447. ความงามมิอาจทำซ้ำ
ร่างที่สร้างจากดวงวิญญาณนั้นสังหารได้ยากมากและแม้จะถูกฆ่าไป ผู้ได้รับผลก็คือเจ้าของดวงวิญญาณเหล่านั้นและไม่ใช่ร่างมัน
หากหวังหลินใช้พลังปราณสวรรค์และสามารถสังหารมันลงได้ แต่ดวงวิญญาณคงเข้ามาสร้างร่างขึ้นใหม่อีกครั้ง ในอีกทางหนึ่งร่างชีวิตนี้ไม่มีวันตาย
อย่างไรก็ตามเมื่อผลึกดาวเซียนแตกกระจาย เหล่าดวงวิญญาณก็แตกสลายด้วยเช่นเดียวกัน
ไม่มีใครรู้ว่าร่างชีวิตที่พวกเขาเผชิญจะมีเสี้ยววิญญาณของคนรักของตัวเองหรือไม่ แล้วเช่นนั้นพวกเขาจะลงมือได้อย่างไร? หากมันเป็นเสี้ยววิญญาณของตัวเองก็คงง่ายกว่านี้เพราะมีสายสัมพันธ์กับวิญญาณดวงนั้นอยู่แล้ว
แน่นอนว่ายังมีคนไร้หัวใจอยู่ในสุสานซูซาคุด้วยซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน หลังจากสังเกตการณ์อยู่ชั่วขณะและศึกษาความลับบางอย่างจึงเริ่มไล่สังหาร พวกเขาทำลายวิญญาณทีละดวงและรอให้ร่างชีวิตสร้างขึ้นมาใหม่ พวกเขาทำวิธีโง่ๆนี้เพื่อหวังว่าจะเจอวิญญาณของตัวเอง
เฉียนเฟิงเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้เฉียนเฟิงอยู่บนเทือกเขาแห่งหนึ่งพื้นที่ส่วนในของสุสาน เขานั่งอยู่นอกถ้ำหนึ่งด้วยใบหน้ามืดมน
เขาเป็นคนแรกที่เข้ามาในสุสานซูซาคุ ดังนั้นจึงเห็นเหตุการณ์จนพบร่างที่เกิดจากดวงวิญญาณ ร่างมีชีวิตเหล่านี้มิอาจถูกสังหารได้ ดังนั้นทั้งเหล่าเซียนและสมาชิกเผ่าละทิ้งอมตะจึงพบสิ่งที่คล้ายกับมู่หรงหยุนและมุ่งหน้าเข้าหายอดภูเขาลูกนั้น
มีบางคนที่ถูกฐานหลอกลวงเข้าไปแต่เฉียนเฟิงไม่ตกในกับดักได้ง่ายๆและหนีออกมา เขาใช้เวลาและความพยายามไปมากมายและท้ายที่สุดก็ค้นพบฐานของจริงและเข้าสู่พื้นที่ส่วนในของสุสานซูซาคุ
แม้ว่าพื้นที่ชั้นในจะเล็กกว่าชั้นนอก มันยังคงกว้างใหญ่อยู่ดีอีกทั้งมีร่างชีวิตอยู่ที่นี่จำนวนมากและบางส่วนยังแข็งแกร่ง เฉียนเฟิงไม่อาจเอาชนะได้จึงถูกบังคับให้ล่าถอย
ระหว่างที่อยู่ในพื้นที่ชั้นในหลายวันมานี้ เขายังไม่สามารถค้นหาหลุมศพของซูซาคุคนแรกได้ ขณะที่เวลาผ่านไปมากขึ้นก็ยิ่งมีเหล่าเซียนและเผ่าละทิ้งอมตะเข้ามาพื้นที่ชั้นในมากขึ้น
เฉียนเฟิงเห็นเซียนขั้นแปลงวิญญาณที่คุ้นเคยดวงตาหมองลงและตายหลังจากมีเผ่าละทิ้งอมตะออกไปสังหารหนึ่งในร่างมีชีวิตเหล่านั้น
ฉากเหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนโดยรอบตื่นตกใจ
เฉียนเฟิงค้นพบว่าวิญญาณดั้งเดิมของเขาแตกกระจายและตายอย่างสมบูรณ์
ทุกคนที่เข้ามาในสุสานซูซาคุเป็นคนฉลาดดังนั้นจึงเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ได้ทันที ทำให้การต่อสู้กับร่างมีชีวิตพวกนั้น บางส่วนเริ่มรั้งเอาไว้แต่ยิ่งรั้งก็ยิ่งยากเอาชนะ
เฉียนเฟิงนั่งอยู่นอกถ้ำแห่งนี้มามากกว่าครึ่งเดือน จิตใจรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากและเรื่องนี้ทำให้เขาเกิดความแค้นเคืองมหาศาล เขาไม่รู้ว่ามีเวลามากเท่าไหร่ก่อนที่ผลึกดาวเซียนจะแตกสลาย หากเขาไม่สามารถเอาวิญญาณของตัวเองคืนมา สิ่งเดียวที่รอเขาอยู่คือความตายเท่านั้น
“จูเซว่จื่อ เจ้ากระดูกผุ! ถ้าเจ้าจะตายก็ตายไปสิ! ทำไมทุกคนต้องตายไปพร้อมกับเจ้า?!” เฉียนเฟิงกัดฟันแน่นและชกกำปั้นลงพื้น
เขาสูดหายใจลึก ดวงตาสว่างขึ้นและมองไปที่ถ้ำเบื้องหน้า เขาเริ่มคำนวณอย่างเงียบเชียบและนำน้ำเต้าสีดำออกมา
ฝ่ามือขวาสร้างผนึกชิ้นนึงและชี้ไปที่น้ำเต้า “ผีเสื้อสีชาด จงออกมา!”
ลำแสงสีทองออกมาจากน้ำเต้าและผีเสื้อสีชาดปรากฎเบื้องหน้าเฉียนเฟิง นางสวมชุดราตรีสีแดงยังคงสวยงดงามเช่นกาลก่อนและดวงตายังคงไร้ชีวิตชีวา
ขณะนั้นความเย็นชาและเย่อหยิ่งของนางไม่มีอีกแล้ว สิ่งที่เหลือคือความเศร้าโศกเสียใจและการไม่สนใจไยดี
น้ำเต้านี้เป็นสมบัติจากตระกูลของเขาซึ่งบรรพชนเหลือทิ้งไว้ให้ ไม่เพียงแต่มันมีความลับบางอย่างมันยังกักเก็บสิ่งมีชีวิตได้ด้วย
เฉียนเฟิงเอ่ยขึ้น “หมดเวลาแล้ว มันควรฟื้นตัวได้แล้ว เจ้าไปล่อมันออกมา”
ผีเสื้อสีชาดเดินเข้าไปในถ้ำอย่างช้าๆโดยไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉียนเฟิงสูดหายใจลึก ฝ่ามือสร้างผนึกและกระตุ้นพลังปราณสวรรค์ในร่าง พลังปราณสวรรค์รวบรวมบนนิ้วของเขาจนเกิดเป็นลูกบอลสีทองลูกเล็กก้อนนึง
เฉียนเฟิงจ้องเข้าไปในถ้ำลึกด้วยใบหน้ามืดมน
หลังจากนั้นไม่นานเกิดเสียงคำรามออกมาจากภายในถ้ำและพื้นดินเริ่มสั่นเทา ผีเสื้อสีชาดออกมาจากถ้ำและยืนเคียงข้างเฉียนเฟิง
ในเวลาเดียวกันร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งโผล่ออกมา มันเป็นยักษ์สูงร้อยฟุต ร่างกายปลดปล่อยควันสีดำ ทุกก้าวของมันทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน
ขณะที่ยักษ์เดินออกมาจากถ้ำ ดวงตาเฉียนเฟิงเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและชี้ไปที่ยักษ์ตัวนั้น ก้อนลูกบอลจากปลายนิ้วพุ่งเข้าหาเจ้ายักษ์
เจ้ายักษ์ร้องคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวขณะที่ร่างแตกสลายกลายเป็นควันสีดำหลายเส้นสายเพื่อหลบหลีกบอลแสง
เฉียนเฟิงตะโกน “ระเบิด!”
บอลแสงระเบิดทันทีด้วยคำพูดเพียงคำเดียว เกิดเป็นแรงระเบิดทรงพลังที่กระจายออกมาทุกทิศทางอย่างรวดเร็ว
ทั้งภูเขาสั่นสเทือนและก้อนหินจำนวนมากหล่นลงมา ควันสีดำทั้งหมดที่หลบหนีพลันถูกทำลายโดยไม่มีข้อยกเว้น
“นี่ก็ตัวที่หกสิบเก้าแล้ว ข้ายังไม่เจอวิญญาณของข้าเลย…” เฉียนเฟิงขมวดคิ้ว เขารู้ว่าวิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ว่าสุสานซูซาคุกว้างใหญ่เกินไปและเขาเองไม่มีพลังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะไปได้หลายแห่งจึงได้แต่ใช้วิธีโง่ๆเช่นนี้เพื่อหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์
ณ ภูเขาที่มีฐานในพื้นที่ชั้นนอกของสุสานซูซาคุ หวังหลินถือทรงกลมที่มีร่างชีวิตผนึกไว้ข้างในและเขากระโดดลงไป
ส่วนสตรีขี้เหร่ หวังหลินไม่สนใจนาง
หวังหลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าจะไม่สังหารเจ้าแต่ข้าสามารถผนึกเจ้าได้และผนึกรูปแบบนี้เป็นผนึกถาวร เมื่อเจ้าของดวงวิญญาณตายไปยามที่อายุขัยสิ้นสุด เจ้าจะตายโดยแท้จริง!”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาในสุสานซูซาคุ เขากำลังคิดหาวิธีต่อกรกับร่างชีวิตเหล่านี้ หลังขบคิดอยู่นานจึงคิดวิธีนี้ออกมา
โดยใช้กฎเกณฑ์จำนวนมากเพื่อผนึกดวงวิญญาณจึงจะสร้างผลการผนึกเช่นนี้ออกมาได้ จากนั้นเพิ่มวิญญาณที่มีระดับบ่มเพาะเดียวกันเข้าไปมันจะป้องกันไม่ให้ร่างชีวิตสร้างขึ้นอีกครั้งได้
เขาเพียงต้องรอให้เจ้าของดวงวิญญาณในร่างชีวิตนี้ตายโดยสิ้นอายุขัยเพื่อให้ร่างชีวิตของมันจะได้ตายไปพร้อมกัน
หวังหลินไม่มีเวลาทดสอบว่าวิธีนี้ใช้งานได้จริงหรือไม่ แต่เมื่อประโยคนี้ตกถึงหูของมู่หรงหยุน มันทำให้เขาตกใจราวกับไฟฟ้าชอต
“ข้าไม่อาจตายได้ เมื่อดวงวิญญาณที่สร้างข้าขึ้นมาตายไป ข้าแค่รวบรวมวิญญาณให้มากขึ้นเพื่อสร้างตัวเองใหม่อีกครั้ง!” มู่หรงหยุนร้องคำรามออกมาภายในทรงกลม
หวังหลินพ่นลมหายใจเยือกเย็นและร่อนลงที่ตีนเขา เขาชี้ไปที่พื้นและสร้างหลุมหนึ่งลึกลงไปหลายสิบฟุต
หวังหลินกระโดดเข้าไปในหลุม วางทรงกลมข้างในและเริ่มวางกฎเกณฑ์ใกล้ๆ
มู่หรงหยุนรับรู้ว่าหวังหลินกำลังทำอะไรจึงรีบเอ่ยขึ้น “เจ้ากำลังทำอะไร?!”
“ข้าจะผนึกเจ้าไว้ที่นี่ อีกร้อยปีข้าจะกลับมาเพื่อดูว่าวิธีของข้าใช้การได้หรือไม่” หวังหลินเอ่ยขึ้นขณะดำเนินการวางกฎเกณฑ์ต่อไป
มู่หรงหยุนครุ่นคิดหลายลมหายใจก่อนตะโกนขึ้น “เจ้า! เจ้าต้องการอะไรกันแน่?!”
หวังหลินสว่างวาบและเอ่ยท่าทีสงบนิ่ง “ข้าต้องการเสี้ยววิญญาณของข้า!”
มู่หรงหยุนรีบพูดขึ้น “นั่นเป็นไปไม่ได้ เราถูกสร้างจากผลึกดาวเซียนและเกิดขึ้นจากเหล่าดวงวิญญาณแต่เราไม่อาจเลือกวิญญาณที่เราต้องการได้ อีกทั้งข้าอ่อนแอเกินกว่าจะรวบรวมเศษวิญญาณของเซียนเช่นเจ้า มีเพียงร่างชีวิตที่แข็งแกร่งพวกนั้นในพื้นที่ชั้นในที่สามารถเอาดวงวิญญาณจากเซียนที่แข็งแกร่งของผลึกดาวเซียนออกมาได้”
สายตาหวังหลินเยือกเย็น เขาส่ายศีรษะ วางกฎเกณฑ์สุดท้ายลงไปและลอยออกจากหลุมลึก
ที่ก้นหลุมมีเพียงแค่ทรงกลมลูกหนึ่งอยู่ที่นี่พร้อมกับกฎเกณฑ์ทั้งหมดกระพริบถี่รอบๆมัน
“ข…ข้ารู้วิธีเข้าไปในพื้นที่ชั้นในของจริง!” มู่หรงหยุนไม่กล้าเดิมพัน หากมันพ่ายแพ้ มันต้องตายจริงๆ
หวังหลินมองไปที่เทือกเขาที่อยู่ห่างไกลและเอ่ยขึ้น “ข้าก็รู้เช่นกัน!” จากนั้นชี้ไปที่พื้นและหลุมเริ่มปิด ขณะที่มันกำลังจะผนึกอย่างสนิท เสียงคำรามมู่หรงหยุนดังออกมาจากภายใน
“เรามีราชาอยู่ในพื้นที่ชั้นในของสุสาน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถแยกดวงวิญญญาณจากผลึกดาวเซียนได้ นี่เป็นเรื่องจริง!”
“ข้าจะหามันได้อย่างไร?” หวังหลินชี้ไปที่พื้นดินให้หยุดปิดผนึก
มู่หรงหยุนรีบเอ่ยขึ้น “เมื่อเจ้าเข้าไปพื้นที่ชั้นใน ให้ไปทางทิศตะวันออก มีภูเขาเก้าลูกที่เกิดเป็นหุบเขายักษ์ที่นั่น แทนที่จะมีหมอกดำแต่กลับกลายเป็นหมอกขาวลอยออกมา มันหาง่ายมาก ราชาอยู่ที่ก้นหุบเขา”
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบจากนั้นยกมือขวาขึ้นออกไปจากที่นี่และพื้นดินเริ่มปิดเข้าด้วยกัน
“เจ้า…” น้ำเสียงของมู่หรงหยุนถูกตัดขาดเมื่อพื้นดินปิดสนิท แม้แต่รอยร้าวก็ไม่มี
เมื่อหวังหลินปรากฎตัวอีกครั้ง เขาอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่งในเทือกเขาลึก ตอนที่ผ่านที่นี่ก่อนหน้านี้เขาได้กระจายสัมผัสวิญญาณออกมาจึงรับรู้หุบเขานี่ได้
ข้างในหุบเขาเป็นฐานแห่งหนึ่ง ฐานแห่งนี้เหมือนกันกับที่เห็นอันบนภูเขา ทว่าตอนที่หวังหลินเข้ามาในหุบเขา หวังหลินหยุดชะงักและมองไปข้างหน้า สิ่งที่เขาเห็นทำให้ดวงตาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
สตรีนางหนึ่งความงดงามมิอาจทำซ้ำได้ นางนั่งอยู่ข้างฐานมองมาที่หวังหลินด้วยดวงตาสวยสดใส
“หลิวเหมย!”