405. เจ้าขาวน้อย
บนดาวนี้ไม่ได้มีพืชพันธุ์มากนักแต่มีภูเขาอยู่เป็นจำนวนมาก มีเซียนจำนวนน้อยนิดมากและไม่มีคนธรรมดาอยู่เลย
ไม่ได้มีเซียนมากนักที่สามารถทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ได้ซึ่งต้องมีอย่างน้อยขั้นแปลงวิญญาณ อีกทั้งยังจำเป็นต้องใช้เข็มทิศดวงดาวไม่เช่นนั้นจะพบว่าการเดินทางผ่านอวกาศเป็นเรื่องยากลำบากมาก
หวังหลินอุ้มโจวลี่และเจ้าขาวน้อยขณะเหาะเหินข้ามผ่านท้องฟ้า มีภูเขาขนาดใหญ่หลายลูกอยู่เบื้องล่างพวกเขาทำให้โจวลี่อุทานเสียงดังออกมาเป็นพักๆ
ณ ป่าทางทิศเหนือ หวังหลินจับพยัคฆ์ตัวใหญ่ให้โจวลี่ได้ พยัคฆ์ตัวนี้เป็นสีม่วงล้วนและยาวถึงสามสิบฟุต อีกทั้งยังปลดปล่อยกลิ่นอายน่าเกรงขาม
อย่างไรก็ตามหวังหลินพบว่ามันแปลกมากที่พยัคฆ์ตัวนี้ไม่มีสติปัญญา มันห่างชั้นกับเจ้าขาวน้อยอยู่ไกลโข
แต่มีพลังลึกลับสายหนึ่งอยู่ข้างในตัวมัน เพียงคำรามครั้งเดียวมันสามารถส่งเม็ดทรายรอบๆให้ลอยออกไปได้และข่วนเหล็กให้แตกได้ พลังของมันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายเลยด้วยซ้ำ
หวังหลินจัดการกับพยัคฆ์ตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย เขาทิ้งตราประทับไว้บนวิญญาณของมันเพื่อทำให้โจวลี่เป็นเจ้านาย และยกให้นางเป็นของขวัญ
ความรักของโจวลี่ต่อพยัคฆ์ตัวนี้เพิ่มขึ้นมามีระดับเดียวกับการรักเจ้าขาวน้อยในทันที
“ต่อไปข้าจะเรียกว่า เจ้าม่วงน้อย!” โจวลี่เอ่ยขณะที่นางนั่งอยู่บนหลังของมันและปรบมืออย่างมีความสุข
เจ้าขาวน้อยอยู่ด้านก้มศีรษะลง มันรู้สึกดูถูกเจ้าพยัคฆ์ม่วง มันคือพยัคฆ์มารที่มีเกียรติ จะเปรียบเจ้าก้อนเนื้อนี้กับมันได้อย่างไร?
เมื่อคิดเช่นนี้ มันคำรามอย่างเกียจร้านใส่เจ้าพยัคฆ์ม่วง
อย่างไรก็ตามมันไม่คิดว่าเจ้าม่วงจะหันศีรษะมาหามันและส่งเสียงคำรามตอบโต้ เสียงคำรามนี้เต็มไปด้วยพลังอำนาจราวกับสามารถสั่นสะเทือนสวรรค์ได้
ขนทุกเส้นบนร่างเจ้าขาวน้อยลุกตั้งขึ้นและถอยกลับไปหลายสิบฟุต มันจ้องเจ้าพยัคฆ์ม่วงด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าขยับเขยื้อน
เรื่องนี้ทำให้โจวลี่ปรบมืออย่างมีความสุข “เจ้าขาวน้อย เจ้าเอาชนะม่วงน้อยไม่ได้หรอก”
หวังหลินเฝ้ามองใบหน้ามีความสุขของโจวลี่และเริ่มขบคิด เขาไม่ได้ห่วงโจวลี่มากเกินไป หลังจากใช้เวลากับนางไปมาก ส่วนใหญ่เขารู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวที่กำลังมองเด็กๆอยู่เท่านั้น
มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเป็นห่วงก็คือลี่มู่หวาน
วันที่วิญญาณของลี่มู่หวานตื่นขึ้นจะเป็นวันที่วิญญาณของโจวลี่จะถูกกลืนกิน ไม่มีทางที่ทั้งสองจะอยู่รอดได้พร้อมกัน
หากเขานำเอาวิญญาณเซียนของลี่มู่หวานออกมาก่อน มันจะช่วยโจวลี่ไว้แต่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ลี่มู่หวานจะหนีรอดความตายพ้น
นอกจากนั้นวิญญาณเซียนของลี่มู่หวานตกอยู่ในการหลับลึกและยังคงฟื้นฟู หากนำออกมาตอนนี้มันคงหายไป
หวังหลินเข้าใจว่าใครสำคัญยิ่งในหัวใจเขา ไม่มีข้อกังขา
ทว่าการเสียสละชีวิตของเด็กคนนี้ด้วยความเห็นแก่ตัวของตนเองเพียงเพื่อให้ลี่มู่หวานตื่นขึ้นทำให้หวังหลินต่อสู้กันอยู่ในใจ
แม้ว่าเขาจะสังหารผู้คนมานับไม่ถ้วนในชีวิต เขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับตัวเองและเผชิญหน้ากับสวรรค์หลังจากสังหารคนเหล่านั้นไปได้ แม้เขาจะเป็นมาร เขาไม่ใช่มารที่ไร้ความเป็นมนุษย์
ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปและฤดูใบไม้ร่วงเข้ามาแทน พริบตาเดียวสองปีก็ผ่านไป
ตอนนี้โจวลี่อายุสิบห้าปี ยังเหลืออีกสี่ปีจนกว่าลี่มู่หวานจะตื่นขึ้น
ในสองปีที่ผ่านมานี้โจวลี่ค่อยเติบโตขึ้นและผลิบานกลายเป็นหญิงสาวน่ารัก จำนวนครั้งที่ลี่มู่หวานปรากฎในความฝันของนางได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก
หวังหลินใช้เวลาสองปีที่ผ่านมานี้ในการบ่มเพาะ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ความเจ็บปวดในใจเขายิ่งรุนแรงขึ้นและรุนแรงขึ้น
การเลือกลี่มู่หวานเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่เขาจะรับประกันชีวิตของเด็กคนนี้ตอนที่ลี่มู่หวานตื่นขึ้นมาได้อย่างไร นั่นเป็นคำถามที่เขายังคงครุ่นคิดมาตลอด
โจวลี่ยิ่งเงียบขรึมมากขึ้นในสองปีที่ผ่านมานี้ นางนั่งลงบนหลังเจ้าม่วงพร้อมกับเจ้าขาวด้านหลังและจ้องไปบนท้องฟ้า
โจวลี่กระซิบ “เจ้าขาวน้อย ข้ารู้สึกว่าพี่ใหญ่ในตัวข้าค่อยๆตื่นขึ้น จนในที่สุดเมื่อนางตื่นขึ้นข้าจะหายไป…หลังจากข้าหายไปเจ้าต้องทำตัวดีดีนะขาวน้อย ข้าจะขอให้ท่านลุงพาเจ้ากลับบ้าน เจ้าขาวน้อยหลังจากข้าจากไป เจ้าจะคิดถึงข้าไหม…”
เจ้าขาวน้อยเงยศีรษะขึ้นมองโจวลี่ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อน
แม้ว่าโจวลี่จะรังแกมันบ่อยๆ ความจริงมันรู้สึกว่าโจวลี่รักมันจริงๆ ตอนที่เจ้าม่วงน้อยรังแกมัน โจวลี่ที่อยู่ข้างมันจะดุด่าเจ้าขาวน้อยทุกครั้ง
เจ้าขาวน้อยเก็บเรื่องทั้งหมดนี้ไว้ในใจ แม้ว่ามันจะเป็นพยัคฆ์มาร จิตใจของมันเจ็บปวดขณะมองโจวลี่และพงกศีรษะใหญ่ๆของมัน
โจวลี่ยิ้มบาง นางกระโดดออกจากเจ้าม่วงน้อยมาถึงเจ้าขาวน้อยที่อยู่ถัดไป นางลูบขนนุ่มๆของมันและเอ่ยขึ้น “ขาวน้อย หลังข้าหายไป เจ้าคิดว่าท่านลุงจะคิดถึงข้าไหม…”
ขาวน้อยร้องเสียงเบาและมองโจวลี่
โจวลี่ลูบขนเจ้าขาวน้อยและรู้สึกหดหู่ นางมองร่างที่กำลังนั่งอยู่ไกลๆบนภูเขาและคิดขึ้นในใจอย่างเงียบๆ ‘ท่านลุง ลี่เอ๋อน้อยเข้าใจ แม้กระทั่งตอนนี้ตอนที่ท่านมองมาที่ข้า ท่านกำลังมองไปที่พี่สาวและไม่ได้มองมาที่ข้า นางต้องสำคัญมากสำหรับท่านแน่นอน ลี่เอ๋อน้อยรู้ว่าจะต้องทำอะไร’
ดวงตาลี่เอ๋อเริ่มเอ่อล้นขณะมองออกไปหาเจ้าม่วงน้อยและกระซิบ “ม่วงน้อย เมื่อข้าหายไป เจ้าจะได้รับอิสระ…”
หวังหลินกำลังนั่งอยู่บนยอดภูเขา แม้ว่าเขากำลังบ่มเพาะแต่ความจริงเพียงแค่จ้องไปบนท้องฟ้า
หวังหลินขบคิด ‘ฟ้าดิน…ข้าหวังหลินต่อต้านฟ้าดินมาตลอดแต่เวลานี้ข้ายังคงพักผ่อนอยู่เลย…’
เสียงเรียกของโจวลี่ดังมาจากเบื้องล่าง “ท่านลุง ท่านลงมาได้ไหม?”
หวังหลินก้มศีรษะลงมองโจวลี่ด้วยใบหน้าซับซ้อน เขากระโดดออกจากภูเขาและร่อนลงข้างตัวนาง
“ท่านลุงนั่งลง ลี่เอ๋อน้อยอยากหวีผมให้” โจวลี่เผยรอยยิ้มไร้เดียงสา นางถือแปรงไม้ที่ไท้หยานให้นางเป็นของขวัญ
นางไม่รอให้หวังหลินตอบรับทว่าลากเขาไปที่หินก้อนใหญ่ หลังจากหวังหลินนั่งลงนางก็เข้าไปข้างหลังและเริ่มหวีผมอย่างระมัดระวัง
ใบหน้าของนางเคร่งขรึมมาก หลังจากนั้นสักพักนางจึงเอ่ยขึ้น “ท่านลุง ท่านเล่าเรื่องพี่สาวกับท่านให้ลี่เอ๋อฟังได้ไหม?”
หวังหลินครุ่นคิด หลังจากนั้นพักใหญ่เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ
เรื่องราวจากปากเขากระทบเข้าสู่หูของโจวลี่ นางหวีผมเขาขณะฟังไปด้วย ร่างกายนางสั่นเทาเป็นครั้งคราวราวกับได้เข้าใจอะไรบางอย่าง
โจวลี่วางหวีไม้ลงและกระซิบ “ท่านลุง หากข้าตายไปก่อนหน้านี้ นั่นหมายความว่าพี่สาวหวานเอ๋อจะไม่อาจตื่นขึ้นมาได้อีกเลย…”
หวังหลินหันหน้าไปมองโจวลี่ สิ่งที่เขาเห็นคืออาการของคนแปลกหน้าในตัวนาง
โจวลี่ยกศีรษะขึ้นมองหวังหลิน ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าพลางกระซบ “ในสายตาท่านลุง ลี่เอ๋อน้อยเป็นเพียงร่างกายเพื่อให้พี่สาวหวานเอ๋อตื่นขึ้นมาใช่ไหม? ตั้งแต่ข้ายังเล็ก ข้าคิดว่าท่านเป็นครอบครัวข้า ลุงของข้ามาตลอด…ตอนที่ท่านมองข้า ข้าอยากให้ท่านเห็นข้าจริงๆไม่ใช่พี่สาวหวานเอ๋อ แม้จะเป็นแค่ครั้งเดียวก็ตาม”
หวังหลินมองโจวลี่ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “ลี่เอ๋อน้อย เจ้าเหนื่อยไปแล้ว พักผ่อนเถอะ” เช่นนั้นเขาหันตัวกลับและหายวับไป
หวีไม้ในฝ่ามือโจวลี่ตกลงสู่พื้น นางก้มหน้าลงและเริ่มร้องไห้
หยาดน้ำตาสองสายไหลรินลงมาจากต่อมน้ำตา
โจวลี่ร้องไห้และพึมพำไปด้วย “ท่านลุง ข้ากลัว!”
ร่างหวังหลินปรากฎออกไปไกลและสั่นเทาเล็กๆ อารมณ์ความซับซ้อนในแววตายิ่งรุนแรงขึ้น
“หวานเอ๋อ หากเป็นเจ้าจะเลือกอย่างไร…”
เจ้าขาวน้อยหายตัวไป
มันหายตัวไปโดยไร้สิ้นเสียงแต่หวังหลินเห็นมันจากไปกลางดึกอย่างเงียบๆ
โจวลี่เศร้ามากขึ้นเมื่อเจ้าขาวน้อยจากไปและเริ่มป่วยหนัก
ขณะที่นางหลับเนื่องจากอาการป่วย นางร้องหาเจ้าขาวน้อยตลอด
แม้ว่านางจะรังแกเจ้าขาวน้อยบ่อยๆ นางถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในใจนาง แม้นางจะมีเจ้าม่วงน้อยตอนนี้ทว่าเจ้าขาวน้อยยังคงสำคัญมาก
เจ้าขาวน้อยเป็นเพื่อนของนาง เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวเท่านั้น
ทว่าตอนที่หวังหลินกำลังออกไปเอาเจ้าขาวน้อยกลับมา นางหยุดเขา นางอ้อนวอนหวังหลินและกระซิบ “หากเจ้าขาวน้อยอยากไปก็คือทางเลือกของมัน มันควรจะมีสิทธิ์เลือก มันโชคดีกว่าโจวลี่น้อยแล้ว…ไม่ต้องออกไปหามันหรอก…”
หวังหลินเดินออกมาในความเงียบงันพร้อมกับเจ็บปวดใจ เขาคิดว่าจะทำอย่างไรดีในการช่วยทั้งคู่เมื่อมีเวลาสี่ปี
“ท่านลุงไม่ต้องการข้าอีกแล้ว เจ้าขาวน้อยยังมาจากไปอีก…” หนึ่งเดือนหลังจากนั้นอาการป่วยของโจวลี่เริ่มดีขึ้นแต่นางเป็นคนเงียบกว่าเดิมและมักจะจ้องมองออกไปไกลๆบ่อยครั้ง
ในยามเช้าอีกสองเดือนถัดมา เสียงเหนื่อยอ่อนแต่ตื่นเต้นดังขึ้นให้ได้ยิน เจ้าขาวน้อยปรากฎในสายตาโจวลี่และเพียงกระโดดไม่กี่ครั้งมันก็มาถึงตัวนาง
ในปากมันเป็นกิ่งไม้สีแดงพร้อมกับผลไม้ติดมาด้วยหนึ่งผล
เจ้าขาวน้อยกลับมา!
โจวลี่มองไปที่เจ้าขาวน้อย นางมีความสุขมากและโกรธในเวลาเดียวกัน
“เจ้าขาวน้อย เจ้าห้ามทิ้งข้านะ…” โจวลี่กอดมัน หยดน้ำตาไหลลงบนแก้ม นางเผยรอยยิ้มความสุข
ตอนนี้เจ้าขาวน้อยผอมกว่าเดิมและขนของมันไม่เนียนนุ่มอีก ชัดเจนว่ามันได้รับบาดเจ็บและแทนที่จะดูดุร้าย มันกลับดูเหนื่อยอ่อนอย่างมาก
มีรอยแผลบาดลึกบนท้อง แม้ว่ารอยแผลจะสมานแล้วมันยังมีรอยเลือดอยู่บนขน
ขณะที่เจ้าขาวน้อยวางกิ่งไม้บนพื้น มันเลียโจวลี่จากนั้นมองไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าหวังหลินไม่อยู่รอบๆ มันดึงเสื้อโจวลี่และจับผลไม้บนพื้น
“เจ้าขาวน้อยทำอะไร…” โจวลี่ตกตะลึงพลางหยิบผลไม้จากบนพื้นขึ้นมา
เจ้าขาวน้อยมองไปรอบๆและเริ่มกระวนกระวาย มันส่งเสียงคำรามหลายครั้งบอกให้โจวลี่รีบกิน
“เจ้าขาวน้อยอยากให้ข้ากินอันนี้หรือ?” โจวลี่อยู่กับขาวน้อยมานานดังนั้นจึงเข้าใจสิ่งที่มันจะสื่อได้ทันที
เจ้าขาวน้อยรีบพยักหน้าและดวงตากระวนกระวายอีกครั้ง
โจวลี่หยิบผลไม้และกระซิบ “ขาวน้อย ผลไม้นี้คือผลอะไร?”
น้ำเสียงหวังหลินดังออกมาไกล “นั่นคือผลไม้สลายวิญญาณ!”
ขนทุกเส้นบนร่างเจ้าขาวน้อยตั้งชูชัน มันรีบกระโดดขึ้นป้องกันโจวลี่จากหวังหลินอย่างรวดเร็วและเริ่มคำราม