441. จูเซว่จื่อคลั่ง (1)
ซือถูหนานจ้องราชรถสังหารเทพขณะเอ่ยขึ้น “สมบัติสวรรค์! แม้ว่ามันเป็นสมบัติสวรรค์ระดับต่ำแต่เป็นหนึ่งในสมบัติที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ระดับต่ำกันเอง มันใกล้จะระดับกลางแล้ว เจ้าหนู เจ้ามีของดีดีในมือมากมายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?! หากอสูรวิญญาณตัวนี้แข็งแกร่งอีกเล็กน้อยมันอาจจะยกระดับไปเป็นสมบัติสวรรค์ระดับกลางได้”
“ระดับต่ำ…” ดวงตาหวังหลินส่องสว่าง เขามีราชรถสังหารเทพอยู่สามคันและตัวนี้เป็นตัวที่เล็กที่สุด อีกสองตัวแข็งแกร่งกว่า โดยเฉพาะตัวสุดท้าย
“ข้าเคยเห็นบันทึกโบราณมาบ้างเรื่องสมบัติสวรรค์ที่ใช้อสูรวิญญาณ ของพวกนี้สามารถผลิตขึ้นได้ในดินแดนสวรรค์เท่านั้นและหลังจากดินแดนสวรรค์ล่มสลาย สมบัติเหล่านี้แทบสูญสิ้นไปหมดแล้ว น่าเสียดายนักแม้ว่ามันจะเป็นสมบัติระดับต่ำแต่กลับต้องใช้วิชาพิเศษเพื่อเรียกใช้งานมันเช่นเดียวกับสมบัติระดับกลาง การฝืนใช้มันจะไม่อาจปลดปล่อยพลังเต็มที่ได้ ช่างน่าเสียดาย!” ซือถูหนานถอนหายใจ เขาชื่นชมหวังหลินจากใจ แม้ว่าระดับบ่มเพาะของเจ้าเด็กคนนี้จะไม่ได้สูงเท่าเขา เขาแน่ใจว่ามีสมบัติค่อนข้างน้อย ตอนที่เขามีระดับเท่าหวังหลินตอนนี้ ยังไม่มีแม้แต่สมบัติสวรรค์สักชิ้น
หวังหลินมองซือถูหนาน นำหินหยกชิ้นนึงออกมาและหลังบันทึกข้อมูลบางอย่างไว้ข้างในจึงโยนให้ซือถูหนาน
“ดูสิ!”
ซือถูหนานรับหินหยก เมื่อตรวจสอบแล้วใบหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที เขามองหวังหลินกลับมา “นี่มัน…วิชาสำหรับควบคุมสมบัติสวรรค์ชิ้นนี้?”
“ใช่แล้ว การใช้วิชานี้จะทำให้ท่านควบคุมราชรถสังหารเทพได้ ข้ายังได้สัญญาที่ถูกผู้สร้างทิ้งไว้ด้วย” หวังหลินพยักหน้าและมองซือถูหนานด้วยรอยยิ้ม
ซือถูหนานเก็บหินหยกพลันเผยรอยยิ้มซุกซนและเอ่ยขึ้น “เจ้าวางแผนจะให้ราชรถสังหารเทพคันนี้กับข้าหรือ?”
หวังหลินสร้างผนึกด้วยใบหน้าเช่นเดิมและชี้ไปที่ราชรถ ลำแสงสีดำสายหนึ่งลอยจากราชรถเข้าหาหวังหลิน
“ทำไมข้าจะไม่ยกมันให้ท่านเล่า?!” หวังหลินคว้ากับดักอสูรและเก็บกลับไป ซือถูหนานกำลังไปแก้แค้นและหากเขาไม่มีสมบัติชิ้นใดเลย หวังหลินคงกังวลเรื่องเขาดังนั้นจึงตัดสินใจยกราชรถให้ซือถูหนาน ด้วยร่างใหม่ของซือถูและราชรถคันนี้ ภารกิจการล้างแค้นของเขาจะราบรื่นยิ่งขึ้น
เมื่อกับดักอสูรไม่ได้ควบคุมมัน อสูรวิญญาณจึงร้องคำรามพร้อมกับหมุนรอบราชรถสังหารเทพและหลบหนีอย่างรวดเร็ว
ซือถูหนานหัวเราะขณะรีบไล่ตามหลังมัน
“อย่าวิ่งสิ! มาเล่นกับข้าก่อน!”
กองกำลังทั้งสี่ของเผ่าละทิ้งอมตะได้ปกคลุมน่าฟ้าทางทิศเหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตกของทวีปซูซาคุ
ณ กองทัพทางทิศตะวันออก ดวงตาของบรรพชนลำดับห้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาโบกแขนและเอ่ยเบาๆ “สามเดือนแห่งการรอคอยใกล้สิ้นสุดลงแล้ว วันแห่งการทำลายล้างแคว้นซูซาคุกำลังจะมาถึง!”
เมื่อเอ่ยจบ เขาเริมเคลื่อนไหวไปพร้อมกับก้อนเมฆยักษ์สีดำด้านหลัง เป้าหมายคือใจกลางแคว้นซูซาคุ ภูเขาซูซาคุ!
ในเวลาเดียวกัน อีกสามกองทัพของเผ่าละทิ้งอมตะต่างก็เริ่มโจมตีครั้งสุดท้ายบนแคว้นซูซาคุ
ต้นไม้แห่งการเกิดใหม่ขนาดใหญ่ทั้งสองต้นบนทวีปซูซาคุเริ่มเรืองแสงสว่างและจากนั้นวิญญาณบรรพชนส่องแสงทั้งสองดวงเดินออกมา
วิญญาณบรรพชนทั้งคู่ต่างก็มีต้นไม้สิบใบบนหน้าผาก จังหวะที่ทั้งสองปรากฎตัวจึงมุ่งหน้าเข้าไปหาแคว้นซูซาคุทันที
ทางฝ่ายแคว้นซูซาคุ แนวป้องกันทั้งสี่แห่งถูกบังคับให้ล่าถอยทันที
นี่คือสงครามขนาดใหญ่ ดังนั้นทั้งทวีปซูซาคุจึงสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงมนค์คาถานับไม่ถ้วนทั้งแผ่นดิน
จูเซว่จื่อตอนนี้ยืนอยู่บนยอดภูเขาซูซาคุ เสื้อคลุมสีแดงกำลังโบกสะบัดตามแรงลมพร้อมกับผมสีขาว เขายืนอยู่ที่นี่โดยไม่มีการเคลื่อนไหวอย่างอื่น
ฉูหยุนเฟยจากไปแล้ว บรรพชนขั้นเทวะจากสำนักทลายปฐพีกลับเลือกปิดด่านฝึกตนเพื่อซ่อนตัว ตอนนี้เหลือเพียงเซียนขั้นเทวะในซูซาคุคนเดียวก็คือจูเซว่จื่อ
ร่างของเขาแฝงความเศร้าและความโดดเดี่ยว แต่ยิ่งกว่านั้นกลับมีความบ้าคลั่งเข้ามาด้วย!
“เหล่าเซียนของดาวซูซาคุ ข้าเป็นซูซาคุคนปัจจุบัน พวกเจ้าทั้งหมดไม่จำเป็นต้องป้องกัน ปล่อยให้เผ่าละทิ้งอมตะเข้ามา! เฉียนเฟิงและหลิวเมย พวกเจ้าทั้งสองจงมาที่นี่” ข้อความของจูเซว่จื่อกวาดผ่านไปทั้งทวีปซูซาคุ
เหล่าเซียนทั้งหมดที่กำลังป้องกันต่างถอนหายใจเมื่อได้ยินประโยคนี้และวิ่งหนีกระจัดกระจายตัวเพื่อเอาชีวิตรอด
เมื่อไม่มีเหล่าเซียนหยุดพวกเขา กองทัพทั้งสี่ของเผ่าละทิ้งอมตะจึงมุ่งเข้าใจกลางซูซาคุราวกับพายุโหมกระหน่ำ
หากมองจากเบื้องบน จะเห็นว่าทวีปซูซาคุปกคลุมด้วยก้อนเมฆยักษ์สีดำสี่ก้อนซึ่งกำลังเข้าใกล้ใจกลางทวีป
จูเซว่จื่อเอามือไพล่หลังขณะมองท้องฟ้าสีครามและเอ่ยขึ้น “ทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกตัดสินวันนี้!”
หลังจากนั้นไม่นานนัก สองร่างลอยเข้ามาหยุดลงถัดจากจูเซว่จื่อ ทั้งสองคือเฉียนเฟิงและหลิวเหมย
เฉียนเฟิงสวมชุดคลุมสีดำ ดวงตาปลดปล่อยรัศมีชั่วร้าย เขาจ้องจูเซว่จื่ออย่างเงียบๆด้วยใบหน้ามืดมน
หลิวเหมยยังคงสวยงาม นางสวมชุดผ้าไหม้สีขาวราวกับนางฟ้า ตอนนี้คิ้วนางขมวดบางๆแต่ก็เงียบเช่นกัน
“แคว้นซูซาคุมิอาจปัดเป่าเผ่าละทิ้งอมตะออกไปได้ เฉียนเฟิง หลิวเหมย วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับโชคแล้ว” จูเซว่จื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ก้อนเมฆสีดำเข้ามาใกล้ราวกับสึนามิโหมกระหน่ำ ก้อนเมฆดำทางทิศตะวันออกมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ชายวัยกลางคนสวมผ้าคลุมสีเทาภาพลักษณ์ราวกับผู้รอบรู้ เพียงก้าวเดียวก็มาถึงห่างจูเซว่จื่อเพียงหนึ่งฟันฟุต “จูเซว่จื่อ ข้าคือบรรพชนลำดับห้าของเผ่าละทิ้งอมตะ”
อีกคนนึงเดินออกมาจากก้อนเมฆดำฝั่งตะวันตก เขายังดูเยาว์วัยและทั้งร่างปกคลุมไปด้วยรอยสักแต่ว่ารอยสักไม่ได้เป็นสีดำกลับเป็นสีทอง!
หากหวังหลินอยู่ที่นี่คงจดจำคนผู้นี้ได้แค่มองคราเดียว
เขาเอ่ยขึ้น “ปรมาจารย์น้อยเผ่าละทิ้งอมตะ ขอทักทายจูเซว่จื่อ”
ก้อนเมฆดำทิศใต้มีคนสามคนเดินออกมา ทั้งสามปิดระยะห่างเพียงก้าวเดียวเช่นกันและหยุดห่างจูเซว่จื่อไปหนึ่งพันฟุต
สองในสามคนนั้นอยู่ในสภาวะลวงตา พวกเขาจ้องจูเซว่จื่อแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร อีกคนเป็นสตรี นางงดงามมากและดวงตาแฝงเสน่ห์เย้ายวนใจ นางมองจูเซว่จื่อพร้อมรอยยิ้ม และเอ่ยขึ้น “สตรีผู้นี้เป็นบรรพชนลำดับสามแห่งเผ่าละทิ้งอมตะและสองคนนี้คือวิญญาณบรรพชนของเผ่าเรา”
ฝั่งก้อนเมฆดำทิศเหนือ หยุนเซว่จื่อเดินออกมา เขากระซิบไปทางจูเซว่จื่อ “ศิษย์พี่”
จูเซว่จื่อพลันหันมาหาหยุนเซว่จื่อและถามออกมา “ข้าควรเรียกเจ้าว่าหยุนเซว่จื่อหรือว่าบรรพชนลำดับสองดี?”
หยุนเซว่จื่อส่ายศีรษะ “ช่างมันเถอะ ศิษย์พี่เรียกข้าอย่างไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”
“พวกเจ้าทั้งหมดมากันแล้ว บรรพชนลำดับแรก ท่านชาแมนสิบเอ็ดใบไม้จะออกมาด้วยจะดียิ่ง” ดวงตาจูเซว่จื่อเป็นประกายขณะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ลำแสงห้าสีรวบรวมในท้องฟ้าและร่างโปร่งแสงหนึ่งค่อยๆเกิดขึ้น ร่างนั้นลดตัวลงมา “จูเซว่จื่อ”
บรรพชนลำดับแรกดูธรรมดาสามัญ แต่ว่าเพียงแค่ฝ่ามือเดียวถึงกลับทำให้ฉูหยุนเฟยหวาดกลัวหนีไป พลังอำนาจคล้ายคลึงกับเซียนขั้นเทวะระดับปลายและบางจังหวะก็เหนือกว่า
หยุนเซว่จื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์พี่ เป้าหมายของเราไม่ใช่การทำลายดาวซูซาคุแต่เป็นการหาทางที่เราจะอยู่ร่วมกัน หากท่านสัญญาว่าจะส่งผลึกดาวเซียนมา เราจะหยุดสงครามครั้งนี้ เราจะแบ่งดาวออกเป็นครึ่งส่วนและไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีก!”
จูเซว่จื่อหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “หากไม่ใช่ว่าพวกเจ้าทั้งหมดกลัวข้าจะทำลายผลึกดาวเซียน เจ้าคงโจมตีไปแล้วโดยไม่เสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระเช่นนี้”
“โอหัง!” ดวงตาบรรพชนลำดับห้าส่องสว่างขึ้นพร้อมตีหน้าผากตัวเองและรอยปรากฎ เขาชี้ไปที่รอยสักจากนั้นพ่นโลหิตลงไปและตะโกน “ผนึก!”
รอยสักเริ่มเรืองแสงสีแดงโลหิตทันทีและพุ่งชนเข้าหาจูเซว่จื่อ
บรรพชนลำดับห้ารู้ว่าจูเซว่จื่อแข็งแกร่ง นี่เป็นเพียงการทดสอบเท่านั้นจึงไม่ได้เคลื่อนไหวเข้าไปใกล้
ดวงตาจูเซว่จื่อเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเยาะเย้ย เขาไม่โต้ตอบแต่กลับมีจุดเรืองแสงสีทองรอบตัวเขา รอยสักเกิดเสียงแตกพร้อมปรากฎรอยร้าวและแตกกระจายหลังจากนั้นในเวลาไม่นาน
ขณะเดียวกันสีหน้าบรรพชนลำดับห้าเปลี่ยนไปและรีบถอยกลับ จุดสีแดงโลหิตปรากฎบนหน้าผากและเลือดก็เริ่มไหลออกมา
บรรพชนลำดับแรกขมวดคิ้วและมาถึงบรรพชนลำดับห้า เขายื่นมืออกไปนำเข็มทองออกมา ทว่าจังหวะที่เข็มปรากฎมันกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
จูเซว่จื่อเคลื่อนไหวด้วยสีหน้ามืดมน เคลื่อนไหวเร็วกว่าหยุนเซว่จื่อและบรรพชนลำดับแรก ไม่มีใครเห็นว่าเขาทำอะไรลงไป
“ผนึกซูซาคุ โจมตี!” น้ำเสียงจูเซว่จื่อดังออกมาจากความว่างเปล่า
ขณะที่ปรากฎตัวอีกครั้งเขาก็ชี้ลงมาจากท้องฟ้าเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้ามืดลงขณะที่เปลวไฟจำนวนมากปรากฎล้อมรอบร่างกายเขา เปลวไฟปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างภายในระยะหนึ่งฟันฟุตและพื้นดินเริ่มออกอาการไหม้เกรียม
นอกจากหยุนเซว่จื่อและบรรพชนลำดับแรกแล้ว ทุกคนรีบถอยกลับเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเปลวไฟ
ในเวลาเดียวกันนั้นฟินิกซ์เพลิงตัวหนึ่งออกมาจากร่างจูเซว่จื่อ มันร้องเสียงแหลมแสบแก้วหูก่อนจะหุบปีกและลงมาหาพื้นดิน
บรรพชนลำดับแรกพุ่งเข้าสู่ท้องฟ้า ร่างกายเริ่มปลดปล่อยแสงสีดำจากนั้นยกมือขึ้นชี้ไป ต้นไม้สิบเอ็ดใบอันลึกลับพลันปรากฎบนหน้าผาก หนึ่งใบร่วงหล่นลงไปและลอยเข้าหาตำแหน่งที่เขาชี้