Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 246

Cover Renegade Immortal 1

246. กำจัดเถิงให้สิ้น (จบ)

เถิงฮว่าหยวนสัมผัสกระเป๋าและกระบี่ยักษ์ลอยออกมา กระบี่เล่มนี้ดูโบราณมาก เขากัดลิ้นตนเองเล็กน้อยและพ่นโลหิตสดๆออกมา ทั้งร่างของเขาดูอ่อนแอลงแต่กระบี่ยักษ์เริ่มเร่าร้อนและพุ่งเข้าหาหวังหลินราวกับสายฟ้า

ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง เมื่อกระบี่ยักษ์ลอยออกมา ขอบเขตจวี่ของเขาจึงเคลื่อนไหว ประกายสายฟ้าสีแดงหนึ่งชุดพุ่งออกมาและล้อมรอบกระบี่ในทันที หลังเกิดเสียงรอยร้าว กระบี่ยักษ์ค่อยๆพังพินาศ ในตอนท้ายขอบเขตจวี่ถูกใช้จนหมดและกระบี่ยักษ์กลายเป็นเศษฝุ่น

หวังหลินยื่นนำกระเป๋าขึ้นมาและหยิบวิญญาณหลายดวงที่เขาได้มาจากสมาชิกตระกูลเถิงออก หวังหลินกลืนกินพวกมันตรงๆเพื่อฟื้นฟูพลังที่ใช้ไปอย่างรวดเร็ว

เถิงฮว่าหยวนจ้องอย่างตกตะลึงตำแหน่งที่กระบี่หายไป ทั้งร่างพลันดูแก่ขึ้นทันที

หวังหลินสร้างผนึกขึ้นในฝ่ามือขวา เขากดมันลงหน้าผากตนเองและปิศาจฉวี่ลี่กั๋วและเจ้าปิศาจหมายเลขสามลอยออกมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้คำสั่งของหวังหลิน พวกมันร้องคำรามอย่างตื่นเต้นและพุ่งเข้าหาสมาชิกตระกูลเถิง

ในพริบตามีคนหลายคนกรีดร้องอย่างโหยหวนพร้อมกับตายลงไป ทุกเสียงกรีดร้องทำให้ร่างเถิงฮว่าหยวนสั่นเทา

“แกจะพูดไหม?” เสียงหวังหลินเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

เถิงฮว่าหยวนสูดหายใจลึกและหลับตา

หวังหลินไม่แสดงสีหน้า เขากระทั่งไม่มองเถิงฮว่าหยวนขณะที่ฝ่ามือสร้างผนึกและส่งกฎเกณฑ์ออกไป กฎเกณฑ์ที่ล้อมรอบเมืองอยู่พลันหดลงอย่างช้าๆ

คนที่อยู่ปลายขอบกฎเกณฑ์พลันแววตาดูสิ้นหวัง พวกเขาเห็นกำแพงกำลังใกล้ลง สมาชิกตระกูลเถิงแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงขณะที่อีกกลุ่มมีสายตาแดงและพุ่งเข้าหาหวังหลินด้วยสมบัติของตนเองราวกับแมงเม่าบินเข้าหากองไฟ

สมาชิกตระกูลเถิงพุ่งเข้าหาหวังหลินมากขึ้นและมากขึ้น ทว่าเมื่อเข้าไปในรัศมีหวังหลินหนึ่งพันฟุต พวกเขาชนเข้ากับกฎเกณฑ์หนึ่ง พลันร่างกายระเบิดออกเป็นฝนโลหิตตกลงสู่ผืนดิน

เสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนเข้าในโสตประสาทเถิงฮว่าหยวน ร่างสั่นเทาอย่างรุนแรงและหัวใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เขาต้องการต่อต้านแต่แม้กระทั่งสมบัติที่แคว้นอันดับสูงกว่าให้มายังไม่มีประโยชน์

ภาพลักษณ์เถิงฮว่าหยวนดูแก่ชรามากขึ้น เขาไม่มีความยิ่งใหญ่ที่เคยมีอีกต่อไป สิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ก็คือชายชราคนที่ที่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ขณะมองครอบครัวของตัวเองตายลงไป

“ข้าจะ…ข้าจะพูด!”

เถิงฮว่าหยวนมองหวังหลินด้วยความเกลียดชังลึกๆและเอ่ยขึ้นทีละคำ “นับตั้งแต่ที่ตระกูลเถิงของข้าพบเจอวิบัติ เช่นนั้นไม่มีใครจะคิดจะหนีออกไปได้! ครั้งนั้นมันเป็นก๋าวฉีหมิงจากสำนักเพียวเมียวที่ใช้วิชาคำนวณสวรรค์เพื่อช่วยข้าค้นหาตระกูลหวัง มันเป็นเขา! ไปหาเขาสิ! เขาเป็นบรรพชนคนแรกของสำนักเพียวเมียว คำพูดของเขาเป็นกฎในสำนักเพียวเมียว”

“ก๋าวฉีหมิง” หวังหลินจ้องเถิงฮว่าหยวน ไม่ว่าเถิงฮว่าหยวนจะพูดโกหกหรือไม่ หวังหลินจดจำชื่อนี้ไว้ในใจ

เมื่อมองเถิงฮว่าหยวน สายตาหวังหลินพลันขยับเข้าสู่พื้นที่ไกลๆ ดวงตาเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาสะบัดแขนและกฎเกณฑ์ที่กำลังหดลงอย่างช้าๆเริ่มเข้าใกล้อย่างรวดเร็วมาก มันห่างจากหมื่นลี้ไปเหลือเพียงไม่ถึงสิบลี้ในพริบตา ระหว่างกระบวนการนี้ คนที่ตายยังไม่ทันกรีดร้องออกมาเลย

ในเวลาเดียวกันศีรษะลอยขึ้นทีละคนเนื่องจากผลของพลังลึกลับบางอย่างและวางลงบนหอคอยศีรษะ หอคอยตอนนี้สูงมากจนแตะท้องฟ้าได้

ณ ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเถิงนอกจากเถิงฮว่าหยวน ได้ตายกันหมดแล้ว

บนพื้นดิน โลหิตไหลราวกับสายธาร กลิ่นโลหิตเหม็นคละคลุ้งไปทั่วอากาศ

ขณะที่จ้องฉากเบื้องหน้าอย่างตกตะลึงนั้น เถิงฮว่าหยวนเริ่มหัวเราะ เสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกขณะที่โลหิตสองสายไหลลงมากระทบแก้ม

หวังหลินมองเถิงฮว่าหยวนอย่างสงบนิ่ง หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ เถิงฮว่าหยวนสูดหายใจลึก เขาเชิดศีรษะขึ้นหาหวังหลิน น้ำเสียงแฝงความไม่พอใจ “ดีมาก ดีมาก นับตั้งแต่วันนี้ไป ความแค้นระหว่างตระกูลหวังของเจ้าและตระกูลเถิงของข้าหายกัน ข้าสังหารทั้งตระกูลของเจ้าและเจ้าสังหารทั้งตระกูลของข้า มันเป็นกรรมจริงๆ หวังหลิน ตอนนี้เจ้าสามารถสังหารข้าได้แล้ว!”

หวังหลินยกมือขวาขึ้น นิ้วมือแผ่แสงสีทอง เขาเคลื่อนพลังปราณในร่างกายเพื่อรวบรวมไปที่ปลายนิ้ว

แต่เพียงขณะนั้น น้ำเสียงดังก้องจากระยะไกล “หยุด!”

เมื่อได้ยินเสียงนี้ เถิงฮว่าหยวนจดจำได้ทันทีว่ามันคือพั่วหนานจื่อ เขาตื่นเต้นและรู้ว่าอาจจะมีโอกาสรอดชีวิตในวันนี้ สายตาที่มองหวังหลินตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร

แรงกระตุ้นในการมีชีวิตได้ผลักดันเขาทันที หากเขามีโอกาสรอดเพียงน้อยนิดเช่นนั้นเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกสังหารได้ง่ายๆเช่นนี้ ความแค้นระหว่างสองตระกูลจะหายไปหรือ? เขาพูดเพียงเพราะคิดว่าจะตายแน่นอนอยู่แล้ว

หากเขารอดชีวิตในวันนี้ เขาจะต้องหาทางบรรลุขั้นตัดวิญญาณไม่ว่าจะสูญเสียไปแค่ไหน เช่นนั้นเขาจะสามารถสังหารหวังหลินให้โหดเหี้ยมที่สุดเพื่อแก้แค้น

ทว่าเขาวางพั่วหนานจื่อไว้สูงเกินและประเมินหวังหลินต่ำไป สัมผัสวิญญาณของหวังหลินทรงพลังเทียบเท่ากับสัมผัสวิญญาณของเซียนขั้นตัดวิญญาณ เขาจะไม่สังเกตพั่วหนานจื่อจากระยะไกลและให้พั่วหนานจื่อหยุดเขาได้อย่างไรเล่า?

ขณะที่พั่วหนานจื่อปรากฎ หวังหลินตะวัดแสงสีทองในนิ้วมือส่งเข้าหาหน้าผากเถิงฮว่าหยวนและสังหารเขา

เถิงฮว่าหยวนกล่าวไว้เป็นความจริงแล้ว ความแค้นระหว่างตระกูลเถิงและตระกูลหวังหมดสิ้น ตระกูลเถิงถูกลบล้างออกไปจากโลกแห่งนี้โดยสมบูรณ์

ร่างพั่วหนานจื่อปรากฎเบื้องหน้าเขาทันที เขามองไปที่โลหิตทั้งหมดบนพื้นที่ร่างเถิงฮว่าหยวนซึ่งพึ่งจะได้แรงกระตุ้นในการมีชีวิตและในที่สุดนั้นหอคอยศีรษะก็สั่นเทา

เขาแทบลังเลสร้างผนึกในฝ่ามือ ลำแสงสีเขียวและแดงพุ่งออกมาจากกระเป๋าของเขา

ใบหน้าหวังหลินสงบนิ่งขณะจ้องพั่วหนานจื่อ “เจ้ามาสาย”

พั่วหนานจื่อมองหวังหลิน เขาตกตะลึง หลังจากมองหวังหลินอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้า…เจ้าเป็นศิษย์ของสำนักเหิงยั่ว”

หวังหลินมองพั่วหนานจื่อและขอบเขตจวี่พุ่งออกมาโดยไม่ได้เอ่ย ทว่าขณะที่สายฟ้าแดงมาถึงเบื้องหน้าพั่วหนานจื่อ แสงสีเขียวและแดงสร้างเป็นโล่ห์ปกป้องเขา เมื่อขอบเขตจวี่ปะทะ แสงสองเส้นส่องสว่างขึ้น ในที่สุดแสงทั้งสองจึงจัดการป้องกันขอบเขตจวี่ได้แต่แสงของพวกมันจางลงอย่างาก

ใบหน้าพั่วหนานจื่อเปลี่ยนไปมาก เขากัดลิ้นตนเองเล็กน้อยและพ่นโลหิตไปบนแสงสีเขียวและแดงโดยไม่รอให้เสียเวลา

พั่วหนานจื่อชี้ไปที่หวังหลินและร้องตะโกน “ไป!”

ทันใดนั้นแสงสีแดงและเขียวซัดตรงไป พวกมันเคลื่อนไหวพร้อมกับพื้นที่รอบๆฉีกขาด ฝ่ามือขวาหวังหลินชี้ตรงไปและกฎเกณฑ์ทั้งหมดในธงออกมาเป็นรูปมังกรเพื่อหยุดแสงสีเขียวและแดงไม่ให้รุดหน้า

แต่ระดับของแสงสีเขียวและแดงนับว่าสูงเกินไป กฎเกณฑ์เหล่านั้นเพียงทำให้ช้าลงเล็กน้อยแต่ไม่อาจหยุดได้

ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นขณะที่ขอบเขตจวี่หวังปลินปรากฎอีกครั้ง เป้าหมายของมันไม่ใช่แสงสีเขียวและแดง แต่เป็นพั่วหนานจื่อ

ใบหน้าพั่วหนานจื่อเปลี่ยนไปมหาศาล ขณะที่กำลังเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย มือยักษ์ข้างหนึ่งปรากฎออกมาจากที่ไหนสักแห่งและคว้าสายฟ้าขอบเขตจวี่ไว้ ฝ่ามือแสงบีบรัดและสายฟ้าแดงถูกทำลาย แต่ในเวลาเดียวกันฝ่ามือยักษ์ก็สั่นและอ่อนลง

ในไม่ช้าชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมหรูหรามากกว่าไขมันบนหน้าท้องได้ปรากฎตัวเบื้องหน้าพั่วหนานจื่อ เขามองไปที่หวังหลินและตกตะลึง แต่ในไม่ช้าจึงเผยแววตาปิติยินดีและเอ่ยขึ้น “เจ้านั่นเอง!” เช่นนั้นเขาสะบัดแขนขวา แสงสีเขียวและแดงกลับคืนอย่างรวดเร็วและลอยรอบตัวเขา

หลังชายวัยกลางคนปรากฎตัว พั่วหนานจื่อผ่อนคลายเล็กน้อย เขาโค้งคำนับและเอ่ย “ขอทักทาย ท่านผู้ส่งสาส์น”

แม้ว่าพั่วนานจื่อจะผ่อนคลายไปมาก แต่หนังศีรษะยังรู้สึกเสียววาบ เขาไม่รู้ว่าสมบัติวิเศษสายฟ้าแดงนั้นคืออะไรแต่เมื่อมันเข้ามาใกล้เขารู้สึกเหมือนจะตายได้ทันที สัมผัสอันตรายเช่นนั้นเป็นสิ่งเดียวที่เขารู้สึกจากสนามรบต่างแดนครั้งก่อน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากท่านผู้ส่งสาส์นไม่ปรากฎตัวขึ้น เขาคงกลายเป็นศพไปแล้วตอนนี้ เขามองหวังหลิน นอกจากความหวาดกลัวในใจแล้วก็ยังมีความเสียใจด้วยเช่นกัน

ชายวัยกลางคนจ้องหวังหลินและเอ่ยช้าๆ “ข้าไม่อาจะเชื่อได้ว่าะเจ้าจะไม่ตายและยังใช้เวลาเพียงสี่ร้อยปีบรรลุมาจนถึงระดับฝึกฝนนี้ได้ เยี่ยมมาก! ส่งลูกปัดฝืนลิขิตฟ้ามาและข้าจะไว้ชีวิตเจ้า! ข้าจะให้เจ้ากลายเป็นหมายเลยหนึ่งในแคว้นจ้าว ว่ายังไง?”

หวังหลินมีใบหน้าสงบนิ่ง การแสดงตัวของคนผู้นี้อยู่ในการคำนวณของเขา เขารู้สึกถึงการคงอยู่ของเขาตอนที่อยู่ห่างไปหมื่นลี้ เขาเป็นผู้ส่งสาส์นจากหอคอยสวรรค์จากแคว้นอันดับสี่แห่งหนึ่ง หวังหลินเดาได้ว่าระดับฝึกฝนของเขาคือขั้นตัดวิญญาณ

หากเขาไม่ใช่ขั้นตัดวิญญาณ เช่นนั้นจะทำลายสายฟ้าขอบเขตจวี่ได้ง่ายๆอย่างนี้ได้อย่างไร?

หากคนผู้นี้รู้ว่าหวังหลินมีลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าด้วยซึ่งนับได้ว่าเขาอยู่ในแผนการล้างแค้นเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเขาอยู่ในแคว้นจ้าวจึงใช้สัมผัสวิญญาณปกคลุมแคว้นจ้าวไว้เสมอ ด้วยวิธีนี้ด้วยสัมผัสวิญญาณระดับขั้นตัดวิญญาณของหวังหลิน จึงไม่มีใครสามารถระบุตัวตนของเขาได้

และไม่มีใครสามารถชี้เป้าเขาด้วยสัมผัสวิญญาณได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมผู้ส่งสาส์นคนนี้ถึงไม่เคยออกมาค้นหาเขาระหว่างที่เขาไล่สังหารเช่นนี้

ความจริงแล้ว ชายวัยกลางคนรู้สึกปวดหัวในไม่กี่วันที่ผ่านมาเพราะไม่ว่าเขาจะตรวจสอบแคว้นจ้าวด้วยสัมผัสวิญญาณมากแค่ไหน ก็ไม่อาจค้นหาคนที่กำลังสังหารทั้งตระกูลเถิงคนนี้ได้

เว้นแต่ว่าสัมผัสวิญญาณของคนผู้นั้นทรงพลังมากกว่าหวังหลิน ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางสัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้ กล่าวได้ว่าแม้ระดับฝึกฝนของเขาไม่ได้เพิ่มขึ้นมาในรอบสี่ร้อยปี เพียงขั้นตัดวิญญาณระดับต้น ไม่มีใครในแคว้นจ้าวสามารถล่วงเกินเขาได้

เขาไม่เคยเดาได้ว่าระดับฝึกฝนของหวังหลินจะมีเพียงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น แต่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินทรงพลังเทียบเท่ากับสัมผัสวิญญาณของเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลาย แม้กระทั่งผู้ส่งสาส์นจากสำนักมารยักษ์มาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาก็ยังไม่สามารถค้นหาหวังหลินได้

เรื่องแบบนี้หาได้ยากยิ่งในโลกแห่งเซียน นอกจากนั้นหวังหลินยังเป็นวิญญาณกลืนกินที่เดินทางข้ามมาเป็นมนุษย์

อีกทั้งมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นกับสายฟ้าแดง แม้ว่าชายวัยกลางคนจะดูเหมือนต่อต้านการโจมตีได้ง่ายดาย ความจริงสายฟ้าแดงเข้าไปในร่างกายและทำความเสียหายต่อวิญญาณของเขา ความเสียหายไม่ได้ใหญ่มากแต่มันยังทำให้เขากลัวเกรง

หลังเห็นผู้ส่งสาส์นปรากฎตัว ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและนำหยดโลหิตหนึ่งออกมา

หยดโลหิตมีสีทอง

หยดโลหิตกำลังกำลังปลดปล่อยแรงกดดันของเทพโบราณ

ดวงตาหวังหลินเรืองรองพร้อมกับจิตสังหาร “ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!”

ฝ่ามือขวาชี้เบาๆไปที่โลหิตสีทอง หยดโลหิตเริ่มเดือดทันที มันกลายเป็นสัญลักษณ์สีทองและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!