381. ปะทะกับหลิวเหมยครั้งแรก
“การแข่งขันในเดือนมิถุนาจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการเข้าสู่พื้นที่ด้านในสำนัก มีข่าวลือว่าสมบัติที่มีค่ามากที่สุดของสำนักหลอมวิญญาณก็คือธงวิญญาณที่มีวิญญาณมากกว่าร้อยล้านดวง ตอนที่มันปรากฎท้องฟ้าถึงกับเปลี่ยนสี นับว่าเป็นหนึ่งในสมบัติชั้นยอดของซูซาคุ”
“นอกจากนั้นแล้วสำนักหลอมวิญญาณยังมุ่งเน้นด้านการหลอมธงวิญญาณ และวิชาแต่ละอย่างสัมพันธ์กับสมบัติธงวิญญาณของสำนัก แม้สำนักอื่นจะรู้วิธีการปรับแต่งและจับดวงวิญญาณ พวกเขาก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับสำนักหลอมวิญญาณได้ หากข้าเรียนรู้วิธีการทำและปรับแต่งธงวิญญาณเพื่อเอามาใช้กับวิญญาณเร่ร่อน มันก็ไม่ควรจะอ่อนแอไปกว่าธงกฎเกณฑ์”
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและสะบัดแขน กฎเกณฑ์มายาหนึ่งชุดปรากฎขึ้นและร่อนลงบนผนังรอบด้าน จากนั้นนำหินหยกสวรรค์สีขาวบริสุทธิ์ออกมา
หินหยกนี้ขาดหายไปเสี้ยวนึงแต่พลังปราณสวรรค์ที่มันปลดปล่อยออกมาไม่ได้แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมากนัก
“ตอนนี้ระดับฝึกฝนของข้าฟื้นฟูมาจนถึงขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับกลาง ข้าสามารถกลืนกินเศษหินหยกสวรรค์เพื่อพยายามทำลายเขตแดนแห่งชาและผนึกในร่างกายข้าได้แล้ว” หวังหลินสูดหายใจลึกและจากนั้นบี้หินหยกให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ววางไว้ในปาก
ความเจ็บปวดเหนือจินตนาการพลันกระจายผ่านร่างกายของเขา
ณ ตอนนี้ในหุบเขาแห่งหนึ่งที่ล้อมรอบด้วยภูเขาในแคว้นซู หนึ่งเสียงหัวเราะและอีกเสียงเป็นพยัคฆ์ร้องคร่ำครวญด้วยความเศร้าโศก
ข้างในหุบเขาเป็นฤดูใบไม้ผลิดังนั้นพื้นดินจึงปกคลุมไปด้วยหญ้าสีเขียว โจวลี่น้อยสวมชุดปักด้วยดอกโบตั๋น กางเกงสีแดงและนางเปียผมสองข้างบนศีรษะ นางนั่งอยู่บนหลังพยัคฆ์คาดลายสีดำและนางยิ้มเล็กยิ้มใหญ่บนใบหน้า “เจ้าขาวน้อยไม่ทำตามที่ข้าบอก ดังนั้นวันนี้ข้าจะลงโทษให้เจ้ากินข้าวด้วยตะเกียบ”
เจ้าพยัคฆ์คำรามขานรับด้วยความเศร้า
ช่วงระหว่างปีที่ผ่านมามันถูกปิศาจน้อยตัวนี้ทรมานอยู่บ่อยครั้ง มันมักจะตื่นขึ้นมากลางดึกจากฝันร้ายซึ่งฝันร้ายทั้งหมดเกี่ยวข้องกับปิศาจน้อยตัวนี้
โจวลี่ตบฝ่ามือเล็กๆของนางและยิ้มแย้ม “เสียงคำรามของเจ้าดังเกินไป ครั้งหน้าเจ้าต้องนุ่มนวลกว่านี้ เอ๊ะ!! ข้าคิดเรื่องสนุกออกแล้ว! เจ้าร้องเหมียวเหมือนลูกแมวได้ไหม?”
เสียงคำรามของเจ้าขาวเต็มไปด้วยความสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม
“ข้าสงสัยว่าเมื่อไหร่ท่านลุงจะกลับมา เจ้าขาวน้อย เจ้าคิดถึงท่านลุงไหม?” โจวลี่ถอนหายใจและตบบนศีรษะพยัคฆ์
เจ้าพยัคฆ์คำรามอ่อนๆตอบสนองอย่างไม่กระตือรือร้น มันยังคิดว่าพยัคฆ์เช่นมันจะล้อเลียนเสียงลูกแมวได้อย่างไร
ไท่หยานนั่งอยู่ใต้เจดีย์และมองโจวลี่น้อยด้วยสายตาอ่อนโญน เขาถอนหายใจเบาๆ
ข่าวการหายตัวไปของหวังหลินกระจายมาถึงแคว้นซูแล้วแต่เขาตัดสินใจไม่บอกโจวลี่ เขาเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของผู้มีพระคุณของเขาจะสามารถออกมาจากอันตรายทุกแห่งหนได้
ถ้าหากบอกว่าจะกลับมาภายในเก้าปีเช่นนั้นจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน
ไท่หยานเผยความหนักแน่นในแววตา
ห่างจากไท่หยานเป็นเจ้าคางคกสายฟ้านั่งอยู่ มันเพียงแค่นอนอยู่ที่นี่เพื่อมีความสุขกับแสงแดดอันอบอุ่น มันอยู่ที่นี่มาตลอดทั้งปีและไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย
ขณะมองก้อนเมฆสีขาวบนท้องฟ้า บางครั้งเจ้าคางคกสายฟ้าพลันคิดถึงชีวิตตอนที่มันอยู่ในดินแดนเทพโบราณ ตั้งแต่มันเกิดมาก็อาศัยอยู่ที่นั่นและค่อยๆเติบโตขึ้น มีการต่อสู้นับไม่ถ้วนในดินแดนเทพโบราณกับอสูรตัวอื่นเพื่อเป็นอาหารและคู่ต่อสู้และบ่อยครั้งที่เกิดการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ในระหว่างการต่อสู้รุนแรงนับไม่ถ้วนพวกนี้ เจ้าคางคกสายฟ้าเติบโตขึ้นอย่างช้าๆและในที่สุดก็เรียนรู้วิธีการพ่นบอลสายฟ้าออกมา หลังจากนั้นเองนอกจากอสูรเพียงสองสามตัวก็ไม่มีตัวอื่นไหนให้มันกังวลอีก
ขณะที่มันกำลังคิดถึงอดีต ท้องเจ้าคางคกขยายออกและกลับเป็นปกติอยู่ชั่วขณะ
มันคิดถึงหวังหลิน หวังหลินเป็นคนที่นำมันออกมาจากดินแดนเทพโบราณและอีกหนึ่งที่มันคิดถึงก็คือเจ้ายุงตัวนั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในพริบตาเดียวฤดูใบไม้ผลิผ่านไปและตอนนี้เป็นเดินมิถุนายน
เดือนมิถุนายนส่วนใหญ่อาจจะไม่มีสิ่งใดพิเศษแต่สำหรับศิษย์สายนอกของสำนักหลอมวิญญาณในแคว้นพิลูมันเป็นช่วงเวลาสำคัญยิ่ง
การแข่งขันในเหล่าศิษย์สายนอกกำลังจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ หลังจากการประลองจะมีศิษย์สายนอกเพียงหนึ่งเดียวกลายเป็นศิษย์สายใน
หวังหลินตื่นขึ้นจากการปิดด่านฝึกตนและลืมตาขึ้น ดวงตาเขาแจ่มชัดแต่หากมองเข้าไปใกล้ๆจะเห็นว่ามันเปล่งประกายราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
รอยแผลบนใบหน้าเขาจางลงไปมากและเหลือเพียงเศษเสี้ยวเพียงแค่แปดชิ้น ซึ่งทั้งแปดชิ้นนี้รวมไปถึงผนึกของซุนไท่ด้วย
หินหยกสวรรค์ชิ้นเล็กได้ถูกหวังหลินดูดซับอย่างสิ้นเชิง ภายใต้แรงกดดันของหินหยกสวรรค์ทำให้เขตแดนแห่งชาจำนวนมากและผนึกถูกทำลายแต่ทว่าเขายังไม่สามารถลบล้างมันได้อย่างสมบูรณ์
หวังหลินพึมพำ “วิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายขั้นสูงสุด” เขายืนขึ้นอย่างเชื่องช้า สูดหายใจลึกและเดินออกจากถ้ำ
“สิ่งที่ข้ารู้แจ้งคือเขตแดนแห่งชีวิตและความตายของสรวงสวรรค์ ยิ่งข้าเห็นชีวิตและความตายของโลกใบนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งพัวพันยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าชีวิตคือชีวิตและความตายคือความตาย แต่ตอนนี้ชีวิตสามารถเป็นความตายและความตายสามารถเป็นชีวิตได้”
“ข้าหวังหลิน ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตเพื่อการฆ่าฟัน ดังนั้นข้าจึงพบเจอเรื่องราวความตายมามากนัก เปรียบเทียบกับความตายแล้วข้าไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตมากมายเลย ชีวิตใหม่ของลี่มู่หวานคืออีกหนึ่งชีวิตและการเกิดใหม่ของข้าก็คืออีกหนึ่ง แต่มันยังคงไม่พอ!” หวังหลินเดินออกมาจากถ้ำ เขามองภูเขาที่ห่างไปไกลและส่ายศีรษะเบาๆ
“วิธีคิดของข้าได้เปลี่ยนไปหลังเกิดใหม่จากกองขี้เถ้า โดยเฉพาะช่วงเวลาไม่กี่เดือนในหมู่บ้านอัคคีเมฆา ความทรงจำจากที่นั่นได้สลักในใจข้าไว้ส่วนลึก ข้าเห็นชีวิตคือชีวิต ความตายคือความตาย ข้าเห็นว่าชีวิตไม่ใช่ชีวิตและความตายไม่ใช่ความตาย สองความรู้สึกนี้เปรียบได้กับระดับต้นและระดับกลางของขั้นตัดวิญญาณ” เสื้อผ้าหวังหลินกระพือเบาๆตามสายลม
“ประสบการณ์นี้ทำให้ข้าได้เกิดการรู้แจ้งบางอย่าง หากข้าสามารถกลับไปเห็นชีวิตเป็นชีวิตและความตายเป็นความตาย เมื่อนั้นเขตแดนของข้าจะบรรลุถึงระดับปลายของขั้นตัดวิญญาณ”
“ทว่าข้าจำเป็นต้องทำลวงผ่านให้ยกระดับไปถึงขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุดเสียก่อน เมื่อถึงจุดนั้นเขตแดนของข้าจะบรรลุความสำเร็จไปด้วย”
“เขตแดนอันสมบูรณ์ของเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสูงสุดยังคงแตกต่างจากเขตแดนของขั้นแปลงวิญญาณเขตแดนของลี่หยวนเฟิงสามารถทำให้เกิดผลกระทบทางกายภาพและทิ้งรอยแผลรูปใบชาไว้บนร่างกายข้าได้ พลังรูปแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขตแดนของเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายสามารถเปรียบได้ นั่นหมายความว่าเขตแดนอันสมบูรณ์เป็นเพียงแค่ระดับหนึ่ง การบรรลุขั้นแปลงวิญญาณจำเป็นต้องใช้การรู้แจ้งของเขตแดนยิ่งกว่า”
หวังหลินเริ่มขบคิด ตอนนี้เขาไม่สามารถสังเกตหญิงสาวที่กำลังเฝ้ามองเขาอย่างเงียบเชียบจากถ้ำแห่งหนึ่งได้
สายตาของนางสับสนเล็กน้อยแต่มันเต็มไปด้วยความงุนงง สงสัยและทำอะไรไม่ถูก
“ตอนที่อยู่ในดินแดนสวรรค์ ผู้อาวุโสโจวยี่ได้ให้ผลึกเทวะที่สามารถช่วยให้ข้าบรรลุขั้นเทวะได้ ผลึกนี้ต้องสร้างขึ้นมาจากการรู้แจ้งเขตแดนของเขา”
“ขั้นเทวะ…ข้าอยากรู้จริงๆว่าเมื่อไหร่ข้าจะไปถึงขั้นนั้น! ตอนนี้ผนึกไม่ได้ถูกลบล้างดังนั้นข้ายังไม่มีความหวังใดในการบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ…” หวังหลินถอนหายใจเบาบาง
“เทียนหยุนจื่อรับข้าเป็นศิษย์ บางทีข้าควรจะไปหาเขาให้เร็วที่สุดและจากนั้นข้าอาจจะมีโอกาสบรรลุขั้นเทวะได้…อย่างไรก็ตามข้าไม่ยอมแพ้ต่อเส้นทางการฝึกเซียนนี้ ซือถูหนานยังไม่ตื่นขึ้นมาและข้ายังไม่ได้ผลึกดาวเคราะห์ที่สามารถยกระดับขอบเขตจวี่ได้ สิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือทุกคนบนดาวเคราะห์นั้นต้องมีระดับฝึกฝนที่สูงอยู่แล้ว ดังนั้นหากข้าไปตอนที่อ่อนแอเกิน ข้าจะไม่ได้รับความสนใจจากเทียนหยุนจื่อ…” หวังหลินครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งจนกระทั่งเขาสังเกตบางสิ่งได้ เขาหันศีรษะและเห็นนางกำลังจ้องเขา
“นางเป็นใครกันแน่?” ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นและลอยเข้าหาถ้ำของนาง
นางถอนสายตาและก้าวถอยหลังสองสามก้าวเพื่อสร้างพื้นที่
หวังหลินร่อนลงบนตำแหน่งที่นางกำลังยืน เขาจ้องนางด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่สนใจว่านางจะงดงามแค่ไหนและเอ่ยขึ้น “เจ้ารู้จักข้าหรือ?”
นางมองหวังหลินและเอ่ยเบาๆ “เจ้าจำข้าไม่ได้…”
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เขาจ้องนางเป็นเวลานานแต่ยังไม่อาจจำได้ว่าพบนางที่ไหน
สายลมบนภูเขาพัดผ่านและพัดเส้นผมสีดำของนางขึ้นทำให้นางดูราวกับเทพธิดา นางวางผมไว้หลังหูและเอ่ยเบาๆ “เรียกข้าว่าหลิวเหมย…”
“หลิวเหมย!” หวังหลินมองนางและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่รู้จักเจ้า”
หลิวเหมยถอนหายใจบางเบาและยิ้มขึ้น รอยยิ้มของนางราวกับดอกไม้บานที่บดบังรอบด้านโดยทันที
“พี่ใหญ่หวังหลิน ผู้เยาว์ที่นำกระบี่ใหญ่ไว้บนหลังในสำนักเหิงยั่ว ท่านจำไม่ได้จริงๆหรือ?”
หวังหลินไม่ได้ตกใจเลยตอนที่นางชี้ตัวตนของเขาออกมา ตอนที่นางเรียกตัวเองว่าหลิวเหมย หวังหลินก็คาดเดาได้แล้ว
“หลิวเหมยที่ข้ารู้จักเป็นศิษย์ของสำนักซวนต้าวพร้อมกับรากวิญญาณวารี ไม่ใช่ศิษย์ของซูซาคุ!”
หลิวเหมยตกตะลึง ใบหน้าเช่นนี้ปรากฎได้ยากยิ่ง นางเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ศิษย์พี่หวังหมายถึงอะไร?”
หวังหลินไม่ได้ตอบกลับแต่มองหลิวเหมยอย่างเยือกเย็น
ไม่นานนักหลังจากนั้นหลิวเหมยก้มศีรษะลงและเอ่ยขึ้น “ข้ากลัวว่าศิษย์พี่หวังจะเข้าใจอะไรผิด…”
“การที่เจ้าสามารถปรากฎตัวในสำนักซวนต้าวและยังปรากฎตัวที่นี่ในสำนักหลอมวิญญาณได้ ข้าไม่เชื่อจะมีใครนอกจากแคว้นซูซาคุสามารถทำเรื่องนี้ได้!” หวังหลินตัดบทนางและหันตัวกลับเพื่อจากไป
หลิวเหมยยิ้มบางและกล่าวออกมา “แค่เพียงเรื่องนี้ ศิษย์พี่หวังก็สามารถสรุปได้แล้วว่าข้ามาจากซูซาคุ ศิษย์พี่หวังจะมั่นใจ….ข้าคิดได้แล้วว่าท่านเพียงแค่ทดสอบข้า ศิษย์พี่หวังข้าจะไม่โกหกท่าน ข้าเป็นศิษย์ของซูซาคุจริงๆ”
หวังหลินส่ายศีรษะเผยรอยยิ้มเยาะเย้ยและเอ่ยขึ้น “ข้ากำลังทดสอบเจ้าจริงๆ…ข้าเคยเห็นสร้อยข้อมือที่เหมือนกับเจ้าบนแขนของผีเสื้อสีชาด…”
สิ้นคำร่างหวังหลินเหาะเหินออกไปเบาๆ
หลิวเหมยก้มศีรษะลงและมองสร้อยข้อมือบนแขนนาง ตอนที่สายลมภูเขาพัดสะบัดก่อนหน้านี้มันเผยสร้อยข้อมือของนางออกมา นางมองร่างหวังหลินที่จากไปจากนั้นก็ถอนหายใจและพึมพำ “เขาเปลี่ยนไปมากในห้าร้อยปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนต่อโลกอีกแล้ว ตอนนี้เขามีหัวใจดั่งเหล็กกล้า…แต่จิตใจแห่งเต๋าของเขาคืออะไรกันแน่…”