนนี้มันเป็นพื้นที่ฝึกฝน
ระหว่างการตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ เขาเห็นเด็กหนุ่มแววตามุ่งมั่นหลายคนนอกโถงหลักแห่งหนึ่งพร้อมกับศิษย์ขั้นรวบรวมลมปราณไม่กี่คน ชัดเจนว่านั่นคือพิธีการคัดเลือกศิษย์
ในเวลาเดียวกันถนนบนภูเขา มีเด็กหนุ่มบางส่วนที่เดินขึ้นภูเขาด้วยความพยายาม
มองฉากอันคุ้นเคยเบื้องหน้า ในใจหวังหลินรู้สึกเสียใจ เขาไม่รู้ว่าสำนักเหิงยั่วจะเป็นเช่นไรในวันนี้ แม้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกมีความสัมพันธ์เบื้องลึกกับสำนักเหิงยั่วมากนักแต่มันยังเป็นสำนักที่พาเขาเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตน
หวังหลินขับขี่อสูรยุงตรงเข้าหาสำนักด้วยความรู้สึกซับซ้อนในใจ เมื่อเขาเข้าใกล้ในระยะหนึ่งร้อยลี้จากสำนัก แสงสีขาวสั้นๆปรากฎขึ้นป้องกันเขาไม่ให้เข้าไปในสำนัก
โดยไม่ต้องรอให้มีคำสั่งอันใด อสูรยุงร้องคำรามและใช้งวงแหลมคมของมันแทงเข้าใส่แสง จากนั้นมันสูดเข้าไปและเสาแสงเกิดรอยร้าวและในที่สุดก็ป่นปี้
ทำให้ใบหน้าของเซียนขั้นแกนลมปราณจำนวนน้อยที่ปิดด่านฝึกตนอยู่พลันเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกับออกมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาจดจ้องหวังหลินอย่างตกตะลึงพร้อมกับอสูรยุงใต้ฝ่าเท้าเขา พวกเขารีบตะโกนไปที่เหล่าศิษย์ให้หยุดพิธีรับสมัครและรีบเร่งให้มารอการมาถึงของหวังหลินข้างหน้าโถงหลัก
ทันทีที่หวังหลินมาถึง เซียนขั้นแกนลมปราณจำนวนสามคนได้ขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างเคารพ “พวกเราขอทักทายผู้อาวุโส” ทั้งสามคนต่างหวาดกลัว แม้หวังหลินไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณทว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ทำให้หัวใจพวกเขาสั่นเทาได้
โดยเฉพาะอสูรใต้ฝ่าเท้าหวังหลินนั้น มันทำให้พวกเขากลัวที่สุดราวกับสามารถทำให้เกิดภัยพิบัติตกใจพวกเขาได้
ในเหล่าเซียนขั้นแกนลมปราณสามคนนี้มีสองบุรุษและหนึ่งสตรี หนึ่งบุรุษมีผมสีขาว อีกสองคนยังดูอ่อนเยาว์โดยเฉพาะเซียนสตรีคนนั้นที่ดูสวยและสง่างามอย่างมาก
ถึงอย่างนั้นท่านไม่สามารถตัดสินเซียนจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ แค่มองไปที่หวังหลิน แม้ว่าเขาจะดูเยาว์วัยแต่มีอายุมากกว่าสี่ร้อยปีไปแล้ว
หวังหลินมีใบหน้านิ่งเฉยขณะที่ตรวจสอบทั้งสามคนและถามขึ้น “ที่นี่คือสำนักอะไร?”
ชายชราในเหล่าสามคนรีบตอบอย่างเคารพ “ผู้อาวุโส สำนักของเราเรียกกันว่าซื่อหยุน หากผู้อาวุโสต้องการสิ่งใด เราจะช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ”
หวังหลินมองไปที่ชายคนนั้นและถามอย่างสงบนิ่ง “เคยมีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่นี่ มันยังอยู่ไหม?”
ชายชราตกตะลึง เขาขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยตอบ “ผู้อาวุโส ที่แห่งนี้ไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ” ขณะที่พูดจบพลันรู้สึกเสียวกระดูกสันหลังวาบ
กลิ่นอายของหวังหลินเปลี่ยนเป็นหนาวเย็นขณะที่ค่อยๆถาม “เจ้าแน่ใจหรือ?”
หน้าผากชายชราถูกปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ หลังคิดเล็กน้อยเขากำลังจะเอ่ยแต่เซียนสตรีคนสวยตัดบทเขาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “ผู้อาวุโส หรือว่าตำแหน่งของค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณจะอยู่บนยอดภูเขา?”
สายตาหวังหลินตกลงบนเซียนสตรีสาว แม้ว่านางไม่สามารถเปรียบกับลี่มู่หวานได้ แต่นางยังคงเป็นเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ โดยเฉพาะใบหน้าที่ขาวเนียนราวกับหยก
เมื่อสายตาหวังหลินจ้องไป ใบหน้าสตรีสาวค่อยๆขึ้นสีแดง นางรีบพูด “ผู้อาวุโส หากค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่บนยอดภูเขาเช่นนั้นผู้น้อยรู้จัก”
“นำทางไป!” หวังหลินเหาะเหินตรงไปที่ยอดภูเขา
หญิงสาวรีบติดตามไป เซียนขั้นแกนลมปราณอีกสองคนลังเลเล็กน้อยจากนั้นติดตามไปเช่นกัน
ภายใต้การนำทางของหญิงสาว พวกเขาก็มาถึงยอดภูเขาในไม่นานนัก มีบ้านขนาดใหญ่ที่นี่พร้อมกับกระดิ่งแขวนไว้ตรงมุม เสียงกระดิ่งดังคมชัดเป็นเสียงไพเราะ
หลังเซียนสตรีมาถึง นางพูดขึ้นด้วยใบหน้าขึ้นสีแดง “ผู้อาวุโส ที่นี่คือบ้านของผู้น้อย พื้นที่แห่งนี้เดิมที่ไม่ใช่ของสำนักซื่อหยุน ซึ่งทำไมศิษย์พี่ถึงไม่รู้เรื่องค่ายกลเคลื่อนย้าย ผู้น้อยพบทางเดินลับด้วยความโชคดีและพบว่ามีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ใต้สิ่งก่อสร้างนี้”
หวังหลินพยักหน้า ก่อนนี้ตอนที่เขาตรวจสอบพื้นที่ด้วยสัมผัสวิญญาณ เขาตรวจสอบที่แห่งนี้แต่ไม่พบอะไรเลย
ตอนนี้เขาตรวจสอบมันในระยะใกล้และพบทันทีว่ามีพลังปราณผันผวนอยู่ใต้พื้นดิน ชัดเจนแล้วว่ามีใครบางคนใช้วิชาหนึ่งเพื่อซ่อนค่ายกลนี้ไว้
เขาตกตะลึงอย่างมาก กล่าวได้ว่าจากแผนที่ ที่นี่เป็นเพียงแค่แคว้นอันดับสองแต่กลับมีวิชาที่เกือบจะหลอกสัมผัสวิญญาณได้เช่นนี้
ภายใต้การนำทางของสตรีสาว พวกเขาเดินเข้าไปในห้องนั้นขณะที่เดินเข้าไปพลันมีกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมา ข้างในนี้ดูสวยงามและดูผู้หญิงมาก
สายตาหวังหลินกวาดผ่านทั่วห้องและตกลงบนม่านหนึ่งเล็กน้อยแต่เขารีบถอนสายตาออกอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าสตรีสาวแดงยิ่งกว่าเดิม นางใช้เวลาชั่วขณะก่อนที่ศิษย์พี่ทั้งสองจะเดินเข้ามาในประตูรีบเคลื่อนย้ายม่านและเก็บชุดชั้นในโปร่งใสที่แขวนม่านไว้กลับไป นางลดศีรษะลงต่ำ ใบหน้าแดงจนไม่กล้ามองหวังหลิน
หวังหลินทำท่าว่าไม่ได้เห็นอะไรเลย ภายใต้การชี้นำของสตรีสาว พวกเขาเดินเข้าไปทางค่ายกลเคลื่อนย้าย แม้ว่าจะดูสงบนิ่งแต่หวังหลินระมัดระวังตลอดเวลา หากมีอะไรเกิดขึ้น หวังหลินจะลงมือโดยไม่ลังเลทันที
ใต้ห้องนี้หวังหลินเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ค่ายกลนี้ดูบำรุงรักษามาอย่างดีและสามารถใช้ได้
เขานำแกนพลังของอสูรวิญญาณระดับต่ำออกมาสองก้อนและโยนไปให้สตรีสาวพลางกล่าวว่า “ปรุงเม็ดยาด้วยของพวกนี้จะช่วยระดับฝึกฝนของเจ้าได้”
สตรีสาวมองแกนพลังและตกตะลึง นางเผยใบหน้ายินดีเมื่อรู้สึกว่ามีพลังปราณพุ่งพล่านภายในนั้น หากนางใช้เม็ดยาที่หลอมจากของพวกนี้ นางจะสามารถบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลายได้
นางรับพวกมันไว้อย่างระมัดระวังและเก็บใส่กระเป๋า
ช่วยไม่ได้ที่เซียนขั้นแกนลมปราณอีกสองคนจะเผยความอิจฉา
หวังหลินชำเลืองไปที่สองคนจากนั้นเดินเข้าหาค่ายกลเคลื่อนย้าย เขาสะบัดแขนและหมอกสายหนึ่งป้องกันคนข้างนอกไม่ให้มองดูข้างใน จากนั้นเขาหยิบหินวิญญาณระดับสูงออกมาและวางเข้าไปในรู
ค่ายกลเคลื่อนย้ายส่องสว่างและหวังหลินหายไปจากค่ายกลเคลื่อนย้าย
สตรีสาวมองค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ว่างเปล่าด้วยความเศร้าใจอยู่ในใจ ทันใดนั้นนางนึกถึงบางสิ่งขึ้นได้และใบหน้าขึ้นสีอีกครั้ง
จ้าว อยู่ที่ขอบสุดของทวีปคง มันไม่ได้เป็นแคว้นขนาดใหญ่ ความจริงแล้วมันมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่งของแคว้นฮัวเฝินเท่านั้น
แม้ว่าจะมีสายแร่วิญญาณอยู่ทว่าผลผลิตมีน้อยมากและเพียงพอให้จุนเจือแคว้นเท่านั้น ดังนั้นแม้พวกเขาจะเปิดเหมืองแร่ก็นับว่ายังมีขีดจำกัด
แต่เพราะความขาดแคลนสายแร่วิญญาณ สมุนไพรวิญญาณจึงหายากไปด้วย กล่าวได้ว่าแคว้นจ้าวเป็นแคว้นชายแดนที่มีขนาดเล็กมากๆ
ในปัจจุบันสำนักอันดับหนึ่งในแคว้นจ้าวก็คือแคว้นซวนต้าวและบรรพชนคือพั่วหนานจื่อ เขาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายในตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่ได้บรรลุขั้นตัดวิญญาณ ทว่าระดับฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นมหาศาลและเซียนระดับเดียวกันไม่สามารถเปรียบเขาได้เลย
นอกเหนือจากสำนักซวนต้าวก็คือสำนักดั้งเดิมของแคว้นจ้าวเช่นสำนักไร้ตัวตน ที่อาการไม่ดีนักและค่อยๆกลายเป็นสำนักชั้นสอง ในเวลาเดียวกันสำนักนิพพานและสำนักหยวนค่ายต่างก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน เพราะการคงอยู่ของพั่วหนานจื่อ สำนักพวกเขาจึงถูกผลักให้อยู่ชั้นสอง
สำหรับสำนักมารนั้น สำนักวิถีสวรรค์ สำนักเฮฮวนและสำนักหวู่เฟิงต่างทำได้ดี แม้จะไม่อาจเทียบกับพั่วหนานจื่อได้ทว่าพวกเขายังเหนือกว่าเหล่าสำนักดั้งเดิม
เพียงแค่อยู่ภายใต้การยึดเกาะพั่วหนานจื่อไว้ สำนักมารและสำนักดั้งเดิมแคว้นจ้าวจึงหยุดต่อสู้กันจำนวนมาก แม้ว่ายังมีเรื่องขัดแย้งกันบางส่วน ทั้งหมดต่างเป็นเรื่องเล็กที่ไม่เคยกลายเป็นเรื่องใหญ่เลย
กล่าวได้ว่าตอนนี้แคว้นจ้าวอยู่ภายใต้การควบคุมของพั่วหนานจื่ออย่างเบ็ดเสร็จ ค่อยๆพุ่งสู่แคว้นอันดับสี่ เมื่อพั่วหนานจื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณ การกลายเป็นแคว้นอันดับสี่จะเป็นเรื่องจริงอย่างง่ายดาย
นอกเหนือจากสำนักเหล่านี้ คนมีชื่อเสียงหลายคนปรากฎตัวในรอบสี่ร้อยปีนี้
เช่นอัจฉริยะของสำนักซวนต้าว หวังจัว คนผู้นี้ใช้เวลาสองร้อยปีเพื่อบรรลุด่านขั้นแกนลมปราณและอีกสี่ร้อยปีบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับปลาย การฝึกฝนด้วยความเร็วชนิดนี้นับว่าหายากมากในแคว้นจ้าว
นอกเหนือจากนี้ สำนักอื่นๆทั้งหมดต่างมีอัจฉริยะปรากฎตัวขึ้นเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลเถิง เหล่าอัจฉริยะกลับไม่ถึงมาตรฐานที่กำหนดได้เลย
ในสี่ร้อยปีที่ผ่านมานอกจากที่พั่วหนานจื่อเป็นที่รู้จักกันอย่างดี บุคคนอื่นๆที่โดดเด่นก็มาจากตระกูลเถิง
บรรพชนของตระกูลเถิง เถิงฮว่าหยวนที่มีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นเมื่อสี่ร้อยปีก่อน จากนั้นด้วยการช่วยเหลือของพั่วหนานจื่อ เชาบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายและกลายเป็นหนึ่งในเซียนขั้นแนวหน้าของแคว้นจ้าว
ในแคว้นจ้าวตราบใดที่มีคนบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด พวกเขาจะมีพลังมากและมีสถานะสูงส่ง แน่นอนว่าเฉพาะที่พวกเขาฟังคำสั่งของพั่วหนานจื่อเท่านั้น
พั่วหนานจื่อตั้งกฎไว้ว่าทุกคนในแคว้นจ้าวต้องติดตามเขา เขาไม่สนใจว่าจะใช้ทรัพยากรไปมากเท่าไหร่ เขาจะต้องสร้างเซียนขั้นตัดวิญญาณขึ้นมาเพื่อยกระดับแคว้นจ้าวไปสู่แคว้นอันดับสี่ให้ได้
เนื่องจากระดับฝึกฝนของเถิงฮว่าหยวนเพิ่มขึ้น สถานะของตระกูลเถิงก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โอกาสของตระกูลเพิ่มขึ้นและมีลูกหลานมากมายจึงทำให้กลายเป็นตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในแคว้นจ้าว
ลูกหลานของตระกูลแทบทั้งหมดจะเป็นศิษย์ของสำนักหลายแห่งและบางคนกระทั่งมีตำแหน่งสูงมากในสำนักเหล่านั้น
ในเวลาเดียวกันเถิงฮว่าหยวนหาลูกเขยให้ลูกสาวจำนวนมากเพื่อเสริมสร้างรากฐานของตระกูลเถิง หวังจัวก็เป็นหนึ่งในลูกเขยของตระกูลเถิงเช่นกัน
กล่าวได้ว่าตระกูลเถิงได้ผังรากหยั่งลึกในแคว้นจ้าวเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครมีความคิดเกี่ยวกับตระกูลเถิง แต่เวลาส่วนใหญ่เถิงฮว่าหวนไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย ความคิดต่อต้านกระกูลเถิงจึงค่อยๆหายไป
เรื่องที่เถิงฮว่าหยวนกำลังทำอยู่ พั่วหนานจื่อไม่มีคำถามสักนิดเลย เขาลงทุนพยายามก้าวผ่านไปสู่ขั้นตัดวิญญาณอย่างสุดความสามารถ
เมืองตระกูลเถิงได้ขยายออกมากกว่าสิบเท่าในที่ผ่านมาสี่ร้อยปี ตอนนี้มันเป็นเมืองขนาดใหญ่ที่รู้จักกันทั่วแคว้นจ้าว
มีห้องลับหนึ่งอยู่ใต้เมืองตระกูลเถิงไปหนึ่งร้อยฟุต ห้องนี้มีพลังปราณมากกว่าข้างนอกสิบเท่า เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะมันอยู่บนยอดของสายแร่วิญญาณ
แม้ว่าสายแร่วิญญาณนี้ไม่ได้ใหญ่มากแต่มันมีมากพอให้สำหรับการฝึกฝน เป็นเพราะบรรพชนตระกูลเถิงพบเกี่ยวกับสายแร่นี้ เขาใช้เวลาที่เมืองขยายออกเพื่อขุดลงไปสร้างห้องสำหรับตัวเองอย่างช้าๆ
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่แม้แต่พั่วหนานจื่อยังไม่รู้และมีเพียงสมาชิกของตระกูลเถิงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ มีเพียงบางคนที่กำลังจะทะลวงระดับถึงจะอนุญาตให้ใช้ห้องนี้ได้
ในวันนี้เองข้างในห้องลับใต้ดิน ชายชราคนหนึ่งมีผมสีขาวเต็มหัวลืมตาขึ้นเผยแววตาเฉียบคม
เขาคิ้วขมวด ตอนที่กำลังฝึกฝนพลันสัมผัสความรู้สึกกระหายเลือด ความรู้สึกนี้ทำให้พลังปราณในร่างกายตกอยู่ในความปั่นป่วน
ชายชราขบคิดเล็กน้อย ฝ่ามือขวาสร้างผนึกและพุ่งออกไปเป็นแสงสีขาวลอยเบื้องหน้า
เขากล่าวคำพูดอันซับซ้อนไม่กี่คำและในไม่นานนักแสงสีขาววูบวาบและสะเทือนเบื้องหน้าเขา ใบหน้าเขาพลันยิ่งค่อยๆเคร่งเครียดมากขึ้นและมากขึ้นเมื่อมองดูแสงไฟ
แต่ขณะนั้นแสงสีขาวสั่นอย่างรุนแรง มันหลุดออกจากการควบคุมและกระจายไปอย่างไร้ร่องรอย ใบหน้าชายชราพลันกลายเป็นมืดหม่น เขาพึมพำกับตัวเอง “ประหลาดนัก แม้แต่วิชาตรวจจับวิญญาณของพั่วหนานจื่อก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าตำแหน่งกระหายเลือดนี้มาจาก…”
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและแสงเยือกเย็นแล่นผ่านดวงตาพร้อมกับคิดขึ้น ‘ด้วยระดับการฝึกฝนของข้าในปัจจุบันและการเชื่อมต่อกับแคว้นจ้าว แม้เจ้าของกระหายเลือดนี้มาที่นี่ ข้าสามารถกำจัดได้อย่างง่ายดาย’
คนผู้นี้คือบรรพชนของตระกูลเถิงที่สังหารหวังหลิน เป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเถิง : เถิงฮว่าหยวน
ต้องขอบคุณกาลเวลา เขาดูแก่ขึ้นมากนัก แม้ว่าระดับฝึกฝนของเขาจะสูงมากเขายังแตกต่างจากคนที่ระเบิดหวังหลินได้อย่างชัดเจน
คนตระกูลเถิงทั้งหมดพลันรู้สึกเฉียบแหลมยิ่งขึ้น ความรู้สึกนี้ราวกับคนที่มีความสุขในการต่อสู้กลายเป็นคนเจ้าเล่ห์และฉลาดแกมโกงในชั่วข้ามคืน ซึ่งเป็นเรื่องตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เขาสูดหายใจลึกและหายตัวไปจากห้องลับ เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขาอยู่ในบ้านบรรพชนของตระกูลเถิง บ้านหลังนี้มีสามชั้นพร้อมกับมังกรหนึ่งตัวแกะสลักไว้ โดยรวมมันดูยิ่งใหญ่และเปล่งคลื่นพลังปราณออกมา
เมื่อเถิงฮว่าหยวนปรากฎตัว เขามาถึงที่ชั้นสาม บนชั้นสามมีแผ่นจารึกจำนวนมากพร้อมกับชื่อสลักไว้ในนั้น ทั้งหมดเป็นชื่อของสมาชิกหลักตระกูลเถิงที่ตายไป
สายตาเถิงฮว่าหยวนกวาดผ่านแผ่นจารึกและจรดลงบนหนึ่งแผ่นที่อยู่บนยอดหิ้ง อ่านชัดเจนว่า “เถิงลี่”
ที่ผ่านมากว่าสี่ร้อยปี ทุกครั้งที่เขารู้สึกอารมณ์เสียและไม่สงบใจ เขาจะมาที่นี่และมองไปที่จารึกนั้น ปกติแล้วมันเป็นหนึ่งกิจวัตรของเขา หลังเวลาผ่านไปนานเขาสะบัดแขนและแผ่นจารึกลอยเข้าสู่ฝ่ามือ เขากวาดแผ่นจารึกนั้นและพึมพำกับตัวเอง “ลี่เอ๋อร์ เจ้าตายตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยพรสวรรค์ของเจ้าหากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าคงมีขั้นวิญญาณแรกกำเนิดไปแล้ว…”
เขาถอนหายใจ วางแผ่นจารึกกลับและหันกลับเพื่อจากไป
ขณะนั้นนอกเมืองตระกูลเถิง ลำแสงกระบี่สองเส้นลินตรงมาที่เมือง ห่างไปหนึ่งร้อยฟุตเมื่อแสงกระบี่สองเส้นร่อนมาถึงเผยเป็นหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี
บุรุษเป็นชายวัยกลางคนและชราเล็กน้อยแต่ยังดูหล่อเหล่ามาก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนหล่อตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม คนผู้นี้สวมชุดคลุมสีขาวเต็มชุดให้ความรู้สึกเป็นเซียนคนหนึ่ง ส่วนสตรีสาวไม่ได้น่าทึ่งแต่มีกลิ่นอายสง่างามเล็ดลอดออกมา นางสวมชุดคลุมสีขาวเช่นกัน คิ้วของนางติดกันบ่งบอกว่านางมีปัญหาในใจ
ชายวัยกลางคนยกศีรษะขึ้นและมองไปที่ตระกูลเถิงด้วยแววตาซับซ้อน
หญิงสาวถอนหายใจและกระซิบ “หวังจัว เรื่องนั้นมันก็เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว เจ้ายังเข้าไปไม่ได้อีกหรือ?”
ชายวัยกลางคนหัวเราะและกล่าวอย่างเฉยเมย “ให้ไปหรือ? หากข้าสามารถปล่อยความขัดข้องใจของคนที่สังหารมารดาข้า บิดาข้าและทั้งสำนักข้า เช่นนั้นหวังจัวไม่ใช่คนแล้ว”
สตรีสาวครุ่นคิดเล็กน้อยและกระซิบ “ข้าเพียงกลับมาเพื่อหาน้องสาวข้าหรอกน่า ในอีกสามวันเราจะจากไป ในสามวันนี้อย่าทำอะไรห่ามๆหล่ะ ตกลงมั้ย?”
“เจ้าสบายใจได้ ก่อนที่ข้าจะแข็งแกร่งจนสังหารโจรเฒ่าคนนั้น ข้าไม่ทำอะไรแน่นอน” น้ำเสียงชายวัยกลางคนดูอ่อนโยนและเมื่อพูดจบเขาเดินตรงไปข้างหน้าทันที
หญิงสาวลอยถอนหายใจขณะที่นางรีบติดตามและเดินเข้าเมืองตระกูลเถิงพร้อมกับหวังจัว
ขณะที่นางเดินพลางกระซิบ “หวังจัว เจ้าไม่ควรจะดุด่าเรื่องนี้กับท่านบรรพชน คนที่เจ้าควรจะเกลียดคือหวังหลิน แม้เขาจะตายไปแล้ว เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะเขา”
ชายวัยกลางคนพลันหยุดลงทันที เขาหันกลับมาและพูดทีละคำ “เถิงซิ่วซิ่ว ข้าบอกเจ้าแล้วว่าห้ามพูดชื่อหวังหลินต่อหน้าข้า วันนี้ข้าจะเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ากล้านำเขาขึ้นมาอีกครั้ง อย่ากล่าวหาว่าข้าโหดเหี้ยม”
สตรีสาวนามว่าเถิงซิ่วซิ่วครุ่นคิดเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีกแต่เดินไปที่เมืองตระกูลเถิงพร้อมกับหวังจัว
ขณะนั้นที่ขอบของแคว้นจ้าวในหุบเขาที่ไม่รู้จัก มีลำแสงสว่างกระพริบเกิดขึ้น ในไม่ช้าลำแสงนั้นจางหายไป
ชายหนุ่มผมขาวเดินออกมาจากหุบเขา บนหน้าผากมีดวงดาวสีม่วงอยู่หนึ่งดวง เขามองไปที่พื้นหินที่อยู่ห่างออกไปจากนั้นหันตรงไปทางทิศตะวันออก เขาคุกเข่าลงกับพื้นและคำนับสองสามครั้ง เขาพึมพำพร้อมกับแววตาเผยจิตสังหารที่เก็บงำมามากกว่าสี่ร้อยปี “ท่านพ่อ ท่านแม่ ไท้จูกลับมาแล้ว เวลานี้ข้าจะทำให้แม่น้ำในแคว้นจ้าวเป็สายธารโลหิต! หากข้ากลับคำสาบาน ขอให้วิญญาณของข้าถูกทำลาย!”
ลำแสงสายฟ้าวูบวาบผ่านท้องฟ้าส่งเป็นคลื่นฟ้าร้องออกไป ในคลื่นที่พุ่งออกไปเป็นเม็ดฝนหยดลงมาพร้อมกับชั้นหมอกเกิดขึ้น…