340. ผู้ส่งสาส์นแห่งซูซาคุ
หวังหลินเหาะเหินไปยังตำแหน่งที่เจดีย์ตั้งอยู่และร่อนลงไป ร่างหลักแยกออกจากเขา หวังหลินพลันกระอักโลหิตและเริ่มนั่งลงฝึกฝน
หลังผ่านไปพักใหญ่หวังหลินลืมตาขึ้น เขานั่งกินเม็ดยาและเริ่มจัดระเบียบพลังปราณในร่างกาย
สามวันถัดมาเขาและร่างหลักทั้งคู่ลืมตาขึ้นในเวลาเดียวกัน
“อาการบาดเจ็บของข้าครั้งนี้หนักหนาสาหัสเกินไป ข้าต้องปิดด่านฝึกตนเพื่อฟื้นฟู!” หวังหลินลอบคิดว่าผู้ส่งสาส์นแห่งสวรรค์ตนนั้นไม่ได้มีเจตนาสังหารเขา ผู้ส่งสาส์นไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มันทำทุกอย่างตามกฎแห่งสวรรค์
“วิญญาณเซียนของหวานเอ๋อแตกสลายไปมากทำให้นางใช้เวลาถึงสิบเก้าปีเพื่อคืนสภาพ เมื่อนางตื่นขึ้น สรวงสวรรค์จะมาอีกครั้งเพื่อกวาดล้างทุกคนที่กล้าลองดีเพื่อหลบหนีกฎแห่งสวรรค์” หวังหลินจ้องมองท้องฟ้า
เขายืนขึ้น พร้อมกันนั้นร่างหลักเหาะเหินเข้าไปทางหลุมยักษ์ที่ถูกสร้างขึ้นระหว่างการต่อสู้ มันร่อนลงในหลุมและจมลงไป ดินโคลนรอบหลุมพลันจมลงไปด้วยจนในไม่ช้าหลุมก็ถูกเติมเต็มจนราวกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
ลึกลงไปหลายพันลี้ใต้ผืนดิน ร่างหลักนั่งฝึกฝนอยู่ที่นั่น ดวงดาวสีม่วงสองดวงบนหน้าผากหมุนเร็วรี่ แสงสีม่วงจากๆออกมาจากร่างกายเกิดเป็นบอลแสงขนาดเล็กด้านข้างเขา
อาการบาดเจ็บที่ร่างหลักได้รับไปนั้นหนักกว่าของหวังหลิน โดยเฉพาะการโจมตีครั้งสุดท้ายซึ่งร่างหลักรับความเสียหายไปถึงเจ็ดในสิบส่วน ทว่าด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายแล้วมันไม่อันตรายถึงชีวิตเพียงแต่ต้องปิดด่านฝึกตนเท่านั้น
หวังหลินสูดหายใจลึกจากนั้นตบกระเป๋านำหินหยกออกมา หลังใส่ข้อความลงไปข้างใน เขาโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าและมันหายวับไปทิ้งไว้แต่เพียงริ้วแสง
เมื่อทำเรื่องทั้งหมดหวังหลินนั่งลงถัดจากเจดีย์และกระตุ้นเสี้ยวเขตแดนของโจวยี่ จะไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้เว้นแต่จะเป็นเซียนขั้นเทวะ
เพียงทำเช่นนี้หวังหลินหลับตาลงและฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอย่างเงียบๆ
กลางวันแสงจากดวงอาทิตย์ร่อนลงบนหวังหลินทำให้เขาอบอุ่น
ตกกลางคืนแสงจันทราค่อยๆย่างกรายนำพาความหนาวเย็นเข้ามา
ในวันฝนพิรุณกระหน่ำตกลงจากท้องฟ้าและกระทบกับหวังหลิน เนื้อตัวเขาแทบเปียกโชกไปหมด
ในวันที่หิมะตกลงจากท้องฟ้าปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนทุกสิ่งล้วนขาวโลน มีมนุษย์หิมะตนหนึ่งอยู่ถัดจากเจดีย์
ไม่ว่ามันจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ฝนตกหรือหิมะตก ร่างหวังหลินยังไม่ขยับไปไหน เขาเหมือนผู้บำเบ็ญที่แก่ชราใกล้ตาย ไม่มีสัญญาณแห่งชีวิตออกมาจากร่างกายเขา
หกเดือนหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น อีกครั้งที่ฤดูใบไม้ผลิผัดเปลี่ยนมา ในบ้านผู้เฒ่าโจวหมู่บ้านลูกท้อ เด็กทารกคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้น นางมีนามว่าโจวลี่
เด็กทารกเพศหญิงคนนี้เกิดมาร้องไห้เหมือนเด็กทารกคนอื่นๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเสียงร้องไห้นี้แตกต่างไปจากเสียงร้องไห้เด็กทารกธรรมดา
ร่างกายทารกหญิงอ่อนแอมาก โชคยังดีเนื่องจากผู้เฒ่าโจวเป็นที่นับถือในหมู่บ้านลูกท้อ เขาเป็นเจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่งดังนั้นชีวิตจึงกินดีอยู่ดีมากกว่าคนส่วนใหญ่
ถ้ำแห่งหนึ่งในภูเขาห่างจากเมืองลูกท้อไปห้าสิบลี้ เที่ยหยานฝึกฝนอยู่ที่นี่มามากกว่าหกเดือนแล้ว เมื่อหกเดือนก่อนเที่ยหยานและลิ่วเฟยได้รับคำสั่งจากหวังหลินให้หนึ่งในพวกเขามาที่นี่และคุ้มครองลี่มู่หวาน
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันเที่ยหยานจึงมาเอง สัมผัสวิญญาณของเขาจับจ้องบนหมู่บ้านตลอดเวลาพร้อมกับปกป้องอย่างเงียบๆ
การฟื้นฟูของหวังหลินดำเนินต่อไป หิมะข้างนอกเจดีย์เปลี่ยนไปเป็นแอ่งน้ำและถูกธุลีดินดูดซับ
ร่างหลักซึ่งอยู่ใต้ดินไปหลายพันลี้ ในระหว่างหกเดือนที่ผ่านมานี้มันได้ลงไปลึกขึ้นอีกสามครั้ง แต่ละครั้งจมดิ่งลงไปเพิ่มอีกหลายพันลี้
ร่างหลักของเขาได้เดินทางมาถึงหนึ่งในห้าของแกนพลังดาวเคราะห์แล้ว
การที่เหล่าเทพโบราณเติบโตในการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องโกหก หลังผ่านการต่อสู้อันโหดร้ายร่างหลักของเขาเผยสัญญาณแห่งการทะลวงผ่าน แม้ว่ามันจะเชื่องช้ายิ่งแต่ได้มาถึงจุดสูงสุดของด่านสองดาราเรียบร้อยแล้ว การปรับโครงสร้างร่างกายครั้งที่สามนับว่าอยู่ไม่ไกล
พริบตาเดียวอีกหนึ่งปีได้ผ่านไป โจวลี่ในตอนนี้มีอายุหนึ่งขวบ เด็กส่วนใหญ่ที่อายุเท่านี้เริ่มส่องเสียงออกมาได้แล้วแต่โจวลี่ยังคงเงียบกริบ
ดังนั้นผู้คนในหมู่บ้านเริ่มลือกันว่าเด็กสาวทารกคนนี้เป็นใบ้
ในวันนี้เองมีกลุ่มคนเดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายธรรมดาบนชายขอบของแคว้นซู ในเหล่าคนพวกนี้เป็นหญิงสาวนางหนึ่งสวมผ้าคลุมหน้า มีเสี้ยวความเมื่อยล้าในแววตาของนางแต่ดวงตายังคงส่องสว่างราวกับดวงดาวและทำให้ใครหลายคนหลงเสน่ห์
เบื้องหลังนางเป็นชายชราผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำดูเก่าแก่ แววตาสลัวราวกับกำลังป่วยไข้รุนแรง
เขาหวังหลินเห็นพวกเขาคงจดจำได้ทันทีว่าสองคนนั้นคือคนที่ซื้อตำรับยาระดับหกไป
นอกจากสองคนนั้นยังมีชายชราผมขาวยืนอยู่ เขาเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณจากอาศรมหลอมสมบัติมีนามว่าฮู่
เบื้องหลังเขาคือคนสามคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่หวังหลินรู้จักเป็นอย่างดี ฉิวซื่อผิง
อีกสองคนคือซิ่วลั่วและหญิงสาวงดงามผู้นั้น นางเป็นคนที่ส่งมอบหินหยกม่วงมาให้
หลังจากทั้งหกคนออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย ชายชรามองไปทางทิศเหนือและเอ่ยขึ้น “แม้ว่าแคว้นซูไม่ใช่เส้นทางที่เร็วที่สุดที่จะเข้าไปสุสานอมตะ แต่มันผ่านไปแคว้นโจวได้ง่ายกว่า”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าสีขาวพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “สิ่งที่ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นนับว่าถูกต้อง แม้ว่าการผ่านแคว้นซูจะใช้เวลายาวนานแต่ไม่มีจุดตรวจสอบเหมือนกับที่มีในแคว้นโจว ซึ่งมันง่ายดายยิ่ง”
ชายชรานามว่าฮู่เหาะเหินไปข้างหน้า คนอื่นๆติดตามไปอย่างรวดเร็ว
ฉิวซื่อผิงลอบถอนหายใจ ภายหลังที่หวังหลินจากไปแล้วเขาตัดสินใจติดตามผู้เฒ่าฮู่เพื่อหวังว่าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณเข้าสักวัน
แม้ว่าระดับฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นมาสูงขึ้นในสิบปีหลังนี้แต่มันยังห่างไกลกับขั้นตัดวิญญาณยิ่งนัก เขาเชื่อว่าหากสามารถได้รับสิ่งของในสุสานอมตะเมื่อนั้นการบรรลุขั้นตัดวิญญาณจะไม่เป็นความฝันอีกต่อไป
สตรีสวมผ้าคลุมหน้าลอบถอนหายใจเช่นกัน ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้นางค้นหาเซียนขั้นตัดวิญญาณมาจำนวนมาก ท้ายที่สุดฉุกคิดได้ว่าอาศรมหลอมสมบัติมีเซียนขั้นตัดวิญญาณผู้หนึ่ง หลังจากเผยความลับบางอย่างที่นางไม่ได้บอกหวังหลิน นางจึงโน้มน้าวผู้เฒ่าเพื่อช่วยเหลือได้
ทั้งหกคนเหาะเหินไปทางทิศเหนือ ผ่านหลากหลายสำนักแต่ไม่มีใครกล้าหยุดพวกเขา
ผู้เฒ่าฮู่ประหลาดใจ “ข้าไม่ได้มาแคว้นซูมากกว่าร้อยปี ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปมาก”
ซิ่วลั่วเบื้องหลังเขาเอ่ยขึ้นอย่างเคารพ “ท่านบรรพชน หลายปีไม่นานมานี้สำนักเมฆาฟ้าได้กลืนกินสำนักอื่นๆหลายแห่งและกลายเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นซูอย่างเป็นทางการ”
ผู้เฒ่าฮู่พยักหน้า “สำนักเมฆาฟ้ามุ่งเน้นศาสตร์การปรุงยา ดังนั้นพวกเขาต้องมีเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดจำนวนมาก เมื่อเรากลับจากสุสานอมตะให้เตือนข้าด้วยว่าจะเดินทางไปสำนักเมฆาฟ้าเพื่อขอเม็ดยาสักหน่อย!”
ซิ่วลั่วยิ้มเบาบาง เขามั่นใจได้ว่าสำนักเมฆาฟ้าเมื่อตอนนั้นจะยื่นเม็ดยาให้ทันทีเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
ขณะที่ทั้งหกคนเหาะเหินไป เสาแสงหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จากตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่เสานั้นหนาแค่กำปั้นทารกเท่านั้นแต่เมื่อมองไกล้ๆแล้วเสาแห่งนี้มีขนาดใหญ่หลายเท่า
ผู้เฒ่าฮู่พลันหันหน้าเข้าหาเสาแสง กระทั่งด้วยประสบการณ์ของเขาเองยังต้องตกใจ
ดวงตาผู้เฒ่าที่อยู่เบื้องหลังหญิงสาวพลันสว่างขึ้นขณะที่มองไปทางเสาแสง เขาตกใจเช่นกัน
เสาแสงแห่งนี้ออกมาจากใจกลางแคว้นซูซึ่งเป็นตำแหน่งหอคอยสวรรค์ตั้งอยู่
“นี่คือการลงมาของผู้ส่งสาส์นจากแคว้นเซียนระดับสูงกว่า แต่ผู้ส่งสาส์นจากแคว้นอันดับสี่คงไม่ทำให้เกิดความปั่นป่วนเช่นนี้ได้!” ยิ่งผู้เฒ่ามองเข้าไปก็ยิ่งตกใจ
จากนั้นมังกรทองหลายตัวปรากฎรอบเสาแสง ไม่นานนักชายหนุ่มชุดขาวเดินออกมา
ขณะที่เขาเดินออกมา มังกรทองร้องคำรามดังขึ้น แม้ทั้งหกคนจะอยู่ไกลมากยังสามารถได้ยินเสียงร้องคำรามนี้ได้ชัดเจน
หลังจากนั้นไม่นานเหล่ามังกรทั้งหมดพุ่งไปที่ชายหนุ่มชุดขาว ขณะที่พวกมันกำลังจะชนกันพลันเปลี่ยนไปเป็นเส้นด้ายสีทองนับไม่ถ้วนและถักลายลงบนเสื้อผ้าของชายหนุ่ม
“ผู้ส่งสาส์นจากซูซาคุ!!!” ผู้เฒ่าเผยใบหน้าตกตะลึง เขาตระหนักได้ว่ามีสิ่งยิ่งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในแคว้นซู ทำไมผู้ส่งสาส์นจากซูซาคุถึงมาแคว้นระดับสามแห่งนี้กัน?
ใบหน้าหญิงสาวเผยร่องรอยอาการตื่นตระหนก ผู้เฒ่าก้าวไปข้างหน้าและยืนเบื้องหน้านาง
อาการตื่นตระหนกบนใบหน้าหญิงสาวหายไปอย่างรวดเร็วแต่นางกำหมัดที่ชุ่มไปด้วยเหงื่ออย่างแน่นๆ
ฉิวซื่อผิง ซิ่วลั่วและหญิงสาวคนสวยต่างตกใจทั้งหมด โดยเฉพาะฉิวซื่อผิงที่ตาค้าง เขามองลำแสงและพึมพำ “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนจากซูซาคุ….ซูซาคุ….”
หญิงสาวผู้งดงามสูดหายใจลึกและเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ท่านบรรพชน ทำไมผู้ส่งสาส์นจากซูซาคุถึงมาแคว้นซูกัน?”
“สหายเซียนกงซุน เจ้าคิดอย่างไร?” ผู้เฒ่าฮู่มองไปทางชายชราอีกคนที่สวมชุดคลุมเก่าแก่สีดำ
ผู้เฒ่าค่อยๆเอ่ยขึ้น “สหายฮู่ ข้าพึ่งเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณได้ไม่นานเช่นนั้นข้าไม่ได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซูซาคุมากนัก ทว่าข้าเชื่อว่ามีเรื่องใหญ่จะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เช่นนั้นทำไมผู้ส่งสาส์นถึงมาแคว้นซูเล่า?”
ผู้เฒ่าฮู่ลอบคิด ‘เจ้าสวะ!’ สายตาเขาหันไปทางเสาแสง
ขณะนั้นเองเสาแสงเริ่มจางหาย ชายหนุ่มชุดขาวเหาะเหินเข้ามาหาพวกเขาทั้งหกราวกับอุกกาบาต
ร่างกายหญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าพลันสั่นเทา แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนขนลุก
ฉากเหตุการณ์นี้ถูกผู้เฒ่าฮู่สังเกตเห็น เขาใบหน้าไม่ได้เผยการตอบสนองอันใดแต่ปรากฎความสงสัยในใจเขา