420. เฉียนเฟิง
เฉียนเฟิงพยักหน้าเบาๆและเอ่ยขึ้น “ข้าไม่คิดว่าน้องเซิ่งจะรู้จักชื่อข้า ข้าเชื่อว่าศิษย์น้องซุกซนของข้าคงเล่าเรื่องข้าให้เจ้าไปแล้ว นางต้องพูดเรื่องแย่ๆของข้าแน่”
ตุ้นเทียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พอแล้วเฉียนเฟิง จงเปิดค่ายกล ข้าไม่ต้องการเสียเวลากับเจ้า หากเจ้าไม่เปิดมันตอนนี้จะได้อยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
เฉียนเฟิงหัวเราะ “ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร หรือว่าผู้สืบทอดที่ท่านเลือกไม่กล้าสู้กับข้ากัน? ท่านสบายใจได้ ข้าไม่ได้ใช้กระบวนท่าถึงตายหรอก เราแค่ประมือกันเท่านั้น”
ตุ้นเทียนเยาะเย้ย เขายกฝ่ามือขึ้นกำลังจะใช้มนต์คาถา ทว่าหวังหลินเอ่ยขึ้นก่อน “ตกลง ข้าจะต่อสู้กับท่าน”
ดวงตาเฉียนเฟิงส่องสว่างวาบ เขาหัวเราะขณะเดินออกจากม่านแสงสีเขียวและหยุดห่างจากหวังหลินไปสิบฟุต “เยี่ยมมาก ไม่แปลกใจเลยว่าน้องเซิ่งเป็นถึงคนที่สังหารหลี่หยวนเฟิงและบรรชนเผ่ามารยักษ์ได้…”
หวังหลินไม่อยากเปลืองน้ำลาย ขณะที่เฉียนเฟิงเดินออกมา หวังหลินจึงนำกระบี่สวรรค์ออกมาพลันกระตุ้นพลังปราณสวรรค์และตวัดลงบนเฉียนเฟิงจนตัดบทเขา แม้ว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หวังหลินพบเฉียนเฟิง แต่หวังหลินไม่ได้มีความรู้สึกที่ดี ครั้งแรกหวังหลินจึงใช้พลังเต็มที่มากกว่าเดิมสองในสิบส่วน
การผ่าลงครั้งนี้เรียบง่ายและรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ดวงตาเฉียนเฟิงเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาไม่ได้ใช้สมบัติชิ้นใดแต่ชี้ไปที่กลางอากาศเบื้องหน้า
ปัง!
เกิดเสียงดังสนั่นกลางท้องฟ้า การตวัดลงจากหวังหลินครั้งนี้ได้บรรจุพลังปราณสวรรค์เอาไว้ทำให้กระบี่สวรรค์ทรงพลังมากกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งยังบรรจุพลังปราณสวรรค์ทั้งหมดที่หวังหลินสามารถใช้ในครั้งเดียวไปด้วยทำให้ความแข็งแกร่งของมันทรงพลังมาก
เฉียนเฟิงถูกถอยกลับไปหนึ่งพันฟุตก่อนที่จะสามารถกำจัดพลังกระบี่สวรรค์ได้ ใบหน้าไม่สงบนิ่งอีกแล้ว ดวงตาเยือกเย็นและเรืองแสงจดจ้องกระบี่สวรรค์ของหวังหลิน “สมบัติสวรรค์!”
นิ้วชี้ขวากำลังสั่นขณะโลหิตหยดลงจากปลายนิ้ว แขนขวาทั้งแขนด้านชาไปเรียบร้อย
เฉียนเฟิงไม่คาดคิดว่าหวังหลินจะโจมตีด้วยพลังเต็มที่ในครั้งแรก
หลังเฉียนเฟิงถูกดันถอยไปในกระบี่เดียว หวังหลินอ้าปากพ่นแสงสีดำออกมา เขาจับเอาไว้ในฝ่ามือและมันเปลี่ยนเป็นธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง เพียงสะบัดหนึ่งครั้ง ดวงวิญญาณทั้งหมดลอยละล่องออกมา
หวังหลินรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถเอาชนะเฉียนเฟิงได้ นอกจากนั้นแล้วเฉียนเฟิงยังเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางด้วย มีเพียงวิธีเดียวที่เขาจะลงมือก็คือการโจมตีครั้งแรกและโจมตีเฉียนเฟิงให้เร็วจนไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร
เมื่อเหล่าดวงวิญญาณปรากฎ หวังหลินรีบออกคำสั่ง “กลืนกิน!”
ในเหล่าดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนมีวิญญาณหลักทั้งสิบสองดวง พวกมันยิ้มทะมึนขณะพุ่งกระโจนเข้าหาเฉียนเฟิง
เหตุการณ์ตั้งแต่เฉียนเฟิงเดินออกมาจากม่านแสงสีเขียวจนถึงล้อมรอบด้วยดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนนั้นมันเกิดขึ้นเร็วมาก มันเร็วเกินไปจนเฉียนเฟิงรู้สึกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรดี
นอกจากนั้นแล้วเขาไม่ได้รู้จักหวังหลินมาก่อนและกำลังมองมาที่หวังหลิน ไม่เช่นนั้นด้วยระดับบ่มเพาะของเขา ไม่มีทางที่จะยกโอกาสให้หวังหลินใช้ธงวิญญาณไปได้
จากมุมมองของเฉียนเฟิง หวังหลินน่ารังเกียจเกินไป ด้วยสถานะของเขา ไม่ว่าเขาเผชิญหน้ากับใคร ฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อยก็คุยกับเขาสักหน่อยก่อนเริ่มต่อสู้ แต่ทว่าหวังหลินตัดบทเขาอย่างไม่คาดคิดและโจมตีในจังหวะที่ออกมาเสียนี่ การกระทำเช่นนี้ไม่แตกต่างจากการลอบโจมตีเลย
แม้แต่ตอนที่เขาสู้กับปรมาจารย์น้อยแห่งเผ่าละทิ้งอมตะ เขายังไม่อยู่ในตำแหน่งที่น่าอับอายเช่นนี้
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ตุ้นเทียนมีความสุขมาก เขาเริ่มหัวเราะเสียงดังและคิดขึ้น ‘เซิ่งหนิวคนนี้เข้าใจแก่นแท้ของสำนักหลอมวิญญาณจริงๆ หากจะลงมือเมื่อนั้นต้องลงมือในโอกาสที่ดีที่สุด’
ตอนนี้เฉียนเฟิงถูกล้อมรอบด้วยธงวิญญาณย่อยของธงหนึ่งล้านดวง ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนสร้างแรงกดดันแข็งแกร่งโดยเฉพาะวิญญาณหลักทั้งสิบสองดวงที่อันตรายมากสำหรับเขา
ความอ่อนโยนหายไปจากใบหน้าเฉียนเฟิงและถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชัง เขาตบกระเป๋าและสว่านปลายแหลมสีแดงโผล่ออกมา
“สว่านซูซาคุ!” ตุ้นเทียนขมวดคิ้ว เขาคิดว่าซูซาคุคนปัจจุบันให้ท้ายเฉียนเฟิงจริงๆไม่เช่นนั้นคงไม่ยกสมบัติเช่นนี้ให้
ตุ้นเทียนใช้วิชาสื่อสารออกมา “เซิ่งหนิว สมบัติชิ้นนี้เป็นของจูเซว่จื่อ เป็นถึงสมบัติสวรรค์เทียมดังนั้นมันจึงทรงพลังอย่างมาก”
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เขาเป็นคนเด็ดขาดดังนั้นในจังหวะนี้ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเอ่ยขึ้น “ระเบิด!”
เพียงคำเดียว ดวงวิญญาณหนึ่งร้อยล้านดวงระเบิดออกทันที
ตู้มมม! ตู้มมม! ตู้มมม!
การระเบิดของวิญญาณถึงหนึ่งร้อยล้านดวงได้สร้างพลังทำลายล้างเกินจินตนาการ ใบหน้าเฉียนเฟิงเปลี่ยนไปมหาศาล เขาเก็บสว่านกลับไปโดยไม่ลังเลและนั่งลงในท่านั่งดอกบัวทันที ตลอดค่ายกลซูซาคุส่งประกายและหายวับไปก่อนจะปรากฎอีกครั้งด้านหน้าเฉียนเฟิง
ร่างกายเขาตอนนี้เรืองแสงสีเขียวทรงพลัง วังวนแข็งแกร่งออกมาจากร่างและดูดซับพลังทำลายล้างทั้งหมด
แรงสะท้อนทรงพลังจากการระเบิดทำให้ม่านแสงสีเขียวสั่นสะท้านรุนแรงและเฉียนเฟิงที่อยู่ข้างในพลันกระอักโลหิตออกมา
หวังหลินลอบถอนหายใจขณะโบกแขนและเรียกวิญญาณหลักสิบสองดวงกลับมา ตอนนี้ค่ายกลซูซาคุหายไปแล้ว หวังหลินเข้าไปยืนด้านข้างตุ้นเทียนอย่างใจเย็น
หลังจากวิญญาณหลักสิบสองดวงคืนกลับ ธงวิญญาณย่อยหนึ่งล้านดวงของหวังหลินเปลี่ยนกลับเป็นควันสีดำสายหนึ่งและออกจากวิญญาณดั้งเดิม มันกลับคืนสู่ตุ้นเทียนและเข้าไปในธงวิญญาณของจริง
ธงวิญญาณย่อยของหวังหลินถูกใช้จนหมดสองครั้งแล้ว
ดวงตาตุ้นเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขายกฝ่ามือขึ้นและลดลงไป ตอนนี้เขาไม่สามารถสังหารเฉียนเฟิงได้เมื่อมีค่ายกลซูซาคุล้อมรอบเอาไว้ ไม่มีทางที่จะทำลายค่ายกลซูซาคุที่ซึ่งปกป้องคนเพียงหนึ่งคนได้เว้นแต่เขาจะใช้วิญญาณดวงที่สี่
หวังหลินเยือกเย็นราวกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
เวลาสามลมหายใจผ่านไป ม่านแสงสีเขียวหายไปและเฉียนเฟิงเดินออกมาด้วยใบหน้ามืดมัว เขาจ้องหวังหลินด้วยความโกรธและความขุ่นข้อง ทว่าเขาระงับอารมณ์ตัวเองไว้ทันที หลังสูดหายใจลึกท่าทางสุภาพกลับมาอีกครั้ง “น้องเซิ่งเก่งจริง! ข้าเรียนรู้อะไรมากมายจากเรื่องนี้”
หวังหลินเอ่ยด้วยความสงบนิ่ง “ไม่มีปัญหา!” สายตาหยุดลงตรงป่าห่างออกไปไม่ไกลจากนั้นถอนหายใจและเหาะเหินไปทางสำนักหลอมวิญญาณ
ตุ้นเทียนยิ้มออกมาอย่างซุกซนขณะมองเฉียนเฟิง จากนั้นตรวจสอบป่าไม้ห่างออกไปไม่ไกลก่อนจะหายตัวไปทางสำนักหลอมวิญญาณ
ความโกรธเกรี้ยวในแววตาเฉียนเฟิงคืนกลับมา เขากำหมัดแน่นขณะจ้องทางที่หวังหลินจากไปและร้องตะโกน “ผีเสื้อสีชาดออกมา!”
สตรีสวมชุดราตรีสีแดงเดินออกมา นางสวยและงดงามมาก อย่างไรก็ตามดวงตาของนางเต็มไปด้วยความงุนงงและสับสนราวกับเป็นหุ่นเชิดที่ไร้วิญญาณ
เมื่อผีเสื้อสีชาดมาถึงด้านข้างเฉียนเฟิง เขาหันกลับมาและจิ้มหน้าผากผีเสื้อสีชาดทันที ใบหน้าของนางซีดเผือดราวกับคนตายพร้อมกับพลังชีวิตถูกดูดซับอย่างรวดเร็ว
เฉียนเฟิงมีปฏิกิริยาตรงข้ามกัน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง อาการบาดเจ็บทั้งหมดที่ได้รับก่อนหน้านี้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและในพริบตาเดียวเขาก็ฟื้นคืนมาได้สมบูรณ์
เฉียนเฟิงถอนฝ่ามือและมองบาดแผลบนนิ้วตัวเอง มันยังคงมีโลหิตออกมาจากแผลนั้น
“เลียมันให้สะอาด!” เฉียนเฟิงยกนิ้วชี้ไปให้ผีเสื้อสีชาด นางอ้าปากเล็กๆออกมานำนิ้วเฉียนเฟิงเข้าใส่และตวัดลิ้นตัวเองเลียอย่างอ่อนโยน…
เฉียนเฟิงไม่ได้มองผีเสื้อสีชาดแต่จ้องตำแหน่งที่หวังหลินหายตัวไปและพึมพำกับตัวเอง “หวังหลิน เจ้ากล้าทำร้ายข้า? เจ้าตาย! ท่านอาจารย์แก่มากแล้ว ทำไมถึงส่งศิษย์น้องไปเอาจิตใจแห่งเต๋าของหวังหลินกัน? เขตแดนมันเป็นของข้าและเขตแดนศิษย์น้องจะเป็นของข้า แม้กระทั่งเขตแดนของอาจารย์ด้วย หากข้ามีวิธี ข้าจะกลืนกินมัน…”
“ธงวิญญาณของเซิ่งหนิวทรงพลังเกินไป เจ้าเฒ่าตุ้นเทียนก็แก่ขึ้นแล้วแทนที่จะยกมันให้แคว้นซูซาคุแต่กลับยกให้เซิ่งหนิว! อย่างไรก็ตามธงวิญญาณดึงดูดความสนใจอาจารย์ไปแล้วและเขาเก็บมันไว้แน่นอน ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่าเจ้าจะเก็บไว้ได้นานแค่ไหน!”
หวังหลินและตุ้นเทียนกลับสู่สำนักหลอมวิญญาณอย่างรวดเร็ว
สำนักหลอมวิญญาณเหมือนเดิมตอนที่พวกเขาจากมา เมื่อกลับมาถึงตุ้นเทียนไม่หยุดพักก่อนจะนำหวังหลินตรงไปหลังภูเขา
เมื่ออยู่ข้างใน ตุ้นเทียนยื่นกระเป๋าถือให้หวังหลิน เขามองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “เพ่งสมาธิไปที่การบรรลุขั้นแปลงวิญญาณเท่านั้น เมื่อมีข้าคุ้มกันตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีใครรบกวนเจ้าได้!”
หวังหลินจดจ้องตุ้นเทียน เขากระซิบ “ขอบคุณ!”
ตุ้นเทียนหัวเราะและโบกแขน “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า เพียงแค่จำไว้ว่าเจ้าสัญญากับข้าว่าอะไร”
หวังหลินสูดหายใจลึกและเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ผู้อาวุโสมั่นใจได้!“
ตุ้นเทียนพยักหน้าและหายไปจากถ้ำ เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งเขาอยู่นอกถ้ำแล้ว พลันนั่งลงกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและเริ่มคุ้มครองหวังหลิน
ธงวิญญาณหนึ่งล้านดวงสะบัดเบื้องหน้าเขาอย่างเงียบๆ
“เซิ่งหนิวคนนี้ช่างกล้าจริง ทำให้ธงวิญญาณระเบิด…โชคดีที่เขามีเป็นแค่ธงวิญญาณย่อย ดังนั้นวิญญาณทั้งหมดจึงเป็นภาพมายาที่สร้างจากธงหลัก แม้ว่าวิญญาณหนึ่งร้อยล้านดวงระเบิดที่นั่นแต่พวกมันไม่ได้ถูกทำลายไป ข้าคงหัวใจแตกสลายจริงๆหากมันเป็นของจริง”
ตุ้นเทียนมองธงวิญญาณและคิดถึงที่ผ่านมา เขาไม่ได้ดูเหมือนกำลังมองสมบัติแต่ดูเหมือนกำลังมองผู้อาวุโสของตน
ความเศร้าปรากฎในแววตาตุ้นเทียน “เหล่าบรรพชนแห่งสำนักหลอมวิญญาณ ผู้น้อยตุ้นเทียนกำลังไปหาพวกท่าน”
เขาชี้ไปบนธงวิญญาณและวิญญาณหลักดวงหนึ่งลอยออกมา วิญญาณดวงนี้มีใบหน้าอ่อนโยน
ตุ้นเทียนจดจ้องวิญญาณดวงนั้น เขาถอนหายใจและพึมพำกับตนเอง “ศิษย์พี่ ข้าไม่รู้ว่าข้าถูกหรือผิดที่ส่งธงวิญญาณให้เซิ่งหนิว แต่ว่าด้วยการรบระหว่างเผ่าละทิ้งอมตะและแคว้นซูซาคุ สำนักหลอมวิญญาณของเรารักษาไว้ได้ยากลำบาก แต่เซิ่งหนิวผู้นี้จะออกจากดาวเคราะห์ ดังนั้นเขาจึงสามารถช่วยสำนักหลอมวิญญาณของเราให้เริ่มต้นใหม่ได้อีกครั้ง นั่นอาจจะเป็นความหมายจริงๆเบื้องหลังการทำนายของท่าน…”
ตุ้นเทียนมองวิญญาณหลักอันอ่อนโยนและกระซิบ “ข้าใช้ชีวิตไม่ใช่เพื่อหวังจะมีชีวิตไปตลอดกาลแต่เพื่อตายอย่างสงบ บรรพชนก่อนหน้าทั้งหมดของสำนักหลอมวิญญาณต่างเต็มใจไม่กลับไปวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่และล้างจิตสำนักของตัวเองเพื่อกลายเป็นวิญญาณหลัก ข้าตุ้นเทียนก็ไม่แตกต่างกัน! ศิษย์พี่รอข้าก่อน! ข้าจะตามท่านไปอีกไม่นาน!”