Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 705

Cover Renegade Immortal 1

705. องครักษ์เทพตนที่สอง

ห่างออกไปไม่ไกล อสูรสายฟ้ายังคงนอนสั่นอยู่บนพื้นไม่รู้ตัว หลังจากเห็นร่างหวังหลินหายเข้าไปในมิติว่าง มันลังเลก่อนจะติดตามหวังหลินเข้าไปด้วย

ในมิติว่าง เส้นผมสีดำของหวังหลินเคลื่อนไหวโดยไร้แรงลม แววตาไร้ความสุขหรือความเศร้า ราวกับเขามองทะลุทุกอย่างในโลกใบนี้

หวังผิงไม่ใช่คนเดียวที่ผ่านวัฏจักรแห่งการเกิดใหม่ หวังหลินเองก็ผ่านด้วยเช่นกัน

ระดับบ่มเพาะทะลวงผ่านขั้นเทวะระดับต้นและบรรลุสู่ระดับกลาง เขตแดนของเขาก็ทะลวงผ่านขั้นเทวะระดับปลายไปเนื่องจากวัฏรจักรแห่งการเกิดใหม่นี้ด้วย

เมื่อมีหินหยกสวรรค์เพียงพอ หวังหลินมั่นใจว่าจะกลายเป็นเซียนผู้ทรงพลังขั้นเทวะระดับปลายที่แท้จริงได้!

“เมื่อเผชิญกับเซียนขั้นหยินหยาง ข้าสามารถเอาชนะเซียนขั้นมายาหยินได้อย่างยากลำบากมาก ทุกการต่อสู้จะใช้พลังดั้งเดิมที่ล้ำค่าไป ตอนนี้พลังดั้งเดิมของข้าหมดสิ้นไม่มีเหลือ ส่วนเซียนขั้นรูปธรรมหยางข้าไม่อาจสู้ได้ หากข้าเจอสักคนข้าจะต้องรีบหนีให้เร็ว!”

หวังหลินเริ่มคิด

“ความแตกต่างระหว่างระดับแรกและระดับที่สองนับว่าเป็นช่องว่างที่กว้างมากจนไม่สามารถข้ามผ่านได้ง่ายๆ แม้ข้าจะบรรลุขั้นเทวะระดับปลาย เมื่อไร้พลังดั้งเดิม ข้าไม่สามารถสู้กับเซียนขั้นหยินหยางได้! ข้าจะได้รับพลังดั้งเดิมมาได้อย่างไรดี…”

หวังหลินก้าวเข้าหาความว่างเปล่าและทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าสู่ดวงดาวตรงจุดที่องครักษ์เทพและอสูรสายฟ้าไป ด้านหลังเขามีอสูรสายฟ้าจากอารามเทพอัสนียังคงติดตามแต่รักษาระยะห่างเอาไว้

“เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือการได้รับหินหยกสวรรค์เพียงพอและหาทางเพิ่มพลังดั้งเดิมของข้า” แววตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและเผยสายตามุ่งมั่นตั้งใจ

เมื่ออยู่ท่ามกลางดวงดาว หวังหลินตบกระเป๋านำเข็มทิศดวงดาวออกมา เขานั่งอยู่บนแสงสีเงินและล่องลอยในหมู่ดาว

อสูรสายฟ้าด้านหลังตกตะลึง จากนั้นเปลี่ยนเป็นลำแสงสายฟ้าและติดตามหลังหวังหลินอย่างรวดเร็ว

หวังหลินรู้อยู่แล้วว่าอสูรสายฟ้าตัวนั้นกำลังติดตามเขา จึงใช้ความเร็วเต็มที่เข้าหาจุดที่องครักษ์เทพอยู่

แสงสีเงินพุ่งตรงข้ามผ่านอวกาศ ข้ามผ่านหมู่ดาวราวกับสายรุ้ง

หลังจากนั้นไม่นานดวงตาหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นชาและได้ยินเสียงระเบิดเกิดขึ้น ห่างออกไปไม่ไกล ผู้ส่งสาส์นกำลังอยู่ในสภาวะย่ำแย่มาก ในมือมีลำแสงสายฟ้ากำลังต่อสู้กับหุ่นเชิดองครักษ์เทพแต่ก็ถูกดันถอยอย่างต่อเนื่อง

ด้านหลังเป็นอสูรสายฟ้าที่ได้รับปลดปล่อยผนึกที่สามแล้ว มันร้องคำรามและพุ่งอย่างบ้าคลั่ง เขาของมันปลดปล่อยพลังแสงสายฟ้าอันทรงพลัง ทำให้ผู้ส่งสาส์นต้องหลบทุกครั้งอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเขาซีดเผือดและเผยร่องรอยแห่งความสิ้นหวัง

ผู้ส่งสาส์นเห็นแสงสีเงินกำลังเข้ามาจากระยะไกลและเมื่อรับรู้ได้ว่ามันเป็นหวังหลิน ความสิ้นหวังในแววตาเขายิ่งมากขึ้น เขาใช้พลังดั้งเดิมส่วนใหญ่ในร่างกายไปหมดแล้ว หากใช้มันอีกระดับบ่มเพาะของเขาจะตกลงและไม่สามารถบรรลุขั้นรูปธรรมหยางได้ตลอดชีวิต! อีกทั้งเขาหวาดกลัวปราณกระบี่สองสายนั้นเป็นการเฉพาะ!

ดวงตาหวังหลินเย็นเฉียบ เขาต้องฆ่าผู้ส่งสาส์นคนนี้! หากไม่ฆ่าและปล่อยให้หนีรอดไป จะเกิดปัญหาไม่รู้จักจบสิ้นในอนาคต

หวังหลินตบกระเป๋าและกระบี่สมบัติเจ็ดเล่มลอยออกมาสร้างเป็นค่ายกลกระบี่เจ็ดดารา พวกมันหวีดหวิวเข้าหาผู้ส่งสาส์น

หุ่นเชิดองครักษ์เทพเรืองแสงสีส้มพร้อมกับโยนกำปั้นใส่ผู้งส่งสาส์น ผลักดันให้เขาถอยหลังไป เขาอสูรสายฟ้าด้านหลังส่งเสียงซี่ๆและจากนั้นเกิดลำแสงสายฟ้าพุ่งตรงใส่แผ่นหลังของผู้ส่งสาส์น

ใบหน้าผู้ส่งสาส์นเปลี่ยนเป็นมืดมน ระหว่างทางมาที่นี่ อสูรและหุ่นเชิดทั้งสองนี้โจมตีเขาอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถหลบหนีได้เต็มที่ อีกทั้งแม้เขาจะสามารถเคลื่อนที่ในอวกาศโดยไม่มีอสูรสายฟ้า เห็นได้ชัดว่าความเร็วของเขาตกลง

ตอนนี้ยังมีค่ายกลกระบี่เจ็ดดารามาล้อมรอบอีก ปราณกระบี่พุ่งมาใส่ร่างกายเขาจนเขาต้องหยิบหินหยกออกมาและบดขยี้ สายฟ้าและลำแสงลอยออกมาล้อมรอบตัวเขาก่อเกิดเป็นม่านพลัง

ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราแทงเข้าใส่ม่านพลังจนก่อเกิดระเบิดดังออกมาเป็นชุด

ม่านพลังสายฟ้าสั่นอย่างรุนแรง ผู้ส่งสาส์นจ้องหวังหลินอยู่ข้างในและเอ่ยขึ้นทันที “สหายเซียนซิ่ว เรื่องนี้ข้าวู่วามเกินไปแต่ทำไมถึงต้องผลักข้ามาไกลขนาดนี้?! ข้าเป็นคนของอารามเทพอัสนี เช่นนั้นหากสหายเซียนฆ่าข้า เจ้าจะพบว่ามันยากนักที่จะท่องไปในดาราจักรทุกชั้นฟ้า!”

“หากข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็ยังพบว่ามันยากนักที่จะเดินทางไปในดาราจักทุกชั้นฟ้าเช่นกัน!” เสียงหวังหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ จากนั้นตบกระเป๋านำธงวิญญาณพันล้านดวงออกมา ธงวิญญาณกว้างสามสิบฟุตปลดปล่อยคลื่นเสียงกรีดร้องจนสั่นสะเทือนวิญญาณดั้งเดิม

เพียงสะบัดหนึ่งครั้ง วิญญาณทั้งหมดก็ลอยออกมา ท่ามกลางพวกมันนี้มีทั้งวิญญาณขั้นแปลงวิญญาณและมีกระทั่งขั้นเทวะบางส่วน

หลังจากได้รับวิญญาณดวงที่สี่กลับคืนมา แม้ว่าจำนวนวิญญาณธรรมดายังไม่บรรลุหนึ่งพันล้าน พลังอำนาจปัจจุบันของธงวิญญาณกระทั่งแข็งแกร่งมากกว่าตอนที่อยู่บนดาวซูซาคุ!

นอกจากนั้นยังมีวิญญาณของเซียนที่แข็งแกร่งอยู่ในธงจำนวนมาก

วิญญาณนับไม่ถ้วนลอยออกมาและล้อมรอบไปทั่วบริเวณ จากนั้นวิญญาณที่แข็งแกร่งทั้งหมดก็หลอมรวมเข้าด้วยกันก่อเกิดเป็นวิญญาณหลักขั้นสูงสุดอยู่สามดวง!

วิญญาณหลักดวงแรกคือกิเลนดำตัวยักษ์ สายตาส่องประกายความหนาวเย็นและดุร้ายขั้นสุด

วิญญาณหลักดวงที่สองเป็นยักษ์สีดำสูงสามสิบฟุต ร่างกายของมันปลดปล่อยพลังวิญญาณมหาศาลและมีกลิ่นอายที่สามารถสั่นสะเทือนดวงวิญญาณได้

วิญญาณหลักดวงที่สามคือเข็มสีดำขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แม้จะตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณก็ยากนักที่จะรับรู้ถึงตัวตนของมัน ร่างหลักของมันคือวิญญาณดวงที่สี่อันลึกลับ!

วิญญาณหลักขั้นสูงสุดทั้งสามนี้คือการผสานกันของวิญญาณทั้งหมดในธงวิญญาณ นี่คือวิชาที่ทรงพลังที่สุดท่ีหวังหลินสามารถใช้ได้พร้อมกับธงวิญญาณพันล้านดวงตอนนี้

“ฆ่า!!” หวังหลินตะโกน

ดวงวิญญาณหลักทั้งสามดวงพุ่งออกไปและเริ่มโจมตีม่านพลังสายฟ้าพร้อมกับเหล่าหุ่นเชิดองครักษ์เทพ อสูรสายฟ้าและค่ายกลกระบี่เจ็ดดารา

รูม่านตาของผู้ส่งสาส์นหดลง จากนั้นใบหน้าซีดเผือดและเผยความสิ้นหวังมากขึ้น หุ่นเชิดและอสูรสายฟ้านั้นสำหรับเขาถือว่าต่อกรได้ยากอยู่แล้ว ตอนนี้มาเพิ่มวิญญาณทรงพลังสามดวงเข้ามาอีก ผู้ส่งสาส์นเชื่อว่าเขาคงถูกฆ่าในไม่กี่ลมหายใจหลังจากม่านพลังแตกสลาย

“ซิ่วมู่!!! อย่ามาบังคับข้า! ผู้ส่งสาส์นทั้งหมดของอารามเทพอัสนีต่างมีวิชาช่วยชีวิต อย่างมากข้าก็แค่สังเวยอายุขัย!” ผู้ส่งสาส์นจ้องหวังหลินด้วยดวงตาแดงฉาน

เขารู้สึกขมขื่นในใจ เมื่อใช้วิชานั้นจะไม่เป็นเรื่องใหญ่โตเลยหากมีพลังดั้งเดิมเพียงพอ แต่หากไม่มีพลังดั้งเดิมมันจะกลืนกินอายุขัยของเขา ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นไม่เพียงแต่อายุขัยจะสิ้นลงแต่ระดับบ่มเพาะจะตกลงมาที่ขั้นแปลงวิญญาณเนื่องจากพลังดั้งเดิมถูกใช้จนหมด

สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำร้ายหวังหลินด้วยสมบัติช่วยชีวิตได้ ปราณกระบี่สองสายนั้นสำหรับเขาแล้วมันน่าหวาดกลัวที่สุดและทำให้หนังศีรษะด้านชา เมื่อเขาใช้วิชาช่วยชีวิตไป เขากลัวว่าหนทางที่เหลือสำหรับเขายังคงเป็นความตาย

หวังหลินกล่าวด้วยแววตาสงบนิ่ง “เป็นเจ้าที่บังคับข้าเอง ไม่ใช่ข้าที่บังคับเจ้า!”

ผู้ส่งสาส์นกล่าวอย่างขื่นขม “ระหว่างเราไม่มีความเกลียดชังต่อกัน ข้าจะต้องทำอะไรถึงจะให้เจ้าปล่อยข้าไป?!”

หวังหลินจ้องผู้ส่งสาส์นในม่านพลัง เขาขบคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมา “จดจำข้าเป็นเจ้านายและให้ข้าทิ้งรอยประทับบนตัวเจ้าไว้!”

ผู้ส่งสาส์นครุ่นคิด ตอนนี้ม่านพลังรอบตัวเริ่มสั่นไหวรุนแรงเนื่องจากการโจมตีจากด้านนอกและกำลังพังทลาย ผู้ส่งสาส์นกัดฟันแน่นและเอ่ยออกมา “ตกลง ข้ายอมรับ!”

เขาเริ่มคิดอย่างเลวร้าย “ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ได้สูงไปกว่าข้า แม้จะประทับข้าเป็นทาส มันก็ไม่สามารถอยู่ได้ยาวนาน เมื่อข้าฟื้นฟูระดับบ่มเพาะได้ข้าจะหนีไปและรายงานต่ออารามเทพอัสนี จากนั้นอารามเทพอัสนีจะส่งคนมาฆ่าเขาเพื่อระงับความโกรธของข้า!”

หวังหลินเอ่ย “เปิดม่านพลัง!”

ผู้ส่งสาส์นลังเลเล็กน้อย ม่านพลังกำลังสลาย ดวงตาเขาเรืองแสงสว่างขึ้นพร้อมกับโบกแขนขวา ม่านพลังเลือนหายไปทันที

เมื่อม่านหายไป หัวใจผู้ส่งสาส์นเต้นกระดอน ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราอยู่ถัดจากเขาและกำปั้นขององครักษ์เทพก็หยุดห่างจากเขาไปสามนิ้ว

ดวงตาอสูรสายฟ้าส่องประกายเรืองแสงพร้อมปลดปล่อยเสียงประทุออกมา แววตามันไม่มีความเมตาอยู่ใดๆ

วิญญาณดั้งเดิมขั้นสูงสุดสามดวงหมุนเป็นวงกลมล้อมรอบและมองมาที่ผู้ส่งสาส์นด้วยสายตาเยือกเย็นเป็นครั้งคราว

ขณะที่หวังหลินจ้องมองผู้ส่งสาส์น แววตาเผยประกายแสงลึกลับ พลันตบกระเป๋านำธงกฏเกณฑ์ออกมา หวังหลินโบกสะบัดธงและกฏเกณฑ์ทั้งหมดลอยออกมาก่อเกิดเป็นค่ายกลกฏเกณฑ์สีทองเบื้องหน้า

ฝ่ามือซ้ายสร้างผนึกขึ้นและชี้มาที่ค่ายกลกฏเกณฑ์ พลันค่ายกลส่องแสงสีทองสว่างจ้าก่อนจะลอยตรงไปที่ผู้ส่งสาส์น

ผู้ส่งสาส์นไม่ได้หลบแต่กัดฟันแน่นและปล่อยให้มันเข้าไปในระหว่างคิ้ว ค่ายกลกฏเกณฑ์เจาะทะลุร่างกายและตรงเข้าหาวิญญาณดั้งเดิม เมื่อมันเข้ามาเชื่อมต่อกับวิญญาณดั้งเดิม ค่ายกลกฏเกณฑ์ก็หลอมละลายและล้อมรอบวิญญาณของเขาไว้อย่างสมบูรณ์

หลังเห็นสิ่งนี้เขาจึงคิดขึ้นมา ‘ค่ายกลนี้ประหลาดมาก แต่ไม่มีกฏเกณฑ์ใดที่สามารถต้านทานผลกระทบของวิญญาณดั้งเดิมได้ เมื่อพลังดั้งเดิมของข้าฟื้นฟูกลับมา ข้าจะทำลาค่ายกลนี้ทิ้งซะ!’

“นี่คือกฏเกณฑ์ส่วนแรกเท่านั้น ยังมีส่วนที่สอง!” หลังจากหวังหลินกล่าวจบ เขาก็ก้าวไปบนเข็มทิศดวงดาวและลอยออกไปไกล

ด้วยอันตรายรอบตัว ผู้ส่งสาส์นจำเป็นต้องติดตามไป ส่วนอสูรสายฟ้าจากอารามเทพอัสนีที่ห่างออกไปไกล มันเห็นเหตุการณ์นี้จึงลังเลเล็กน้อยและจากนั้นหันตัวกลับเพื่อจะหนีไป

หวังหลินพ่นลมหายใจเย็นจากมิติว่าง ทำให้เจ้าอสูรสายฟ้าสั่นเทา มันหวาดกลัวเกินกว่าจะหลบหนีดังนั้นจึงติดตามหวังหลินไป

ตอนที่เขาไล่ตามมาหาผู้ส่งสาส์น หวังหลินรับรู้ว่ามีดาวเคราะห์สีเทาดวงหนึ่งห่างออกไปไม่ไกล มันเป็นดาวเคราะห์ที่ถูกทิ้งเอาไว้ ไม่มีพลังปราณใดๆออกมาจากดวงดาวและดูเหมือนไม่มีสิ่งมีชีวิตด้วย

หวังหลินพุ่งตรงไปที่ดาวดวงนี้ด้วยความเร็วสูง หลังจากนั้นไม่นานก็เขามาถึงบนดวงดาวสีเทา พื้นดินเป็นสีเทาและมีพายุโหมกระหน่ำไปทั่วดวงดาว ทั้งยังมีแก๊สพิษปกคลุมไปทั่วซึ่งสามารถฆ่าคนธรรมดาได้ทันที

หลังจากร่อนลงมาถึงดวงดาว เท้าหวังหลินกระทืบลงบนพื้นเกิดเสียงดังสนั่นและปรากฏหุบเหวลึกลงไป หวังหลินใช้ดัชนีเป็นกระบี่ส่งปราณกระบี่เคลื่อนออกไปข้างในหุบเหว

ไม่นานนักก็สร้างถ้ำแห่งหนึ่งขึ้นมาจากปราณกระบี่!

หวังหลินก้าวเท้าเข้าไปในถ้ำและผู้ส่งสาส์นถูกบังคับเข้าไปข้างในด้วยเช่นกัน

ถ้ำแห่งนี้ขนาดใหญ่มาก มีทั้งหมดสี่ห้องและมีห้องโถงใหญ่อยู่ตรงกลาง ปราณกระบี่ยังคงอ้อยอิ่งอยู่บนผนัง มีขี้เถ้าหล่นลงมาจากหนังไปด้วย หวังผลินโบกแขนเสื้อพลันเกิดสายลมพัดเอาเศษผงทั้งหมดออกไปนอกถ้ำ

เมื่อหวังหลินหันกลับมามองผู้ส่งสาส์น แววตาเผยประกายลึกลับที่มิอาจมองเห็นและเอ่ยออกมา “หลังกฏเกณฑ์ส่วนที่สอง ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

ผู้ส่งสาส์นขบคิดอย่างเงียบๆและมองอันตรายที่ยังอยู่รอบตัว หลังจากนั้นสักพักจึงพยักหน้า “ตกลง”

หวังหลินนั่งสมาธิลง แขนสองข้างสร้างผนึกขึ้น กฏเกณฑ์ทีละรูปแบบลอยออกมาและตกลงใส่ร่างผู้ส่งสาส์น ในเวลาเดียวกันหวังหลินก็เอ่ยขึ้น “เมื่อข้าวางตราประทับลง เจ้าต้องไม่ต่อต้าน ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่รักษาสัญญา!”

ผู้ส่งสาส์นเงียบเสียงและหลับตาลง เขาเยาะเย้ยอยู่ในใจ “ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าเจ้าจะใส่กฏเกณฑ์แบบไหนลงไป ขอจนกว่าข้าจะฟื้นฟูพลังดั้งเดิมก่อนเถอะ จากนั้นข้าก็จะสามารถทำลายกฏเกณฑ์ได้ง่ายๆ!”

ใบหน้าหวังหลินเผยร่องรอยแห่งความมืดมน มีเพียงการหล่อหลอมคนผู้นี้ให้กลายเป็นองครักษ์เทพเท่านั้นจึงจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ในสายตาเขา ผู้ส่งสาส์นคนนี้ผ่านความต้องการในการหลอมเป็นองครักษ์เทพพอดี อีกทั้งด้วยอสูรสายฟ้าด้านนอก เมื่อรวมกันแล้วโอกาสสำเร็จจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้นแม้มันจะล้มเหลวก็ไม่มีปัญหาอันใด ถือว่าหวังหลินก็ไม่เสียอะไร

หวังหลินพ่นพลังดั้งเดิมออกมาจากปาก เปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์นับไม่ถ้วน สัญลักษณ์แต่ละชิ้นตกลงใส่ผู้ส่งสาส์น

ผู้ส่งสาส์นลืมตาขึ้นและจ้องหวังหลินทันที หลังจากนั้นสักพักจิตใจเขาก็พ่นความหนาวเย็นและหลับตาอีกครั้ง เขายอมให้พลังดั้งเดิมของหวังหลินเคลื่อนไหวในร่างกายตนเองได้อย่างอิสระ

เพียงแค่ในจังหวะที่เขาหลับตา แววตาหวังหลินส่องสว่างขึ้นและตบกระเป๋า แส้ฟาดวิญญาณปรากฏในมือและหวดเข้าใส่ผู้ส่งสาส์นอย่างโหดเหี้ยม

ผู้ส่งสาส์นลืมตาขึ้นมาและตะโกน “เจ้ากำลังทำอะไร?!”

หวังหลินหวดแส้เร็วเกินไปและเร็วยิ่งขึ้นไปอีก ขณะที่ผู้ส่งสาส์นเอ่ขึ้นมา เขาก็โดนหวดใส่ร่างกายอีกครั้ง

แต่มันไม่ใช่โดนครั้งเดียว ขณะที่แส้ร่อนลงบนร่างเขา แส้ฟาดวิญญาณก็หวดไปแล้วหกครั้ง ผู้ส่งสาส์นโดนหวดไปหกครั้งในพริบตา!

เสียงหวดของแส้ดังสะท้อน ร่างกายผู้ส่งสาส์นสั่นเทา ใบหน้าซีดเผือดและดวงตาหมองลง ด้านหลังเขาพลันมีวิญญาณดั้งเดิมถูกฟาดกระเด็นออกมาห่างจากร่างกายไปเจ็ดฟุต

เขากำลังจะตอบโต้ทว่าองครักษ์เทพก้าวเข้ามาพร้อมทั้งอสูรสายฟ้าร้องคำราม วิญญาณหลักขั้นสูงสุดกรีดร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในถ้ำ

ขณะนั้นค่ายกลกระบี่เจ็ดดาราได้ปลดปล่อยปราณกระบี่ทรงพลัง เจ็ดกระบี่ผสานเป็นหนึ่งและตวัดลงมา อสูรปิศาจทั้งเจ็ดตัวที่อยู่ในกระบี่ร้องคำรามเป็นหนึ่งเดียวกันป้องกันไม่ให้ผู้ส่งสาส์นพยายามกลับคืนสู่ร่างกาย

เหนือวิญญาณดั้งเดิมของผู้ส่งสาส์นคือกฏเกณฑ์ที่หวังหลินวางเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันสร้างเป็นตาข่ายสายฟ้ากักขังวิญญาณดั้งเดิมของผู้ส่งสาส์น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!