963. สามพี่น้องเฉิน
‘พลังหยินในร่างป๋ายเว่ยไม่เพียงแต่จะทำให้ความคิดเปลี่ยน ลักษณะนิสัยก็เปลี่ยนเป็นสตรีขึ้นไปด้วย ก่อนหน้ามันไม่ได้เห็นได้ชัดขนาดนี้’
ขณะเหาะเหิน หวังหลินมองป๋ายเว่ยด้วยแววตาเป็นประกายเจือจาง เขารู้สึกถึงบางสิ่งผิดปกติมาตลอดเกี่ยวกับป๋ายเว่ย แต่ไม่อาจเจอปัญหาจริงๆได้
อย่างไรก็ตามการบ่มเพาะหลายพันปีทำให้เขามีสัมผัสพิเศษ แม้จะไม่สามารถมองเห็นทุกอย่างเหมือนเทียนหยุน เขายังพอสัมผัสเบาะแสเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นมาได้
ป๋ายเว่ยไม่ได้สังเกตถึงสัมผัสวิญญาณหวังหลินที่กำลังหวาดผ่านไป เขาเพียงยิ้มและพูดคุยกับหวังหลิน
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่นาน ในอีกไม่กี่เดือนสภาพอากาศบนดาวเทียนหยุนก็จะเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงระหว่างมืดฟ้ามัวดินและแดดจ้านี้เป็นฉากอันเอกลักษณ์ของดาวเทียนหยุน”
“หลายร้อยปีที่ผ่านมาสำนักชะตาสวรรค์สงบเงียบและไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก หากจะมีสักอย่างเกิดขึ้นนั่นคงจะเป็นต้นไม้สีขาวที่มีคนปลูกไว้ในหลังภูเขา ดอกไม้มันไม่เคยแบ่งบานเลย ทว่าสีสันของดอกไม้ก็ไม่ได้เป็นสีขาวเหมือนลำต้นแต่กลับเป็นสีดำ จากนั้นเวลาสามลมหายใจมันก็สลายกลายเป็นฝุ่นผง…ตอนนั้นมันค่อนข้างน่าประหลาดใจ ข้าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ข้าคิดว่ามันคงดีถ้าข้าสามารถช่วยดอกไม้นั่นได้”
‘ไม่มีอะไรน่าสงสัย…’ หวังหลินขมวดคิ้วแต่เกิดความรู้สึกเล็กๆขึ้นในใจ รับมือกับการสนทนาของป๋ายเว่ยด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ
“หลังเจ้าจากไป อาจารย์ใช้เวลาส่วนใหญ่ปิดด่านฝึกตน หายากยิ่งที่จะออกมา…”
ป๋ายเว่ยเล่าเหตุการณ์เดี่ยวที่เกิดขึ้นในสำนักชะตาสวรรค์กับหวังหลินด้วยรอยยิ้ม แรกเริ่มหวังหลินก็ฟังอย่างตั้งใจ แต่ในไม่นานก็ขมวดคิ้ว
ป๋ายเว่ยไม่เล่าเรื่องราวอะไรใหญ่โต ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย
ป๋ายเว่ยยิ้ม “มีเมืองเนตรภูติอยู่ด้วย เมืองนั้นมีชื่อเสียงยิ่งหลายปีก่อนหลังจากประมูลวิชาเทพที่สมบูรณ์แบบได้สำเร็จ ทุกครั้งที่มันเปิดขึ้นจะทำให้เซียนจำนวนมากสนใจ มันเปิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือน นอกจากการประมูลแล้วยังมีผู้คนมาแลกเปลี่ยนอย่างอิสระ อย่างไรก็ตามเมืองเนตรภูติไม่ได้ใหญ่ ที่พักจึงมีอย่างจำกัด หากเราไปสายข้ากลัวว่าเราจะต้องไปตั้งที่พักเอง”
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและยอมให้ป๋ายเว่ยพูดคุยขณะนำทาง เขาก็ขบคิดอยู่ในใจ
หลังผ่านไปสิบห้านาที หวังหลินเอ่ยถามขึ้น “น้องสาวป๋าย เจ้าบ่มเพาะด้วยวิธีอันใด?”
ป๋ายเว่ยตกตะลึงและสีหน้าเปลี่ยน หยุดชะงักลงก่อนจะถอยไปสองสามก้าวพลางจ้องหวังหลิน “พี่หวังดูรังเกียจหรือ? หากท่านคิดว่าข้าน่ารำคาญ ข้าก็จะไปและไม่มารังควาญท่านอีก!”
หวังหลินตกตะลึง เขาเพียงแค่ถามเรื่องวิถีการฝึกเซียนแต่ไม่คาดคิดว่าป๋ายเว่ยจะเปลี่ยนไปขนาดนี้
หวังหลินเอ่ยขึ้น “น้องป๋ายเข้าใจผิด ข้าเพียงแค่ถามโดยไม่ได้ตั้งใจ”
ป๋ายเว่ยกัดริมฝีปาก ขบคิดชั่วครู่จากนั้นมองหวังหลินด้วยสายตาซับซ้อน “วิธีที่ข้าบ่มเพาะเรียกกันว่าศาสตร์ปรารถนาสองเทพ!” หลังจากนั้นป๋ายเว่ยก็เงียบและเหาะเหินไปทางเหนือ
‘ศาสตร์ปรารถนาสองเทพ…’ หวังหลินดวงตาเปล่งประกายพลางมองร่างป๋ายเว่ย ดวงตาหรี่แคบและเห็นพลังงานหยินในร่างป๋ายเว่ยได้อย่างชัดเจน มันเคลื่อนที่ผ่านเส้นชีพจรของป๋ายเว่ยอย่างรวดเร็วและก่อเป็นสัญลักษณ์
สัญลักษณ์นี้เกิดขึ้นจากการเคลื่อนพลังงานหยินผ่านเส้นชีพจร ก่อนหน้านี้พลังงานหยินในร่างป๋ายเว่ยช้าเกินกว่าหวังหลินจะสังเกตเห็น ทว่าเมื่อมาเห็นตอนนี้รอยสัญลักษณ์เพียงปรากฏขึ้นชั่ววูบก่อนจะหายวับไป
ดวงตาหวังหลินส่องสว่างชึ้นและจดจำสัญลักษณ์นั้นเอาไว้ เขาถามอีกหลายถามคำและตามป๋ายเว่ยไป ยามพลบค่ำในที่สุดก็เห็นเมืองเป็นวงแหวนอยู่ห่างไกล
เมืองแห่งนี้เสมือนวงแหวนที่ตกลงบนผืนดินและถูกเหล่าเซียนล้อมรอบ ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะทันได้เข้าใกล้ หวังหลินสัมผัสถึงความผันผวนของกฏเกณฑ์อยู่รอบๆเมือง
ปราณกระบี่หลายเส้นสายโผล่ลงมาจากเส้นขอบฟ้าเป็นครั้งคราว บางครั้งก็จะมีคนเดียว บางครั้งสายเดียว บางครั้งก็มีหลายเส้น พวกลงมาอยู่นอกเมือง แสดงการเชิญชวนก่อนจะเข้าไป
หวังหลินรู้ว่าหนทางที่ดีที่สุดคือการไม่แพร่สัมผัสวิญญาณออกไปในสถานที่ไม่คุ้นเคย ไม่เช่นนั้นคงเป็นการเกิดเรื่องเข้าใจผิด เขาเป็นคนระมัดระวังตัวและแม้จะมีระดับบ่มเพาะเพิ่มขึ้นก็ไม่ลดความระมัดระวังข้อนี้ลง อีกทั้งแล้วการระมัดระวังตัวเองคือสิ่งจำเป็นในการอยู่รอดในโลกแห่งการฝึกเซียน
พอขบคิดเล็กน้อย หวังหลินแพร่กระจายสัมผัสวิญญาณออกไปเข้าหาเมืองโดยไม่ได้รีบเร่ง เป็นเสมือนการหายใจเบาๆ เขาไม่ได้พยายามหาทางลับในเมืองแต่เพ่งพิจารณาบนกฏเกณฑ์ที่ผันผวน
หวังหลินกระทำเหมือนตัวเองมาถึงเบื้องหน้าประตูสีสันประหลาด แทนที่จะทำลายประตูอย่างรุนแรง เขาเปิดประตูและดูข้างในอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่สุภาพไปบ้างแต่มันก็เป็นนิสัยทั่วไปในโลกแห่งเซียน
การกระทำนี้ไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องเข้าใจผิดอันใด เว้นแต่จะเป็นคนที่มีความกดขี่ยิ่งยวด
กฏเกณฑ์ทั่วเมืองไม่ใช่อุปสรรคของหวังหลินเลย ด้วยระดับบ่มเพาะและความรอบรู้ด้านกฏเกณฑ์ กฏเกณฑ์ทั่วเมืองจึงไม่สังเกตสัมผัสวิญญาณของหวังหลิน
ทว่าขณะที่สัมผัสวิญาณของหวังหลินพุ่งผ่านกฏเกณฑ์และกำลังจะกลับมาหลังจากกวาดไปทั่วเมือง สัมผัสวิญญาณสามสายที่ซ่อนตัวไว้ได้ดีเยี่ยมระเบิดขึ้นมาเป็นเหมือนมังกรสามตัวพุ่งเข้าใส่สัมผัสวิญญาณของหวังหลิน
“เซียนคนใดกันที่มาเมืองเนตรภูติข้า? ข้าเป็นหนึ่งในสามพี่น้องเฉิน ปรมาจารย์ยี่เฉิน!” เมื่อมันเข้ามาใกล้สัมผัสวิญญาณหวังหลิน น้ำเสียงเก่าแก่ดังออกมาจากสัมผัสวิญญาณ
ในเวลาเดียวกันมังกรมายาที่เกิดขึ้นจากสามสัมผัสวิญญาณหมุนเป็นวงกลมจนสร้างพายุขึ้น พวกมันกำลังจะขังสัมผัสวิญญาณของหวังหลินไม่ให้จากไปไหน
สองในสามสัมผัสวิญญาณอยู่ที่ขั้นส่องสวรรค์ชั้นต้น สัมผัสวิญญาณของยี่เฉินเป็นเซียนขั้นส่องสวรรค์ชั้นกลาง การรวมกันของทั้งสามสัมผัสวิญญาณทำให้หวังหลินไม่สามารถหลบหนีได้ทันที
วิชาของหวังหลินทั้งหมดอยู่ภายในร่างกาย สัมผัสวิญญาณจึงยังไม่ได้บรรลุขั้นส่องสวรรค์ชั้นกลางเลย ดังนั้นทางด้านสัมผัสวิญญาณเขาจึงเทียบไม่ได้กับสามคนนั้น
“ข้าคือหวังหลินแห่งสำนักชะตาสวรรค์ ข้าหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้า” หวังหลินเป็นคนเสียมารยาทก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โกรธ
“สัมผัสวิญญาณเจ้าประมาทเกินไปและถูกข้ากักขังเอาไว้ แต่เจ้าต้องการให้ข้ายกโทษให้? นั่นมันเป็นเหตุผลแบบไหนกัน? วันนี้เราสามคนจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก ชื่นชมที่เจ้ายอมรับความผิดพลาดและจงจากไปทันที หากเจ้ากล้าก้าวเข้ามาในเมืองเนตรภูติอีกครั้ง อย่าหาว่าเราไม่มีเมตตา!” ถัดกับปรมาจารย์ยี่เฉิน สัมผัสวิญญาณมืดมัวปรากฏขึ้นมา
หวังหลินและป๋ายเว่ยยืนอยู่นอกเมืองรออยู่ในแถวเพื่อเข้าไป ขณะที่หวังหลินสนทนากับทั้งสามคน พวกเขาไม่ได้สังเกตสิ่งใดเลยเว้นแต่จะมีระดับบ่มเพาะสูงส่งยิ่ง
เห็นได้ชัดว่าป๋ายเว่ยไม่ได้ตระหนักอะไรเลย แต่หวังหลินขมวดคิ้ว
“ข้าหวังว่าสหายเซียนจะไม่ถือสาหาความ แต่เราสามคนเป็นผู้รับรองความปลอดภัยของเมืองเนตรภูติ ดังนั้นเราจึงต้องระมัดระวัง หากสหายเซียนไม่ยินยอม อย่าดุด่าว่าข้าทำลายสัมผัสวิญญาณนี้!” ปรมาจารย์ยี่เฉินถอนหายใจ เขารู้ว่าการทำเช่นนี้มันมากเกินไป ทั้งอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ทำเกินเลย เพียงแค่กวาดผ่านโดยทั่วไปเท่านั้น
สามพี่น้องเฉินเคยทำเช่นนี้มาก่อน พวกเขาถูกเมืองเนตรภูติจ้างมาจึงต้องรอบคอบ อีกทั้งตอนนี้พวกเขาก็ไม่ค่อยมีความสุขนัก
ปกติแล้วเหล่าเซียนเฒ่าขั้นส่องสวรรค์ทั้งหมดบนดาวรู้เรื่องที่ทั้งสามคนรับผิดชอบด้านความปลอดภัยของเมืองเนตรภูติ ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่ใช้สัมผัสวิญญาณเนื่องจากเป็นสัญลักษณ์ของการเคารพต่อทั้งสามคน
เห็นได้ชัดว่าคนตรงหน้าไม่ได้เผยความเคารพพวกเขาอันใด แล้วจะให้มาชื่นชมที่ยอมรับว่าผิดพลาดหลังจากสถานการณ์ย่ำแย่แล้วกระนั้นหรือ?
‘หากเขาไม่ยอมรับความผิดพลาดและเข้ามาสู้กับเราสามคน ข้านับถือว่าเขาเท่าเทียมกัน แต่นี่เขาเห็นว่าเรามีกันสามคนอย่างเห็นได้ชัด ใจเสาะนัก!’
‘ยิ่งไปกว่านั้นหากเราไม่ลงโทษคนผู้นี้อย่างรุนแรง เราจะไม่มีวันสงบสุขก่อนการประมูลจะเริ่มขึ้น การจะทำให้คนอื่นตกใจที่กล้ามาจับตาดูด้วยสัมผัสวิญญาณ เราจะต้องทำให้รุนแรง’
‘ข้าจะให้เจ้าพิจารณาสามวินาที!’ ปรมาจารย์ยี่เฉินค่อยๆกระจายข้อความออกมา คงง่ายดายเกินไปที่ทั้งสามคนจะใส่ใจเซียนขั้นส่องสวรรค์ชั้นต้น! หากแม้เขาจะมาจากสำนักชะตาสวรรค์จริงๆ เทียนหยุนคงไม่ลดตัวเองมาต่อกรกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ไม่ได้สังหารอีกฝ่าย ทั้งสามคนเพียงมอบโอกาสให้ ดังนั้นถึงแม้จะทำลายสัมผัสวิญญาณไป ไม่มีใครจะพูดอะไรได้
หากเป็นคนจากสำนักกระบี่ต้าหลัว ปรมาจารย์ยี่เฉินคงไม่คิดเช่นนี้ อีกทั้งเซียนกระบี่หลิงเทียนโฮวก็มีชื่อเสียงพอจะปกป้องตัวเอง
สามลมหายใจผ่านไปในพริบตา ปรมาจารย์ยี่เฉินพ่นลมหายใจ สัมผัสวิญญาณรูปมังกรที่เกิดขึ้นจากทั้งสามคนพลันร้องคำรามใส่สัมผัสวิญญาณของหวังหลินที่โดนกักขังเอาไว้ พวกเขากำลังทำลายสัมผัสวิญญาณหวังหลิน
“ท่านสามคนทำเกินไปแล้ว!” หวังหลินไม่สนใจป๋ายเว่ยหรือฉวี่ลี่กั๋วอีก เขาขมวดคิ้วจากนั้นร่างกายหายวับเพียงก้าวเดียว
กฏเกณฑ์ของเมืองเนตรภูติไม่อาจหยุดสัมผัสวิญญาณของหวังหลินได้ ยิ่งร่างกายเขาแล้วยิ่งแล้วใหญ่ ขณะที่หวังหลินหายวับไป กฏเกณฑ์ทั้งเมืองกระพริบสามครั้งก่อนจะสูญสลายไปอย่างสิ้นเชิง
วินาทีที่กฏเกณฑ์แตกสลาย ร่างหวังหลินปรากฏตัวเหนือเมืองเนตรภูติ ความเร็วเหนือจินตนาการ ตรงเข้าไปคว้ามังกรสัมผัสวิญญาณตัวนั้น มันต้องการดิ้นรนแต่ใช้ไม่ได้ผลกับหวังหลิน หวังหลินเหวี่ยงเจ้ามังกรกลับหลัง เกิดเสียงดังปังพร้อมกับแตกสลายไป
ในเมืองเนตรภูติมีตึกสวยงามอยู่แห่งหนึ่ง ในห้องที่สามทิศตะวันออกมีชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่ เขาสวมชุดสีเขียว ท่าทางภูมิฐาน ทว่าวินาทีนั้นดวงตาเบิกกว้าง กระอักโลหิตและสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไป!
‘เซียนขั้นชำระสวรรค์!’ ร่างชายชรากระพริบวาบและหายวับไป