36. ทะเลาะวิวาท
หลังจากคิดได้เช่นนี้ หวังหลินก็ได้นำหินลูกปัดลึกลับออกมาและเริ่มเข้าไปฝึกฝนในมิติความฝันเป็นอันดับแรก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วกระพริบตาสองทีก็ผ่านไปสองปีแล้ว ในสองปีนี้หวังหลินฝึกทั้งบ่มเพาะพลังปราณและฝึกวิชาแรงโน้มถ่วงไปด้วยแต่เขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลยสักครั้ง
แม้เวลาข้างนอกจะผ่านมาได้สองปี แต่ความจริงแล้วในมิติความฝันได้ผ่านมาสิบสามปี!
พลังปราณที่นี่ช่างมีมหาศาล หวังหลินประทับใจอย่างมากแม้ว่ามันจะเปรียบเทียบกับของเหลวพลังปราณไม่ได้ก็ตาม ตอนที่เขากำลังรอในโลกจริง หวังหลินพบว่าพลังปราณที่นี่มีความหนาแน่นกว่าข้างนอกภูเขาสองเท่า
ตั้งแต่ที่เขาขึ้นมาระดับสอง การบ่มเพาะของเขาก็เริ่มข้าเป็นอย่างมาก หลังจากมิติความฝันผ่านมาเกินหกปี เขาก็ถึงจุดสูงสุดระดับสอง จากนั้นก็ทำการทะลวงขีดจำกัดไปสู่ระดับสาม หลังจากพยายามนับครั้งไม่ถ้วนในที่สุดเขาก็ทำได้สำเร็จ
แต่สาเหตุที่ทำให้เขาสับสนและทนทุกข์ทรมานเกิดขึ้นหลังจาก 7 ปีถัดมา แม้ว่าหวังหลินได้ถึงจุดสูงสุดระดับสามเรียบร้อยแล้ว เขายังไม่สามารถเข้าระดับสี่ได้ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ตาม มันไม่ใช่ว่าเขาขาดแคลนพลังปราณ แต่กลับรู้สึกว่ามีพลังงานลึกลับบางอย่างได้หยุดเขาทุกครั้งที่เข้าถึงจุดวิกฤต
และในระดับสามขั้นรวบรวมลมปราณนี้ได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น มันไม่เหมือนระดับหนึ่งหรือระดับสองที่เมื่อถึงจุดสูงสุดแล้วจะข้ามขั้นได้ เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังปราณเพิ่มขึ้นอีกได้เลย
แม้ว่าหวังหลินรู้สึกได้ว่าตัวเองเขาถึงจุดสูงสุดแล้วแต่ระดับสามไม่ดูเหมือนว่าจะมีขีดจำกัด ถ้าเขาเริ่มบ่มเพาะไปเรื่อยๆ พลังปราณของเขาก็น่าจะเพิ่มขึ้นและเปลี่ยนแปลงในร่างกายไปเรื่อยๆ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมหวังหลินจึงแปลกใจ ไม่ว่าเขาจะคิดลึก คิดหนัก คิดซ้อนแค่ไหนก็ตามก็ไม่สามารถหาคำตอบได้
วันนี้น้ำหิมะทั้งหมดได้ใช้ไปแล้ว เขาเหลือเพียงน้ำเต้าหนึ่งอัน น้ำเต้านี้ได้อยู่กับเขามาเป็นเวลานานแล้ว มันเป็นหนึ่งในสามอันที่หวังหลินนำติดตัวจากภูเขา เขาได้ใช้สองอันเพื่อสร้างก้อนเมฆในหินลูกปัดและสังเหตได้ว่าส่วนใหญ่มักจะพังไปตอนเขาดื่มครั้งสุดท้าย หวังหลินระมัดระวังอย่างมากและเก็บมันไว้ในกระเป๋าถือ
หลังจากลังเลเล้กน้อยหงังหลินก็ไม่ได้หยิบน้ำเต้าออกมา จากการคำนวณแล้ว จำนวนพลังปราณในน้ำเต้าได้มาถึงภาวะร่อยหรอ เขาควรจะใช้มันอีกครั้งเมื่อถึงขั้นรวบรวมลมปราณที่สูงกว่านี้
หวังหลินยืนขึ้นและบิดขี้เกียจ เขาเดินไปที่คันโยกและดังมันลงไป เสียงหนึ่งดังขึ้นและประตูหินได้เปิดออก แสงอาทิตย์ฉายเข้ามาในถ้ำและหวังหลินตาบอดไปชั่วขณะ หลังจากเขาเจอแสงสว่าง หวังหลินก็ออกมาจากถ้ำและสูดหายใจลึก
เมื่อมองไปข้างล่างต่างมีผู้คนจำนวนมากพูดคุยกันในหุบเขา ดูเหมือนผู้คนพวกนี้ต่างก็พบกับการบ่มเพาะที่น่าเบื่อและเข้าสังคมเสียบ้าง
หลังจากขบคิดเล็กน้อยหวังหลินก็เปิดใช้วิชาพรางระดับพลังไปที่ระดับหนึ่งขั้นรวบรวมลมปราณ เขาโบกแขนเสื้อตัวเองและกระโดดไปด้านหน้า ร่างกายลอยลงต่ำบนพื้นอย่างช้าๆ
ในสิบสามปีที่เขาใช้ในมิติความฝัน หวังหลินได้เชี่ยวชาญวิชาแรงโน้มถ่วงอย่างสมบูรณ์แบบ เขาไม่จำเป็นต้องพูดบทร่ายออกมาและเพียงแต่ใช้มันอย่างใจนึก
เหมือนครานี้ที่เขากำลังใช้วิชาแรงโน้มถ่วงบนร่างตัวเอง แม้ว่าเขาจะพูดว่าได้ถึงระดับสมบูรณ์แบบก็เถอะ แต่หวังหลินควบคุมได้ดีก็ตอนที่มันช้าเท่านั้น หากความเร็วเพิ่มขึ้นมันจะเริ่มยากขึ้น
แต่ตอนนี้หวังหลินรู้สึกมั่นใจ หากเขาต้องเหาะเหินเร้วๆก็คงเสียการควบคุมเป็นแน่ ถ้าไม่ได้ฝึกวิชาแรงโน้มถ่วงมากกว่าสิบปีมันก็คงเป็นไปไม่ได้
แต่ใครจะเสียเวลาฝึกฝนวิชาระดับต่ำไปสิบปีกัน? เหล่าผู้ฝึกเซียนต่างก็แข่งกับเวลาทั้งนั้น ถ้าพวกเขามีเวลาทำไมไม่ไปฝึกวิชาที่ระดับสูงกว่านี้?
โดยไม่ให้เป็นที่ดึงดูดใจคนอื่น หวังหลินถึงพื้นดินในหุบเขาอย่างช้าๆ เมื่อถึงพื้นหวังหลินก็ได้ยินเสียงถากถางดังขึ้น “ดูท่าตะวันตะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ว แม้แต่เจ้าขยะหวังหลินก็ถึงระดับแรกขั้นรวบรวมลมปราณและลงจากหน้าผาได้โดยไม่ต้องมีตัวช่วย”
หวังหลินหันหัวกลับมา เขาไม่ได้ใส่ใจที่หวังจัว มีคนสองสามคนนั่งข้างถัดจากเขาซึ่งเป็นศิษย์สายในเช่นกัน
ชายหนุ่มอายุราวๆ 24-25 ปีสวมชุดสีขาวหัวเราะ “หวังหลินเจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะกองอยู่รวมกันศิษย์สายในหลังโรงเรือนนู่น เจ้าจะรู้สึกมีอำนาจและอยู่ระดับสูง แต่ที่นี่มันไม่ใช่เช่นนั้น เจ้าจะเป็นตัวอัปลักษณ์ของพวกเราทุกคน”
หวังหลินตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หวังจัวตอนนี้อยู่จุดสูงสุดระดับสามเช่นเขา และหนุ่มชุดขาวอยู่จุดสูงสุดระดับสี่ เขาสามารถทะลวงระดับเวลาไหนก็ได้
หวังจัวพูดอย่างภูมิใจ “หวังหลินสองปีที่แล้วเจ้าฉลาด เจ้ารู้ว่าไม่คู่ควรกับการประลองกับข้าดังนั้นจึงยอมแพ้ไป แต่ให้ข้าได้บอกเจ้าเถอะ ขยะก็เป็นขยะวันยังค่ำ เจ้าไม่เคยคู่ควรกับข้าสักครั้ง ข้าเป็นถึงสุดยอดศิษย์หน้าใหม่เมื่อสองปีก่อน แล้วเจ้าหล่ะ?”
ชายหนุ่มชุดขาวด้านข้างเขาหัวเราะ “ศิษย์น้องเอ๋ย เจ้าไปตักน้ำจากแม่น้ำแถวนี้เถอะ ศิษย์พี่ของเจ้ากำลังอารมณ์ดี ข้าอาจจะให้ชี้แนะสักอย่างแก่เจ้า” เมื่อเขากำลังพูดได้โยนขวดน้ำออกมา มันตกไปที่เท้าหวังหลิน
หวังหลินเพียงเงียบเสียงและมองไปที่ศิษย์ชุดขาว
ศิษย์ชุดขาวพูดขึ้นพลันมองอย่างดูถูก “หมายความว่าไง? เจ้าอยากจะสู้หรือ? ให้ข้าได้บอกเจ้าสักหน่อย ศิษย์พี่สองพูดไปแล้วว่าศิษย์สายในไม่สามารถสู้กันได้ ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตามกฎ อย่าหาว่าข้าไม่สั่งสอนเลย”
“พอได้แล้ว พวกเจ้าทุกคนหุบปาก!” เสียงตะโกนดังขึ้นจากหน้าผา ไม่ช้าร่างเงาสายหนึ่งปรากฎเป็นแสงสายฟ้า เปิดเผยเงาเป็นศิษย์พี่จ้าง เขาคิ้วขมวด มองไปที่ทุกคนและคำรามขึ้น “หวังจัว ซุนเฮ่า พวกเจ้าทั้งสองไม่ไปฝึกเซียนแต่กลับมาแกล้งศิษย์น้องที่อยู่ระดับแรกขั้นรวบรวมลมปราณ นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ใบหน้าทั้งสองคนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาพลันมองไปที่หวังหลินอย่างเกลียดๆและถอนหายใจเบา หลังจากนั้นไม่ได้พูดอไรอีก พวกเขากลัวศิษย์พี่จ้างอย่างเห็นได้ชัด ศิษย์พี่จ้างหันกลับไปมองหวังหลินอย่างเท่าเทียมกัน “หวังหลิน จริงๆแล้วเจ้าก็ไม่ควรมาที่นี่ตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้เจ้ากลับอยู่ที่นี่แล้วก็ควรบ่มเพาะอย่างถูกต้อง ในโลกของเหล่าเซียน พลังคือทุกอย่าง”
หวังหลินพยักหน้า เขาลังเลเล็กน้อยและถามขึ้น “ศิษย์พี่จ้าง ข้ามีคำถามจะถามท่าน หลังจากข้ากำลังขึ้นไปจุดสูงสุดระดับแรก แม้ว่าข้าจะทำยังไงก็ตามก็ไม่อาจทะลวงสู่ระดับสองได้ ท่านรู้ไหม?”
หวังจัวเยาะเย้ย “ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า อย่าคิดที่จะได้เข้าสู่ระดับสองเลยตลอดชีวิต!”