480. ตำหนักเมฆาม่วง
** เปลี่ยนจากอารามเมฆาม่วง เป็น ตำหนักเมฆาม่วง **
ทำเลที่ตั้งของบททดสอบปฐพีคือโลกสีแดง เสาเปลวเพลิงพุ่งออกมาจากพื้นทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้า
หวังหลินยังยืนมองรอบๆ ใบหน้าสงบนิ่ง
“ที่นี่ทดสอบการบ่มเพาะ แต่ข้าไม่รู้ว่าวิธีอะไร…” หวังหลินก้าวไปข้างหน้าขณะคิดไปด้วย
ขณะนั้นเกิดรอยร้าวจุดหนึ่งห่างไปไม่ไกลนัก เสาเปลวเพลิงพุ่งทะลุจากพื้นขึ้นสู่อากาศ เปลวเพลิงเปลี่ยนเป็นร่างสีแดงลุกเป็นไฟท่ามกลางท้องฟ้า
คนผู้มีมีเส้นผมสีแดงเพลิงทั่วทั้งศีรษะ มันดูราวกับหนวดปลาหมึกกำลังเคลื่อนไหว แขนทั้งสองข้างกอดอกไว้และแสงปิศาจสองเส้นปรากฎบนใบหน้านั้น
น้ำเสียงเย็นเยียบออกมาจากปากของร่างเพลิงนั้น “ข้าเป็นผู้พิทักษ์ของบททดสอบปฐพี เอาชนะข้าเจ้าจึงจะไปต่อได้”
หวังหลินมองร่างนั้นอย่างสงบนิ่งจากนั้นพุ่งออกไปโดยไม่ต้องเอ่ย ฝ่ามือสร้างผนึกจากนั้นผลักไปข้างหน้า
พลังมหาศาลพลันปรากฎจากภายในหวังหลินและรวบรวมไว้เบื้องหน้าเขา
หวังหลินเอ่ยเบาๆ “ทำลาย!” ร่างหวังหลินส่องแสงสีทองและดวงตาของร่างเพลิงพลันสว่างวาบขึ้น มันรีบถอยหลังทันทีและเคลื่อนแขนสองข้างมาป้องกัน
เสียงดังปัง ฝุ่นหินดินทรายพัดปลิวว่อนจากนั้นเกิดรอยร้าวบนพื้นดินและเริ่มแตกกระจายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็ว ร่างเพลิงรีบถอยห่าง มือทั้งสองเปื้อนโลหิต หลังจากหยุดลงมันจ้องหวังหลินด้วยดวงตาคึกคะนอง
หวังหลินยั้งมือและเก็บแขนไพล่หลัง จากนั้นมองร่างเพลิงและเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ยืนลง!”
ร่างแดงเพลิงครุ่นคิดเล็กน้อยจากนั้นโค้งคำนับต่อหวังหลิน มันเปลี่ยนกลับเป็นเปลวเพลิงและหายไปในพื้นปฐพี
หวังหลินมองออกไปไกลอย่างสงบนิ่ง เป็นไปได้ว่าอาจจะมีการทดสอบเช่นนี้ในการทดสอบการบ่มเพาะของเขา
“ต้องมีสักคนในสำนักชะตาสวรรค์ที่สอดส่องข้าจากข้างนอก…” หวังหลินเผยรอยยิ้มบาง แทนที่จะก้าวไปข้างหน้าเขากลับก้าวถอยหลังออกมา
“ข้ายกเลิกบททดสอบปฐพี!” เช่นนั้นร่างหวังหลินหายไปจากภายในบททดสอบ
ขณะนี้ใต้ต้นโพธิ์ ชายใบหน้าอ่อนโยนขมวดคิ้วและสายตาเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
“เขาตัดสินใจยกเลิกเด็ดขาด…น่าเสียดาย ข้าไม่สามารถใช้โอกาสนี้ในการดูขอบเขตการบ่มเพาะของเขา แต่ว่าไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเช่นไร เซียนขั้นแปลงวิญญาณระดับต้นก็ไม่ถือว่ามากมายนัก”
ในพริบตา แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสดใส ไม่ขมวดคิ้วอีกต่อไปและรอยยิ้มกลับมาดังเดิม เขาไม่ได้หันกลับมาแต่เอ่ยขึ้นแผ่วเบา “ศิษย์น้องสาม ข้าไม่เจอเจ้ามาหลายวัน การเดินทางราบรื่นดีไหม?”
“เมื่อศิษย์พี่คิดถึงข้า แน่นอนว่าการเดินทางราบรื่นดี” น้ำเสียงอ้อนแอ้นออกมาไกล
ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มสวมชุดสีขาวก็เดินมาข้างหน้า หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวเขาก็มาถึงใต้ต้นโพธิ์ คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่หวังหลินพบเจอในดาวแลกเปลี่ยน ป๋ายเวย!
ชายหน้าตาอ่อนโยนหันกลับมามองป๋ายเวยและยิ้มแย้ม “ศิษย์น้องสาม เจ้าได้หาของขวัญเนื่องในวันเกิดของอาจารย์ไหม?”
ป๋ายเวยมองในความว่างเปล่าที่อยู่ห่างไปอย่างลวกๆและยิ้มแย้ม “ของขวัญที่ข้าจัดเตรียมไว้เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น ไม่สามารถเปรียบกับสิ่งที่ศิษย์พี่เตรียมได้หรอก…นี่อะไร?”
หลังจากเอ่ยขึ้นสายตาป๋ายเวยก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจ้องไปที่ความว่างเปล่า ดวงตาเผยประกายแสงลึกลับ
จิตใจของชายใบหน้าอ่อนโยนสั่นเทาไปชั่วขณะหนึ่งและเอ่ยขึ้น “เขาเป็นศิษย์สายนอกที่อาจารย์รับไว้บนดาวซูซาคุ เขามาถึงที่นี่ไม่กี่เดือนก่อนและเข้าไปทดสอบในสามการทดสอบ ตอนนี้เขาอยู่บนบททดสอบที่สาม”
“เขานั่นเอง…” สายตาป๋ายเวยสว่างขึ้นขณะเอ่ยออกมา “เช่นนั้นทำไม…”
ชายใบหน้าอ่อนโยนแกล้งทำเป็นพูดออกมา “อาจารย์จัดตั้งให้เขาอาศัยในตำหนักเมฆาม่วง!”
“ตำหนักเมฆาม่วง!” แสงลึกลับในดวงตาป๋ายเวยหายไปและแทนที่ด้วยความเย็นเยือก หลังขบคิดชั่วขณะเขาก็เอ่ยออกมา “ศิษย์พี่ ข้ายังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำดังนั้นข้าคงไม่อาจอยู่ต่อได้ ส่งหญ้าห้ากลีบสามพันปีของท่านมาและข้าจะให้ผลึกอัคคีเป็นการแลกเปลี่ยน ว่าอย่างไร?”
ชายใบหน้าอ่อนโยนหัวเราะ “ก็ได้ ไปที่ถ้ำของข้าจะมีเด็กนำมันมาให้เจ้า”
ป๋ายเวยคำนับฝ่ามือ หลังจากใช้สายตามองไปที่ความว่างเปล่านั้นเขาก็หายตัวไป
ชายหน้าตาอัธยาศัยดีพลันลูบคางและเผยใบหน้าครุ่นคิด “ทำไมอาจารย์ถึงแต่ตั้งให้เขาพำนักอยู่ในตำหนักเมฆาม่วงกัน…หากเขาถูกแต่งตั้งไปที่อื่นจะมีเส้นทางที่ราบรื่นกว่า แต่ตอนนี้เขาตรงไปที่อัคคี…”
บททดสอบสวรรค์เป็นการทดสอบเขตแดน!
ตอนนี้ในบททดสอบสวรรค์ หวังหลินนั่งอยู่ในท่านั่งดอกบัวพร้อมด้วยดวงตาปิดสนิท เขากำลังครุ่นคิด
หลังยกเลิกบททดสอบปฐพี เขาก็เข้ามาที่นี่และเริ่มการทดสอบ หวังหลินนั่งอยู่ที่นี่มาสามสิบวันแล้ว
ในเวลาสามสิบวันหวังหลินขบคิดถึงความลับของบททดสอบปฐพีอย่างต่อเนื่อง ตอนที่เขามาที่นี่พลันสัมผัสได้ว่าเขตแดนของเขาเข้าใกล้กับสวรรค์มากที่สุด สัมผัสความรู้สึกคล้ายจะสามารถสัมผัสสรวงสวรรค์เพียงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น
วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ หวังหลินหลงลืมเรื่องวันเวลาไปแล้ว เขานั่งอยู่ที่นี่ไม่ไหวติงและตลอดเวลาก็ไม่เคยนำเขตแดนของตัวเองออกมา
หวังหลินไม่ได้เร่งรีบดังนั้นจึงนั่งอยู่ที่นี่ต่อไป เขามีความรู้สึกคลุมเครือที่บรรลุขอบเขตอะไรบางอย่าง เป็นการควบรวมกันของวงโคจรและประสบการณ์ที่เขาผ่านมา คำว่าเต๋าค่อยๆปรากฎขึ้นในวิญญาณของเขา
ในวันที่ 51 ที่หวังหลินใช้เวลาอยู่ในบททดสอบสวรรค์ ในวันนี้เขาลืมตาขึ้นและตื่นจากการบ่มเพาะ
ดวงตาไม่มีประกายแสงแต่กลับมีแสงลึกลับหนึ่งสะบัดอยู่ภายใน เขานั่งคิดอยู่ที่เดิมและเผยรอยยิ้มบาง
“บททดสอบมนุษย์ ปฐพีและสวรรค์ไม่ใช่การทดสอบแต่เป็นโอกาส หากเข้าใจพวกมันก็จะเข้าใจ หากรู้แจ้งก็จะได้รับการรู้แจ้ง มันเป็นเช่นนี้เอง…”
หวังหลินยืดแขนตัวเองและยืนขึ้นมองไปรอบๆ เขายิ้มออกมาและเอ่ยขึ้น “ข้ายกเลิกบททดสอบสวรรค์”
หลังกล่าวเช่นนั้น โลกรอบตัวเขาก็พร่ามัวราวกับกำลังหมุน มันอย่างรวดเร็วโดยมีหวังหลินอยู่ตรงกลางและทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
หวังหลินยังคงยืนอยู่ที่นี่เหมือนก่อนหน้านี้ ตอนนี้มีคนผู้หนึ่งสวมชุดสีม่วงอยู่ข้างหน้าเขา รอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้านั้นมองมาที่หวังหลิน
“ศิษย์น้องหวังหลิน ข้าจ้าวซิงชา(趙星煞 Zhào xīng shā) ในหมู่ศิษย์รุ่นแรกของอาจารย์ ข้าอยู่ในสำนักนานที่สุด เจ้าสามารถเรียกข้าว่า พี่ใหญ่”
หวังหลินมองเขาจากนั้นคำนับฝ่ามือและเอ่ยออกมา “หวังหลินคำนับพี่ใหญ่”
จ้าวซิงชายิ้มบางจากนั้นชี้แขนออกไป “ตามข้ามาศิษย์น้องหวังหลิน อาจารย์แต่ตั้งให้เจ้าอาศัยอยู่ในตำหนักเมฆาม่วงเรียบร้อยแล้ว”
สิ้นคำจ้าวซิงชาก็นำทางหวังหลินและหวังหลินติดตามไป
ทั้งสองคนเปลี่ยนเป็นลำแสงสองเส้นและเข้าไปในภูเขาส่วนลึก
ขณะที่เหาะเหินไปจ้าวซิงชาก็พูดระหว่างทางไปด้วยพร้อมกับให้รายละเอียดเรื่องสำนักชะตาสวรรค์
คนผู้นี้เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและมีวิธีการใช้คำพูด เขาสามารถทำให้เข้าใจได้ง่ายๆและทำให้หวังหลินเข้าใจสำนักชะตาสวรรค์ขึ้นได้ดีทีเดียว
หวังหลินเอ่ยถาม “พี่ใหญ่จ้าว ผู้อาวุโสเทียนหยุนมีศิษย์กี่คนหรือ?”
จ้าวซิงชายิ้มเบาบางจากนั้นฝ่ามือสร้างผนึกและชี้ไปด้านหน้า ก้อนเมฆข้างหน้าพวกเขาพลันแตกกระจายก่อเกิดเป็นทางเดิน ขณะที่เขาเข้าหาทางเดินก็พลันหัวเราะและเอ่ยขึ้น “ศิษย์น้อง อาจารย์รับศิษย์ทั้งหมดอยู่เจ็ดคน สำนักเราแบ่งเป็นสีแดง ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า น้ำเงินและม่วง เราสองคนต่างอยู่ในกลุ่มสีม่วง”
“กลุ่มสีม่วง…” ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้น
จ้าวซิงชาถอนหายใจออกมา “ในเจ็ดกลุ่มนี้ กลุ่มสีม่วงของเราอ่อนแอที่สุด อาห์ เมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ไปสักพักเจ้าก็จะรู้เองดังนั้นข้าจะไม่พูดอะไรมากนัก”
หลังเหาะเหินผ่านภูเขาไปสักพัก ยอดภูเขาที่ทะลุก้อนเมฆก็ปรากฎเบื้องหน้า มีหอคอยหรูหราแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนยอดูเขา หอคอยแห่งนี้เรืองแสงสีม่วงสว่างวาบไปบริเวณโดยรอบ
หอคอยเป็นเมือนต้นตอของสีม่วงในโลก เพียงแค่มองมันก็ทำให้จิตใจผู้คนสั่นเทาได้แล้ว
“ศิษย์น้องหวังหลิน ตามมา!” จ้าวซิงชาพุ่งตรงไปที่ยอดภูเขาและหวังหลินก็ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด
มีศิษย์สำนักสวรรค์นับไม่ถ้วนบ่มเพาะอยู่บนยอดภูเขาและใต้หอคอย มองคร่าวๆแล้วมีอย่างน้อยถึงหมื่นคน
ด้านหลังภูเขายังมีบ้านนับไม่ถ้วนปกคลุมภูเขาทั้งลูก ทั้งยังมีศิษย์ที่กำลังฝึกฝนเต๋า วิชาเซียนหรือบ่มเพาะอยู่ด้วย
เพียงแค่ชำเลืองมองหนึ่งครา หวังหลินก็คาดคำนวณได้ว่ามีศิษย์อย่างน้อยหนึ่งแสนคนที่นี่
ภูเขาแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไปโดยเฉพาะด้านหลังภูเขาซึ่งดูไร้ที่สิ้นสุด เป็นเสมือนมังกรยักษ์ที่นอนแผ่หลาอยู่ที่นี่ หากไม่ระมัดระวังแล้วเขาคงหลงอยู่ในสำนักกว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้ง่ายๆ
จ้าวซิงชาคำนับฝ่ามือและยิ้มบาง “สถานที่แห่งนี้เป็นกลุ่มสีม่วงของสำนักชะตาสวรรค์ ศิษย์น้องหวังหลิน ทิศตะวันตกเป็นที่ตั้งของตำหนักเมฆาม่วง หากเจ้ากระจายสัมผัสวิญญาณของเจ้าออกเจ้าก็จะพบมัน ข้ายังมีหลายสิ่งสำคัญที่ต้องทำ เช่นนั้นข้าไม่อาจไปกับเจ้าได้!”
หวังหลินพยักหน้า คำนับฝ่ามือให้จ้าวซิงชาและเหาะเหินไปทางทิศตะวันตกราวกับสายฟ้า
ใบหน้าจ้าวซิงชายังคงเผยรอยยิ้มบางโดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่แสงลึกลับแล่นผ่านดวงตาเขา
ขณะที่หวังหลินเหาะเหินเขาก็พ่นลมหายใจเย็นเฉียบ ครั้งแรกที่หวังหลินเห็นจ้าวซิงชาก็เขาจดจำได้ว่าเป็นคนที่พยายามขัดขวางเขาในบททดสอบมนุษย์ ทว่าด้วยความสามารถของหวังหลินจึงเก็บงำไว้ลึกและปั้นใบหน้าหลอกๆ
หลังจากนั้นไม่นานหวังหลินกระจายสัมผัสวิญญาณออกมาและพบตำหนักแห่งหนึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายสีม่วงอ่อนๆ ด้านหน้าตำหนักมีเขียนไว้ตัวใหญ่ว่า “ตำหนักเมฆาม่วง”
“สำนักชะตาสรรค์แห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป แค่กลุ่มสีม่วงก็มีขนาดใหญ่เช่นนี้แล้ว ข้าสงสัยว่าอีกหกกลุ่มจะมีขนาดใหญ่แค่ไหน สำนักหลักต้องมีมากเกินจินตนาการเป็นแน่” ดวงตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและร่อนลงด้านหน้าตำหนักเมฆาม่วง
ขณะที่กำลังจะก้าวเข้าไปข้างหน้า เขาขมวดคิ้วและจ้องเข้าไปในตำหนัก
หวังหลินเห็นคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากตำหนัก คนผู้นี้เป็นสตรีสวมชุดราตรีสีม่วงจุดด้วยดอกไม้สีทอง นางน่ารักและใบหน้ามีเสน่ห์ แต่ตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารขณะจ้องไปหาหวังหลิน
“เจ้าเข้ามาที่นี่ไม่ได้!”