Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 866

Cover Renegade Immortal 1

866. ซื่อจื่อเฟิง

หวังหลินมองทะเลสาปสายฟ้าด้วยความระมัดระวังและถอนสายตา

ภายใต้การชี้แนะของชายชรา พวกเขามุ่งตรงเข้าหาทางฝั่งตะวันออกของอารามเทพอัสนี หวังหลินเห็นวังแห่งหนึ่งที่ใหญ่มากกว่าแห่งอื่น ราวกับเป็นอสูรยักษ์กำลังนอนอยู่ตรงนั้น ส่งแรงกดดันออกมาก่อนที่เขาจะทันได้เข้าใกล้อีก

ห่างออกไปจากโถงอยู่หลายลี้ ชายชราหยุดชะงักและยิ้มขึ้น “สหายเซียนซิ่ว จ้าวอารามเพียงแค่เรียกท่านเท่านั้น ข้าจึงไม่สามารถไปด้วยกันได้ ท่านเข้าไปด้วยตัวเองจะดีกว่า!”

สายตาหวังหลินตกลงบนโถงขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ เขาหันกลับมาหาชายชราและเอ่ยขึ้น “ผู้อาวุโส ขอบคุณท่านมากที่นำทาง!”

“ข้าไม่ได้เป็นผู้อาวุโสอันใดหรอก เมื่อสหายเซียนซิ่วสามารถถูกจ้าวอารามเชิญตัวมาได้ ท่านไม่ใช่แค่ปลาตัวเล็กในบ่อแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง เราจะได้รู้จักกันและกันดีกว่านี้” ชายชราส่ายศีรษะก่อนจะขอตัวและจากไป

หวังหลินแผ่กระจายสัมผัสวิญญาณของตัวเองออกมาด้วยความระวังและเหาะเหินไปข้างหน้า ค่อยเข้าใกล้โถงหลัก และเมื่อไปใกล้พอเขาก็เห็นคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านนอก แม้หวังหลินจะเห็นเพียงแค่แผ่นหลัง คนผู้นั้นดุจภูเขาที่สูงตระหง่าน

“ปรมาจารย์จงเฉิน!” หวังหลินไม่ได้ประหลาดใจนัก พอเข้าไปใกล้เขาก็ร่อนลงและคำนับฝ่ามือ “ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสปรมาจารย์จงเฉิน!”

“ข้าควรเรียกเจ้าว่าจ้าวปิศาจซิ่วมู่หรือหวังหลินจากดาราจักรพันธมิตรเซียนดี?” ปรมาจารย์จงเฉินหันกลับมามองหวังหลินด้วยความสงบนิ่ง เมื่อสายตาตกลงบนหวังหลินเขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย

“ส่องสวรรค์? เยี่ยม เยี่ยมมาก!”

หวังหลินสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้ตื่นตระหนกตอนที่ตัวตนเผยออกมา “จะซิ่วมู่หรือหวังหลินก็ได้ ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสไม่ได้เรียกข้ามาที่นี่เพียงเพื่อถามชื่อจริงหรอก”

ปรมาจารย์จงเฉินมองหวังหลินและเผยรอยยิ้ม ยิ้มขึ้นกระพริบความชื่นชม “เยี่ยมยิ่ง เจ้าคู่ควรที่จะเป็นคนที่ข้าต้องชะตา ข้าไม่สนว่าเจ้าจะชื่อหวังหลินหรือซิ่วมู่ ข้าต้องการจะขอให้เจ้าเข้าร่วมการต่อสู้กับดาราจักรพันธมิตรเซียน”

หวังหลินขบคิดเงียบๆชั่วครู่และเอ่ยตอบ “ผู้น้อยไม่มีความแข็งแกร่งนั้น แม้จะเข้าร่วมก็ไม่สำคัญอะไรมาก”

“เซียนขั้นส่องสวรรค์แบบเจ้ากล้าบอกว่าความแข็งแกร่งมีน้อยนิดกระนั้นรึ?” ปรมาจารย์จงเฉินหัวเราะแต่แววตากระพริบเย็นเยียบ

หวังหลินขบคิดเงียบๆเล็กน้อยและพยักหน้า “เมื่อผู้อาวุโสตีมูลค่าข้ามากนัก เช่นนั้นข้าก็จะเข้าร่วมสงคราม!” หวังหลินตัดสินใจเรื่องนี้มานานแล้วในใจ ตั้งแต่ที่เขาเข้าร่วมแข่งขันตำแหน่งร้อยแปดเทพ เขาก็บังคับให้มีความเกี่ยวข้องในการต่อสู้กับดาราจักรพันธมิตรเซียนแล้ว

“ดีมาก เก็บรักษาป้ายสิทธิ์ของเจ้าให้ปลอดภัย มันอาจจะเป็นประโยชน์ใหญ่หลวงต่อเจ้าในอนาคต! มันยังถือเป็นโชคลาภที่เดิมทีข้าสัญญาไว้กับเจ้า!” ปรมาจารย์จงเฉินโบกแขนเสื้อ สายลมกรรโชกรุนแรงพัดเบื้องหน้าหวังหลินเกิดแสงกระพริบและค่ายกลเคลื่อนย้ายแห่งหนึ่งปรากฏออกมา

“ออกไปด้วยค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ ในอีกสามวันข้าจะไปดูการแข่งขันด้วยตัวเองพร้อมกับสหาย ศิษย์พี่ฉิงชุ่ยของเจ้าก็จะไปด้วย!” สิ้นคำพูด ปรมาจารย์จงเฉินก็หันตัวกลับและเดินเข้าไปในห้องโถง

หวังหลินมองปรมาจารย์จงเฉิน “ผู้อาวุโส ท่านจะคืนอสูรสายฟ้าของผู้น้อยให้ได้ไหม?”

“เมื่อเส้นทางเปิดออก ข้าจะคืนมันให้เจ้า!” ร่างปรมาจารย์จงเฉฺนหายตัวเข้าไปในห้องโถง

หวังหลินขบคิดเงียบๆเล็กน้อยก่อนจะยกเท้าขึ้นก้าวเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย ปรากฏตัวนอกโถงภายนอกข้างๆกับค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งสี่ทิศ

ไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดถูกพาออกไปที่พัก

หวังหลินพลันหันตัวกลับมา สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขา นางสวยสดงดงามเป็นอย่างยิ่ง ผิวกายราวกับสร้างขึ้นมาจากหินหยก สวมชุดราตรีสีฟ้ามีลายน้ำ

“ผู้อาวุโสซิ่วมู่ใช่ไหม?” น้ำเสียงแจ่มใสและน่าฟังเป็นอย่างยิ่ง

หวังหลินพยักหน้า

“ผู้น้อยนามว่าเฉินซานและถูกท่านผู้ส่งสาส์นสั่งให้รอผู้อาวุโสที่นี่ นี่คือป้ายสิทธิ์ของผู้อาวุโสในการเข้าร่วมการแข่งขันเทพครั้งนี้ ส่วนที่พักของท่านมีข้อมูลอยู่ด้านใน” นางหยิบป้ายสิทธิ์ขนาดเท่ากำปั้นยื่นส่งให้หวังหลินด้วยท่าทีนอบน้อม จากนั้นนางก็ลังเล ใบหน้าขึ้นสีแดง กล่าวเสียงอ่อนนุ่ม “หากผู้อาวุโสต้องการเตาหลอมเซียนระหว่างการบ่มเพาะ ผู้อาวุโสสามารถเรียกผู้น้อยด้วยป้ายสิทธิ์ได้ อารามเทพอัสนียินดีจะช่วยเหลือสิ่งจำเป็นทั้งหมดสำหรับผู้เข้าร่วการแข่งขันครั้งนี้”

หลังนางกล่าวจบ ใบหน้าก็แดงขึ้นมากกว่าเดิมพลางโค้งตัวและถอยไป ร่างกายนางมีเสน่ห์อย่างยิ่งและตอนที่นางจากไป นางเผยเสน่ห์บางๆภายใต้ชุดราตรีอีก

หวังหลินถือป้ายสิทธิ์และตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ ของชิ้นนี้เหมือนกับเศษหินหยก มันมีแผนที่เรียบง่ายของอารามเทพอัสนีและค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ไม่ได้ถูกกระตุ้นเอาไว้ หลังจากเจอที่พักของตัวเองหวังหลินก็มุ่งไปทางนั้น

สามวันผ่านไปในพริบตา ช่วงระยะเวลาสามวันนี้หวังหลินหลับตาบ่มเพาะรักษาตัวเองให้อยู่ในสภาพที่เพรียบพร้อมที่สุด

เมื่อใกล้จะยามบ่ายของวันที่สาม ทั้งอารามเทพอัสนีมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง ค่ายกลเคลื่อนย้ายกระพริบวูบวาบไม่มีหยุดพร้อมกับกลุ่มเซียนจำนวนมากเข้ามาถึง รวมทั้งผู้ชมการแข่งขันฉายาเทพด้วย กลุ่มแรกเป็นเซียนจากตระกูลเซียนของดาวเคราะห์ชั้นยอดแต่ละทิศ พวกเขามีคุณสมบัติที่จะเข้าชมจากปลายสุดขอบเท่านั้น

จากนั้นก็เป็นตระกูลเซียนที่สูงกว่าดาวชั้นยอดแต่ก็ยังต่ำกว่าเช่นตระกูลเหยา พวกเขาคือตระกูลเช่นเดียวกับตระกูลเฉินกงและตระกูลจาง หลังจากนั้นก็คือสี่ตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมาจากแดนสวรรค์

อันดับสุดท้ายคือสมาชิกตระกูลของสองตระกูลเซียนที่สืบทอดมาจากยุคโบราณซึ่งอำนวยการประลองในครั้งนี้ไปพร้อมกับอารามเทพอัสนี แม้ว่าจำนวนเซียนที่ชมการแข่งขันค่อนข้างน้อยแต่ก็ยังมีประมาณหมื่นคน อารามเทพอัสนีจัดแจงจำนวนที่นั่งลอยตัวไว้มากมาย เหล่าเซียนจึงมีที่นั่งเหลือเฟือ

สนามต่อสู้ถูกกำหนดไว้ว่าจะเป็นทะเลสาปสายฟ้าสี่เหลี่ยมกว้างหมื่นฟุต!

ด้านนอกสี่เหลี่ยมมีเสาสีขาวมากกว่าสิบเสาปลดปล่อยคลื่นปราณสวรรค์ ปรมาจารย์จงเฉินนั่งเสื่อสมาธิบนยอดของเสาสีขาวหนึ่งในนั้น ด้านข้างเขามีขุนนางเทพฉิงชุ่ยนั่งอยู่ ดวงตาปิดสนิทราวกับไม่สนใจอะไรอื่น

ขณะที่มีเหล่าเซียนเข้ามาสังเกตการณ์มากขึ้น บรรพชนตระกูลเซี่ยงก็ปรากฏตัว เขาคำนับฝ่ามือให้ปรมาจารย์จงเฉินและนั่งลงบนเสื่อสมาธิข้างปรมาจารย์จงเฉิน

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ชายนามว่ากงซุนก็ปรากฏตัวสวมชุดสีดำและนั่งลง

หลังจากนั้นไม่นานตระกูลเหยาและตระกูลอื่นๆอีกสามตระกูลที่สืบทอดมาจากแดนสวรรค์ก็ได้มาถึง คนจากตระกูลเหยาคือเทพโลหิต เขามาพร้อมกับเซียนเฒ่าจากอีกสามตระกูลและนั่งลงบนเสื่อสมาธิ พวกเขากระทั่งไม่หันไปมองฉิงชุ่ย

เมื่อตระกูลเฉินกงและตระกูลจางมาถึงแล้ว บรรพชนตระกูลเฉินกงและลี่หยุนจื่อต่างก็นั่งลงเสื่อ ไม่นานนักบรรพชนอีกมากหน้าหลายตาก็มาถึงและนั่งลง

ยามบ่ายมาถึง แววตาปรมาจารย์จงเฉินส่องสว่าง พลางกล่าวสงบนิ่ง “การแข่งขันฉายาเทพ 108 คนของดาราจักรทุกชั้นฟ้า เริ่มต้น!” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นสายฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วอารามเทพอัสนี ค่ายกลเคลื่อนย้ายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ทั้งหมดมีขนาดเดียวกัน เหล่าเซียนปรากฏตัวภายในนั้นทีละคน

หวังหลินก็รวมอยู่ด้วย!

เทพโลหิตเงยศีรษะขึ้นมองหวังหลินด้วยสายตาน่าขนลุก พ่นลมหายใจเย็น ถอนสายตาออกมา ใบหน้ามืดมน

นอกจากเทพโลหิตยังมีอีกสายตาหนึ่งในฝูงชนด้านนอกจ้องมองหวังหลิน ซื่อจื่อเฟิงกัดริมฝีปากเล็กน้อยมองหวังหลินอย่างเงียบๆ นางถอนหายใจ เผยแววตาแฝงความสับสน

นับตั้งแต่ที่นางกลับมาจากแดนสวรรค์อัสนี ร่างหวังหลินก็คงอยู่ในใจนาง นางไม่สามารถสลัดภาพเขาออกไปได้และตอนที่ได้ยินว่าหวังหลินกำลังถูกตระกูลเหยาไล่ล่า หัวใจนางสั่นท้านแต่ไม่มีทางอะไรช่วยได้ ในทุกๆวันนางไม่มีอารมณ์อะไรจะฝึกฝนแต่เมื่อนางได้ยินว่าหวังหลินรอดกลับมาได้นางมีความสุขยิ่งนัก ทว่ามันก็ยังมีสัมผัสความขมขื่นซ่อนไว้ในความสุขด้วย

‘ข้ากลัวว่าเขาจะลืมชื่อข้าไปแล้ว…’

ซื่อจื่อเฟิงงดงามยิ่งและนางเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ตระกูลเซียนมากหน้าหลายตาต่างก็แสดงความรักต่อนาง แม้กระทั่งภายในตระกูลของนางเอง ซื่อจื่อมู่ ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องยังชื่นชมนางออกหน้าออกตา ทว่านางเมินเฉยเรื่องทั้งหมดนี้และไม่เคยแม้กระทั่งคิดจะหาคู่ฝึกเซียน ความฝันของนางเป็นเสมือนบรรพชน คือการเป็นเซียนสตรีที่บ่มเพาะจนสามารถแทงทะลุยอดสวรรค์ได้!

ทว่าทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปตอนที่นางมาเจอหวังหลิน แม้กระทั่งตัวนางเองยังสับสนเลย อย่างไรก็ตามหัวใจนางก็ตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีกตอนที่หวังหลินนำเซียนหลายร้อยคนพุ่งเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายของอารามเทพอัสนีซึ่งเป็นสิ่งที่นางไม่มีวันลืมเลือน

คราแรกซื่อจื่อเฟิงคิดว่าตอนนั้นคงทำให้นางลืมเลือนทุกอย่างได้ แต่เมื่อนางมาเห็นเขาอีกครั้ง นางกัดริมฝีปากจนเลือดเยิ้มและยังไม่รู้ตัว นางจ้องร่างที่นางอยากทำความคุ้นเคยทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นคนแปลกหน้า

ห่างออกไปจากซื่อจื่อเฟิงไม่ไกลนักมีหญิงชรานั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่านางไม่เหมาะสมที่จะนั่งบนเสื่อสมาธิแต่นางก็ยังเป็นบรรพชนตระกูลซื่อ!

นางขมวดคิ้วมองซื่อจื่อเฟิงและถอนหายใจ ‘ความสัมพันธ์ที่อาภัพนัก!’

หวังหลินลอยตัวอยู่กลางอากาศ ใบหน้าสงบนิ่งมองลงมาหาเหล่าเซียนดาราจักรทุกชั้นฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขามองคนที่อยู่บนเสื่อสมาธิ แต่ละคนมีระดับบ่มเพาะไม่ต่ำกว่าบรรพชนโลหิต หลายคนเหนือกว่าบรรพชนโลหิตไปไกลมาก

เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมด 325 แห่งปรากฏขึ้นมา ผู้เข้าร่วมทั้งหมดก็เผยตัวตน ปรมาจารย์จงเฉินเอ่ยขึ้นน้ำเสียงสงบนิ่ง “การแข่งขันครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามบททดสอบ หกเส้นทางและหนึ่งทางสู่สวรรค์! สามบททดสอบแห่งสวรรค์ ปฐพีและมนุษย์จะเป็นการทดสอบระดับบ่มเพาะ! หกเส้นทางมิติลี้ลับคือวงโคจรแห่งเต๋า!”

“สามบททดสอบและหกเส้นทางจะเป็นการเลือกตำแหน่งร้อยแปดเทพ จากนั้นจะเข้าสู่การต่อสู้แห่งความเป็นความตายในหนึ่งเส้นทางสู่สวรรค์ สามสิบหกคนแรกที่ฆ่าได้มากที่สุดจะได้รับมอบฉายาเทพสวรรค์! ทั้งยังมีชื่อเอาไว้บนหินประทานเทพด้วย!”

หลังกล่าวจบ พายุลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นมาในพื้นที่ แม้กระทั่งผู้คนบนเสื่อสมาธิยังตกตะลึง สายตาทุกคนจับจ้องไปบนปรมาจารย์จงเฉิน

แม้กระทั่งบรรพชนตระกูลเซี่ยงและชายชุดดำกงซุนก็ตกตะลึงไปด้วย พวกเขามองไปยังปรมาจารย์จงเฉิน!

กระทั่งขุนนางเทพก็ยังเบิกตากว้าง ดวงตาเย็นเยียบเอ่ยขึ้นมา “มีหินประทานเทพเหลือไว้หลังเทพโบราณด้วยหรือ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!