382. ขอบเขตจวี่และมนต์แห่งความตาย
ไม่มีใครรู้จักจิตใจแห่งเต๋าของหวังหลินมากกว่าตัวเขาเอง
หวังหลินรู้สึกเศร้าใจหลังการปรากฎตัวของหลิวเหมย แคว้นซูซาซุแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลและการคงอยู่ของมันสามารถสัมผัสได้จากทุกที่ทุกคนบนดาวเคราะห์
ยิ่งระดับฝึกฝนสูงขึ้นก็ยิ่งหวาดกลัวความรู้สึกนี้ แม้ว่าเขาจะพำนักอยู่ที่ซูซาคุเป็นเวลาอันนั้นทว่าสัมผัสอันตรายถูกสลักไว้ในใจเขา
ไม่ว่ามันจะเป็นถ้ำสวรรค์ที่มีคนรับใช้เป็นใบ้ทั้งหมดหรือระหว่างการต่อสู้กับผีเสื้อสีชาด เขารู้สึกแรงกดดันมหาศาลบนตัวเขาทำให้หายใจยากยิ่ง
ความรู้สึกเหมือนกับท้องฟ้าปกคลุมด้วยก้อนเมฆสีดำมหาศาลและไม่มีทางต่อต้านมันเว้นแต่จะมีพลังพอจะทะลวงผ่านก้อนเมฆสีดำเหล่านี้
แคว้นซูซาคุคือกฎสูงสุดบนดาวเคราะห์ซูซาคุ
ทว่าจากมุมมองของหวังหลิน แม้ว่าแคว้นซูซาคุจะเป็นผู้คุมกฎแต่กลับแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย มันไม่ใช่กลิ่นอายจริงๆแต่เป็นเพียงแค่ความรู้สึก แคว้นขาดการเปลี่ยนแปลงและเมื่อไม่เปลี่ยนแปลงก็คือรอกำลังตาย
“ข้ากลัวว่าซูซาคุจะได้มาถึงจุดจบ…” หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองออกไปไกล ทิศทางนั้นคือตำแหน่งที่ซูซาคุตั้งอยู่
สองวันถัดมาการประลองภายนอกสำนักได้เริ่มขึ้น ศิษย์สายนอกนับหมื่นคนแบ่งกลุ่มกันหลายร้อยสนาม มีการต่อสู้หลายสิบครั้งต่อวันแต่ละสนามประลอง ในเหล่าศิษย์สายนอกนี้มีทั้งเซียนเร่ร่อนและเซียนจากตระกูลเซียน ทั้งหมดมีเป้าหมายเพื่อการเข้าไปข้างในสำนัก
มีเพียงกฎเดียวนั่นคือการชนะ พวกเขาไม่กลัวห่วงเรื่องความเป็นความตายของศิษย์สายนอกเลย หากเจ้ามีความสามารถก็สามารถสังหารได้ทุกคนเพราะพวกเขาไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
มีแม้กระทั่งข่าวลือที่ว่ายิ่งเจ้าสังหารมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสสูงในการเข้าไปเป็นศิษย์สายใน หากใครที่สังหารทุกคนในการต่อสู้โอกาสการเข้าไปข้างในสำนักถือว่าสูงเกินจินตนาการ
ข่าวลือเช่นนี้แพร่สะพัดไปทุกครั้งที่การแข่งขันเริ่มขึ้น นานมาแล้วมีอสูรร้ายตนหนึ่งสังหารทุกคนผ่านการประลอง แม้เขาจะแพ้ เขายังได้รับเข้าเป็นศิษย์สายในในตอนท้าย
เหตุการณ์พิเศษนี้ทำให้ข่าวลือแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง
ทุกครั้งที่มีการแข่งขันจะมีศิษย์สายนอกรอดชีวิตน้อยกว่าครึ่งเมื่อสิ้นสุดงานนี้ ผู้แพ้จะต้องจ่ายหินวิญญาณมากกว่าเดิมเพื่อรับประกันว่าพวกเขาจะสามารถอยู่ต่อไปได้ในการประลองครั้งถัดไป
ไม่มีใครติดตามหรือรู้จำนวนศิษย์สายนอกที่ตายผ่านการประลอง หลังการประลองแต่ละครั้งธงวิญญาณหลักในสำนักจะได้รับวิญญาณหลายดวงนับไม่ถ้วน
ที่ทั้งสำนักหลอมวิญญาณเติบโตแข็งแกร่งขึ้นต้องขอบคุณวิธีกอันโหดร้ายนี้
ศิษย์สายนอกตายไปมากมายทุกวัน สนามประลองมากกว่าหนึ่งร้อยสนามจมอยู่ในกองโลหิต หวังหลินสังเกตการณ์เรื่องราวพวกนี้อย่างระมัดระวังในหลายวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีคนตาย วิญญาณของพวกเขาจะถูกสนามประลองดูดซับและหายวับไป
วันหนึ่งก็ถึงการประลองของหวังหลิน เขาลอยเข้าสู่สนามประลองอย่างช้าๆ ศิษย์สายในขั้นแกนลมปราณคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเทาเป็นผู้รับผิดชอบการประลองครั้งนี้ เขามองหวังหลินอย่างเย็นชาและตกใจเมื่อค้นพบว่าระดับเซียนของหวังหลินใกล้เคียงกับเขา มีศิษย์สายนอกไม่มากนักที่จะบรรลุถึงระดับนี้ เขาเอ่ยขึ้น “หมายเลข 8972 ประลอง!”
เสียงตะโกนหนึ่งดังออกมารอบด้านเหล่าศิษย์และจากนั้นศิษย์อ้วนท้วนตัวสั้นกระโดดออกมาจากเหล่าศิษย์ราวกับบอลเนื้อพร้อมกับร่อนลงสนามประลอง เขาไม่ได้พูดอะไร หลังการปรากฎตัวฝ่ามือสร้างผนึกและบอลอัคคีปรากฎ จากนั้นกระแทกลงเข้าหาหวังหลินราวกับสายฝนอัคคี
“ขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลาย…” หวังหลินส่ายศีรษะ เพื่อการประลองนี้เขาต้องจำกัดระดับฝึกฝนไว้ที่ขั้นแกนลมปราณระดับกลาง หวังหลินโบกแขนและกระโดดออกจากเวที
จังหวะที่เขากระโดดออกจากเวที เจ้าศิษย์ร่างอ้วนตัวสั้นพลันร่างกายสั่นเทา บอลอัคคีทั้งหมดหายไปและมันสลบเหมือด
หวังหลินไม่ได้สังหารเขา การสังหารเด็กน้อยขั้นพื้นฐานลมปราณเป็นเรื่องน่าละอายเกินไป
ขณะที่เวลาผ่านไป ศิษย์สายนอกตายไปมากมาย หลังผ่านไปเจ็ดวันนอกจากหนึ่งร้อยคนที่ผ่านมา คงเหลือศิษย์สายนอกอยู่เพียงแค่ครึ่งเดียว
คนที่เหลือทั้งหมดแต่ละคนยอมแพ้ล่วงหน้าไม่ก็บาดเจ็บหนักเพื่อให้มีชีวิตรอด
ระหว่างเจ็ดวันนี้มีเพียงแค่สี่คนที่เป็นจุดสนใจ
ในทั้งสี่คนมีชายชราผมเทาขั้นแกนลมปราณระดับปลายอยู่ด้วย ทุกคนที่เผชิญหน้ากับเขาจะถูกสังหารด้วยวิชาเดียวกัน ที่เขาทำลงไปทั้งหมดคือการชี้แล้วพูดคำว่า “ตาย” และศัตรูจะฟุบลงและตายทันที
ตอนที่หวังหลินเห็นวิชานี้เขาคิดถึงขอบเขตจวี่ทันทีและตกใจ ทว่าตอนที่เขามองดูใกล้ๆวิชานี้แตกต่างจากขอบเขตจวี่นัก
“มนต์แห่งความตาย?” หลังครุ่นคิดสักพักหวังหลินจึงเดาชื่อของวิชานี้ออก
ตอนที่อยู่ในทะเลปิศาจ ขอบเขตจวี่ของเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นมนต์แห่งความตาย และนั่นเป็นตอนที่เขาศึกษามัน
มนต์แห่งความตายนี้ฝึกฝนได้ยากยิ่ง ในห้าร้อยปีที่เขาฝึกฝนมานี่เป็นครั้งแรกที่พบเห็น
คนอื่นๆที่ถูกจับตามีทั้งผอมและตัวเล็ก แม้จะเป็นเพียงขั้นแกนลมปราณระดับต้น เขากลับเหมือนสัตว์ป่าเนื่องจากสามารถตรวจจับการไหลเวียนพลังปราณได้ก่อนที่คนผู้นั้นจะใช้วิชาเซียนและลงมือสอดประสานกัน
หากเขาต่อสู้กับคนที่แข็งแกร่งกว่าจะไม่มีอะไรนักแต่เมื่อต่อสู้กับคนที่มีระดับฝึกฝนเดียวกัน มันคือข้อได้เปรียบมหาศาล
ช่วยไม่ได้ที่หวังหลินจะยกย่องว่าเป็นพรสวรรค์ เขาต้องกลายเป็นศิษย์สายในดังนั้นจึงรีบโยนความคิดออกจากหัวอย่างรวดเร็ว
คนที่สามเป็นคนที่หวังหลินคุ้นเคยด้วยนั่นคือเซียนคล้ายคนขายเนื้อจากถ้ำ 743 เขามีสมบัติเครื่องรางที่สังหารคนไปนับไม่ถ้วน ทุกคนที่ต่อสู้กับเขาจะถูกเครื่องรางนี้สังหาร
ส่วนคนสุดท้ายคือหวังหลินเอง เขาผ่านการต่อสู้และทำให้ฝ่ายตรงข้ามสลบเหมือดเพียงแค่โบกแขนเสื้อ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้ทุกคนสนใจ
ทว่าเรื่องนี้หวังหลินทำลงไปเนื่องจากมีเป้าหมาย การทำสิ่งนี้จะไม่ดูประหลาดไปนักตอนที่เขาเข้าสู่ข้างในสำนัก
ส่วนหลิวเหมย หวังหลินสันนิษฐานว่านางต้องมีแผนของตนเอง แม้นางจะไม่ปรากฎตัวในการประลอง นางก็สามารถเข้าไปในสำนักด้วยวิธีการบางอย่างได้อยู่แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและอีกหลายวันก็ผ่านไป จากหนึ่งร้อยคนเหลือเพียงแค่สี่คน
สี่คนที่เหลือคือสี่คนที่ได้รับความสนใจจากสำนักหลอมวิญญาณ
วันนี้คือวันแห่งการต่อสู้ของหวังหลิน เขายืนอยู่บนเทวีขณะมองฝ่ายตรงข้ามเดินเข้าไปในสนามและเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย
คนที่ขึ้นมาไม่ใช่คนแปลกหน้าแต่เป็นเซียนจากถ้ำ 743
คนที่รับผิดชอบการประลองนี้คือเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้นจากศิษย์สายใน เป็นชายวัยกลางคนไว้จอนทรงสูง เขามองรอบๆและเอ่ยขึ้น “การประลอง เริ่ม!”
เมื่อเขาพูดจบ เซียนคล้ายคนขายเนื้อผู้นั้นยิ้มอย่างเจ็บปวดและเอ่ยออกมา “ข้ายอมแพ้!”
เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดผู้นั้นตกตะลึง เขาถามย้ำอีกครั้ง “เจ้ายอมแพ้?”
เซียนคล้ายคนขายเนื้อรีบพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “ข้าขอถอนตัว!” สิ้นคำเขารีบออกจากเวที หัวใจเต้นรัวพลางคิดขึ้นว่า ‘ข้ายังมีกฎเกณฑ์ที่เจ้าสารเลวนั่นวางเอาไว้ในร่างกายข้า เขาสังหารข้าได้เพียงแค่คิดเท่านั้น!’
หลังออกจากเวที เขายิ้มออกมาเพื่อให้หวังหลินเมตตา
หวังหลินยิ้มและส่ายศีรษะเบาๆก่อนจะเดินออกไปจากเวที เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมองหวังหลินอย่างครุ่นคิดและออกไปจัดการการต่อสู้ครั้งที่สอง
เป็นการประลองระหว่างชายชราผู้ควบคุมมนต์แห่งความตายและเด็กหนุ่มที่มีสัญชาตญาณดีเยี่ยม
เด็กหนุ่มไม่สามารถต่อต้านมนต์แห่งความตายได้เลย เขาถูกลำแสงพลังปราณที่ออกมาจากทุกทิศทางจากศิษย์สายในเพื่อช่วยชีวิตไว้
ณ ตอนนี้เองคงเหลือเพียงสองคนจากการแข่งขันศิษย์สายนอก หวังหลินและชายชรานามว่าซือหม่า
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองเริ่มขึ้นในวันที่สอง
ดวงตาของซื่อหม่ามืดมนขณะยืนอยู่บนลานประลอง เขาฝึกฝนมนต์แห่งความตายมายาวนานเพียงเพื่อวันนี้ เมื่อเข้าเป็นศิษย์สายในเขาจะมีโอกาสสร้างวิญญาณแรกกำเนิด
ยิ่งไปกว่านั้นธงวิญญาณของสำนักหลอมวิญญาณถือว่าดียิ่งต่อมนต์แห่งความตายของเขา จากปากอาจารย์หากเขาบ่มเพาะในเวลาเดียวกัน พลังของเขาจะเข้าใกล้สิ่งที่สูญเสียไปนานนั่นคือขอบเขตจวี่ในตำนาน
เมื่อคิดถึงอาจารย์ ดวงตาพลันเต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง อาจารย์ของเขาสามารถสังหารใครก็ได้เพียงแค่เอ่ยคำว่า “ตาย” และมีเซียนขั้นตัดวิญญาณไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีไปได้
ในความคิดเขา ท่านอาจารย์มีความสามารถในการท้าประลองพวกอสูรเท่าขั้นแปลงวิญญาณด้วยซ้ำ
“มนต์แห่งความตาย พวกมันไม่สามารถต่อต้านมนต์แห่งความตายได้เว้นแต่ว่าจะมีระดับบ่มเพาะสูงกว่าขึ้นไป มนต์แห่งความตายเล่าลือกันว่ามาจากยุคเซียนโบราณตอนที่พยายามเลียนแบบขอบเขตจวี่ ข่าวลือว่าการฝึกฝนมนต์แห่งความตายไปถึงจุดสูงสุดจะทำให้ได้รับเศษเสี้ยวขอบเขตจวี่”
คำพูดของอาจารย์ยังดังก้องในหัวสมองของซือหม่าขณะจ้องไปที่คู่ต่อสู้คนสุดท้่าย
เขาไม่ถือว่าชายหนุ่มชื่อว่าฉิงมู่ผู้นี้จะเป็นภัยคุกคามเลย เจตนาฆ่าฟันกระพริบผ่านแววตาและเอ่ยขึ้นว่า “ตาย!”
มนต์แห่งความตายพุ่งเข้าหาหวังหลินเพียงแค่เขาเอ่ยคำนั้น