443. คนผู้นี้เป็นใคร?
ตอนนี้เซียนแทบทั้งหมดบนดาวรวบรวมกันในแคว้นซูซาคุและมีเป้าหมายเพียงสิ่งเดียว
เข้าสุสานซูซาคุเพื่อเอาเสี้ยววิญญาณตัวเองกลับคืน
เพราะข้อจำกัดของสุสานซูซาคุจึงทำให้เหล่าเซียนแข็งแกร่งจำนวนมากรวบรวมอยู่ที่นี่ แม้ส่วนใหญ่จะเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณและมีขั้นแปลงวิญญาณถึงสิบหกคน แต่สิบหกคนเหล่านี้ถูกทางเข้าป้องกันเอาไว้อย่างสมบูรณ์
ทั้งสิบหกคนอยู่ใกล้แคว้นซูซาคุดังนั้นจึงมาที่นี่ภายในไม่กี่วัน แต่ถึงแม้อย่างนั้นก็ช้าเกินและพลาดโอกาสเข้าไปข้างใน
ก่อนที่พวกเขามาถึง จำนวนคนที่เข้าไปสุสานซูซาคุก็ถึงกำหนดแล้ว
วิธีเดียวที่จะเข้าไปข้างในตอนนี้คือรอให้คนข้างในตาย หากตายไปหนึ่งจะมีคนเข้าไปข้างในเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
ท่ามกลางเหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณสิบหกคนนี้ มีเพียงคนเดียวที่เป็นระดับปลาย ระดับกลางมีสามคนและที่เหลือเป็นระดับต้น
สิบหกคนนี้กระจัดกระจายไปรอบๆทางเข้าสุสานซูซาคุ ทั้งหมดจ้องทางเข้าตาเขม็ง หากมีแสงสีเขียวกระพริบและเกิดระลอกคลื่นนั่นหมายถึงมีคนข้างในตายและคนต่อไปสามารถเข้าไปได้
เมื่อมีสิบหกคนที่กำลังรออยู่จึงไม่มีใครรอบๆกล้าเข้าไปใกล้ พวกเขาทั้งหมดกำลังรอให้สิบหกคนนี้ต่อสู้กันเพื่อหาคนที่มีสิทธิ์เข้าเป็นคนต่อไป
นอกจากนั้นการเข้าสถานที่แห่งนี้หมายถึงโอกาสเอาเสี้ยววิญญาณคืนมา เพื่อโอกาสในการช่วยชีวิตตัวเองแล้ว ทุกคนบนดาวซูซาคุจึงยินดีลงทุกอย่างที่มีของตัวเองลงไป
ยิ่งระดับบ่มเพาะสูงส่ง ยิ่งเห็นความจริงข้อนี้
ร่างหวังหลินใกล้เข้ามา เขาสวมชุดคลุมสีขาวทำให้ดูสงบนิ่ง
ระหว่างทางซือถูหนานเล่าทุกอย่างให้เขาฟังเกี่ยวกับรายละเอียดของสุสานซูซาคุ แต่ว่าหวังหลินไม่มั่นใจนักในการเดินทางครั้งนี้ สุสานอมตะดูเหมือนจะอันตรายกว่าที่เขาคาดคิดไว้หลายเท่าตัว
“ซือถูหนานให้หินหยกที่ทำให้ข้าออกจากสุสานอมตะเอาไว้ เช่นนั้นข้าควรมีปัญหาเดียวนั่นคือหากข้าไม่สามารถได้ผลึกดาวเซียนและเอาเสี้ยววิญญาณข้างในของข้าคืนมา แม้ว่าซือถูหนานจะมีวิธีไม่ให้ข้าตาย ไม่เพียงแต่มันจะเป็นเรื่องยากมากแต่วิญญาณข้าจะหายไปเสี้ยวนึง นั่นจะมีผลกระทบต่อระดับบ่มเพาะในอนาคต ”
ร่างหวังหลินใกล้เข้ามากขึ้น เหล่าเซียนรอบๆภูเขาซูซาคุบ้างพูดคุยกัน บ้างก็เงียบไม่ก็คิดอะไรอย่างอื่น
ขณะที่หวังหลินมาถึง มีเซียนบางคนเงยศีรษะขึ้นมองเขา ดวงตาสว่างวาบจากนั้นก้มศีรษะลงต่ำและหลีกทางให้อย่างรวดเร็ว
มีเซียนจำนวนมากอยู่รอบๆแต่เมื่อพวกเขาเห็นหวังหลิน สีหน้าเปลี่ยนทันทีและขยับหลีกทางให้
หวังหลินเดินผ่านเซียนคนแล้วคนเล่าทว่ามีน้ำเสียงโอหังดังขึ้นจากด้านหน้า “หยุดซะ!”
ขณะที่เสียงดังนั้นดังออกมา เหล่าเซียนกระจายตัวแต่หวังหลินเดินหน้าต่อไป ห่างจากภูเขาซูซาคุไปหนึ่งพันฟุตมีเซียนห้าคนนั่งอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ทั้งห้าคนในระยะร้อยฟุตเลย
ห้าคนนี้มีสามบุรุษและสองสตรี อายุแตกต่างกัน หนึ่งชายชรา สองบุรุษและสองสตรีเยาว์วัย ทั้งห้าอยู่ที่ขั้นตัดวิญญาณระดับปลายทั้งหมด ชายชราถึงกับมีพลังปราณสวรรค์สายหนึ่งในร่างกาย ชัดเจนแล้วว่าเขาพร้อมจะปรับแต่งร่างกายและบรรลุขั้นแปลงวิญญาณ
แต่ว่าเขาไม่มีหินหยกสวรรค์เพียงพอ ดังนั้นจึงหล่อหลอมร่างกายเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น แต่ถึงแม้จะทำแค่นี้มันกลับทำให้ชายชราทรงพลังมากกว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณคนอื่นๆ
คนที่ตะโกนเป็นชายหนุ่มนั่งถัดกับชายชรา เขาหล่อมากและเต็มไปด้วยท่าทีคนชั้นสูง แต่หากมองเขาใกล้ๆท่านจะเห็นว่าเขาซ่อนเจตนาไว้ในดวงตา
คนธรรมดาคงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่สำหรับหวังหลิน แม้เขาจะยังดูเหมือนชายหนุ่มเนื่องจากน้ำค้างจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้าแต่เขาเป็นปิศาจเฒ่าที่บ่มเพาะมาหลายร้อยปี จึงสามารถมองเขาออกเพียงแค่ชำเลือง
ขณะที่หวังหลินมองชายหนุ่ม เขาเดินหน้าต่อไปโดยไม่แม้แต่หยุดชะงัก
ชายหนุ่มเดินออกมาพร้อมกับสายตาเต็มไปด้วยความระมัดระวังและตะโกนขึ้น “สหายเซียน อย่าฝืนกฎ อาจารย์ข้ามาที่นี่คนแรก เมื่อผู้อาวุโสขั้นแปลงวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปแล้วจะเป็นตาของเรา เจ้าที่มาสายก็ควรจะไปอยู่ข้างหลัง!”
สายตาหวังหลินจรดลงบนชายชราที่มีพลังปราณสวรรค์ในร่างกายเพียงน้อยนิด เขาสวมชุดคลุมสีดำและสภาพราวกับโครงกระดูก ดวงตาปลดปล่อยแสงชั่วร้ายที่สามารถทำให้ใครทุกคนจิตใจสั่นไหว เมื่อเขามองมาทางหวังหลิน ดวงตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดราวกับรู้อะไรบางอย่าง
“อาจารย์ของข้าคือหนานหมิงจอมโหดที่โด่งดัง…” เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าดวงตาหวังหลินยังคงสงบนิ่ง เขาจึงเรียกชื่ออาจารย์ตัวเองออกมา
ดวงตาชายชราสว่างวาบและร้องตะโกน “หุบปาก!” ขณะที่ชายหนุ่มยังคงตกตลึง ชายชรายืนขึ้นคำนับหาหวังหลินด้วยท่าทีนอบน้อม “หนานหมิงจอมโหดขอทักทายผู้อาวุโส ศิษย์ของข้าหยาบคายและรุกรานท่าน ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้” เช่นนั้นเขารีบถอยให้พ้นทาง
เมื่อประโยคนั้นเอ่ยออกไป ผู้คนรอบชายชราล้วนตกตะลึงแต่รีบลุกขึ้นและออกไปให้พ้นทางด้วยความเคารพ
หวังหลินพยักหน้าไปทางชายชราขณะเดินผ่านพวกเขาไปและเข้าใกล้ภูเขาซูซาคุภายในระยะหนึ่งพันฟุต จังหวะที่ก้าวเดินเข้าไปในบริเวณนี้ นอกจากเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายแล้ว อีกสิบห้ารวมสายตาจ้องมาทางเขา
“ท่านอาจารย์ เขาอยู่ที่ระดับขั้นใดกัน? หรือจะเป็นสัตว์ประหลาดขั้นแปลงวิญญาณอีกคนนึงแล้ว? ศิษย์ไม่สามารถตรวจจับร่องรอยพลังปราณสวรรค์ในร่างเขาได้เลย” หลังหวังหลินจากไปแล้ว ชายหนุ่มเย่อหยิ่งใช้วิชาส่งเสียงมาหาชายชรา
“แน่นอนว่าเจ้าไม่อาจรับรู้ได้ แม้แต่ข้าเองก็ไม่รับรู้จนกว่าเขาจะเข้ามาใกล้ คนผู้นั้นไม่เพียงแต่เป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลาย แต่เขาเป็นเช่นเดียวกับเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายที่ต่ำกว่าเซียนขั้นเทวะ เจ้าต้องไม่ไปก่อกวนเขา มีเพียงเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายเท่านั้นที่สามารถอยู่ในสภาวะพลังสวรรค์ในร่างลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติและไม่เผยร่องรอยอันใด” ชายชราส่งเสียงผ่านวิชาสื่อสารกลับไป
ขณะที่สายตาสิบห้าคู่จ้องบนหวังหลิน ดวงตาพวกเขาทั้งหมดส่องสว่าง หลังจากนั้นไม่นานก็ถอนสายตาออกไปและเริ่มครุ่นคิด
พวกเขาจดจำหวังหลินว่าเป็นคนที่มีระดับเดียวกันและคงเป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้าไปสุสานซูซาคุ
หวังหลินเดินเข้าไปทางตีนเขาของภูเขาซูซาคุ เขานั่งลงใกล้ทางเข้าและขบคิดอย่างเงียบเชียบ
ท่ามกลางเหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณสิบหกคนที่อยู่ที่นี่ มีเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายคนเดียวคือชายวัยกลางคน เขาสวมชุดคลุมสีม่วงและดูธรรมดามาก กำลังนั่งขัดสมาธิและหลับตาอย่างสงบ กระบี่โบราณถูกแทงลงบนพื้นเบื้องหน้าเขา พู่กันสีทองล่องลอยในสายลม กระดิ่งสองชิ้นบนพู่กันสร้างเสียงสั่นไหว
ลิงตัวเล็กดวงตาสีแดงนั่งอยู่ข้างเขา บางครั้งเจ้าลิงก็เกาศีรษะตัวเองและกรีดร้องไปที่ทางเข้า
ในขณะที่หวังหลินนั่งลง ชายกลางคนลืมตาขึ้น ดวงตาสงบนิ่งมองมาทางหวังหลิน “เซิ่งหนิว!”
เมื่อเอ่ยคำนั้น เซียนขั้นแปลงวิญญาณอีกสิบห้าคนต่างตกใจและมองหวังหลินอีกครั้ง
เซิ่งหนิวมีชื่อเสียงมากบนดาวซูซาคุ ส่วนใหญ่เซียนทุกคนรู้จักชื่อเขา หากการประลองกับผีเสื้อสีขาดไม่ทำให้เหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณสนใจ เช่นนั้นการตายของหลี่หยวนเฟิงและบรรพชนเผ่ามารยักษ์รับรองว่าทำให้พวกเขาสนใจเป็นแน่
สีหน้าหวังหลินยังเหมือนเดิม เขามองชายกลางคนและเอ่ยถาม “เราเคยเจอกันด้วยหรือ?”
ชายวัยกลางคนยิ้มบาง เขาลูบเจ้าลิงตัวน้อยข้างๆและตอบคำถาม “เราไม่เคยเจอกัน”
หวังหลินไม่พูดอะไรอีกและหลับตาพักผ่อน
ดวงตาชายวัยกลางคนส่องสว่างขึ้น “สหายเซียนเซิ่งหนิวมีพลังแข็งแกร่งยิ่ง เจ้าใช้วิธีการปรับแต่งปราณสวรรค์เพื่อชำระรากฐานออกไป สิ่งนี้ทำให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าคนอื่นที่ต้องรอจนกว่าจะเป็นระดับกลางหรือระดับปลายเพื่อชำระรากฐานตัวเองออกไปได้ หากคนอื่นที่ไม่ใช่เซียนขั้นแปลงวิญญาณมองมาที่สหายเซิ่ง พวกเขาจะคิดว่าท่านเป็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับปลายมากกว่าจะเป็นระดับต้น”
“มีคนไม่มากนักที่ใช้วิธีนี้ในการบรรลุขั้นแปลงวิญญาณไม่สงสัยเลยว่าท่านสามารถสังหารหลี่หยวนเฟิงและบรรพชนเผ่ามารยักษ์ได้ยังไง!”
หวังหลินขมวดคิ้วบาง เขาลืมตาขึ้นมองและถามออกไป “มีอะไรสำคัญหรือ?”
ชายกลางคนส่ายศีรษะ “ไม่มี”
“ข้ากำลังพักผ่อน ดังนั้นโปรดอย่ารบกวนข้า!” สิ้นคำหวังหลินหลับตาอีกครั้ง
ดวงตาชายกลางคนเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นจากนั้นใช้แรงกดดันบนเจ้าลิงน้อย มันเริ่มร้องเสียงหลงและดวงตาเรืองแสงสีแดง
ขณะนั้นเองทางเดินที่นำทางเข้าสู่สุสานก็เรืองแสงและระลอกคลื่นสีเขียวกระจายออกมา นั่นหมายความว่ามีคนข้างในสุสานตายไปและทำให้อีกคนสามารถเข้าไปได้
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วจากนั้นชำเลืองหวังหลินก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินไปหาทางเข้า แสงสีแดงในดวงตาเจ้าลิงน้อยจางลง แม้มันจะยังเรืองแสงสีแดงอยู่แต่กลับอ่อนแอกว่าเมื่อครู่มากนัก
ชายวัยกลางคนคิดขึ้นในใจ ‘หวังหลิน เจ้าจดจำข้าตอนนี้ไม่ได้แต่ข้าจำเจ้าได้! เราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว…’ ขณะที่เขาเข้าไปในอุโมงค์ พลันหันกลับมามองหวังหลินและเผยรอยยิ้มน่าขนลุก
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะที่จับตาดูชายวัยกลางคนเข้าไปในสุสาน เขาไม่เคยเจอคนผู้นี้มาก่อนแต่รอยยิ้มน่าขนลุกที่ส่งมาหาหวังหลินทำให้เขารู้สึกคุ้นๆ แต่ว่าหลังขบคิดเป็นเวลานานจึงนึกไม่ออกว่าไปเจอรอยยิ้มนี้ที่ไหนมาก่อน
หลังชายวัยกลางคนเดินเข้าไป เซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับกลางทั้งสามคนยืนขึ้นและพุ่งเข้าหาทางเดิน
ดวงตาเซียนที่เหลือส่องสว่างพร้อมกับลุกขึ้นและเข้าไปทางเดินเช่นกัน ครั้งนี้คนจำนวนมากในสุสานตายไปจึงมีคนจำนวนมากสามารถเข้าไปได้เช่นกัน
หวังหลินติดตามพวกเขาอย่างใกล้ชิดและเข้าไปในทางเดินด้วย เพียงแค่แสงสีเขียวกระพริบคราเดียว ทุกคนเบื้องหน้าเขาหายวับไป
จากนั้นแสงสีเขียวกระพริบอีกครั้งและหนึ่งในเซียนขั้นแปลงวิญญาณถูกผลักออกมา เขาร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขณะกลับไปนั่งตำแหน่งเดิมพร้อมกำหมัดแน่น!