965. หลิงเอ๋อ
หวังหลินเปิดประตูเห็นปรมาจารย์ยี่เฉินยืนอยู่ด้านนอกด้วยรอยยิ้ม
“สหายเซียนใจดีเกินไปแล้ว” หวังหลินยิ้ม
ทางเหนือของลานกว้างมีตำหนักอยู่แห่งหนึ่ง ตำหนักนี้ไม่ได้ใหญ่นักแต่สวยงามยิ่ง สร้างขึ้นจากหยกสวรรค์และมีค่ายกลรวมพลังปราณเข้ามาเพื่อทำให้มีสภาพแวดล้อมที่ดีเยี่ยม
ด้านนอกตำหนักมีสายน้ำไหลอ้อยอิ่งเพิ่มอารมสุนทรีย์ได้ ปลาเล็กๆว่ายในสายธารบางครั้งกระโดดขึ้นมาเกิดเป็นคลื่นและเสียงดังจุ๋ม
ในตำหนักมีชายวัยกลางคนชุดม่วงและชายชราชุดเขียวพร้อมกับโต๊ะคั่นกลาง โต๊ะชิ้นนี้สร้างขึ้นจากหินหยกและเรียบรื่น
ด้านข้างเป็นสตรีสุดสวยดวงตาวาววับ นางมองปรมาจารย์ยี่เฉินและหวังหลินอย่างสนใจ
เมื่อปรมาจารย์ยี่เฉินและหวังหลินมาถึง ชายวัยกลางคนและชายชราต่างก็ยืนขึ้นและยิ้มให้หวังหลิน
ชายวัยกลางคนชี้ให้หวังหลินและยิ้มออกมา “พี่หวัง ขอความกรุณาด้วย”
หวังหลินมองตำหนักและยังมองสตรีสุดสวย นางเป็นเซียนเช่นเดียวกัน ระดับบ่มเพาะอยู่ที่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด นางสวยงามแต่ก็ไร้เดียงสายิ่งซึ่งหายากมากในโลกแห่งเซียน มีเพียงคนที่ถูกคนแข็งแกร่งรักใคร่เท่านั้นถึงจะมีความไร้เดียงสาเช่นนี้ คนที่ทรงพลังนั่นคงจะเก็บนางไว้กับตัวจนไม่เผยตัวตนออกมาในโลกแห่งเซียน
และสตรีนางนี้ก็ดูคุ้นเคยกับปรมาจารย์ยี่เฉิน
หลังนางสังเกตเห็นว่าหวังหลินกำลังมองตนเอง ใบหน้าแดงระเรื่อและก้มศีรษะลง ทว่านางยังคงแอบมองหวังหลินจากมุมสายตา เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
หวังหลินยิ้มบาง ด้วยไหวพริบของตนจึงมองทะลุเจตนาของแต่ละคนออก แม้ความเข้าใจผิดระหว่างพวกเขาไม่ใช่เรื่องใหญ่ สิ่งใดก็เกิดขึ้นในโลกแห่งเซียนได้ พวกเขากลัวว่าหวังหลินจะระมัดระวังตัวเองถ้าหากทั้งสามคนเชิญชวนเขาและจะไม่อาจคุยกันได้อย่างเหมาพสม จึงตัดสินใจขอให้นางซึ่งเป็นเครือญาติกันมาด้วยเพื่อแสดงอ้อมๆว่าไม่ได้มีเจตนาปองร้ายอันใด
ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่นำผู้น้อยขั้นวิญญาณแรกกำเนิดมาที่นี่
หลังจากทุกคนนั่งลง ปรมาจารย์ยี่เฉินเรียกนางเข้ามา ยิ้มให้พลางแนะนำตัวนางให้แก่หวังหลิน “พี่หวัง นางเป็นผู้น้อยในตระกูลข้า เด็กคนนี้ไม่ค่อยมีไหวพริบเท่าไรนัก แต่นางก็ต้องมา ในอนาคตโปรดดูแลนางด้วย”
ขณะพูดขึ้นมาเขาหันไปมองหญิงสาว สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “หลิงเอ๋อ นี่คือผู้อาวุโศหวัง เป็นเซียนที่ทรงพลัง กระทั่งผู้อาวุโสยังต้องเคารพเขา การที่เจ้ามีโอกาสเจอเขาถือว่าเป็นโชคอันดีแล้ว”
นางกระพริบตาปริบๆและโค้งให้แก่หวังหลิน “หลิงเอ๋อขอคารวะผู้อาวุโส” น้ำเสียงนางน่ารักยิ่งเหมือนวิหคขับขาน
หวังหลินมองนางอย่างละเอียดและประหลาดใจ
“สหายเซียนหวังต้องสังเกตได้ว่าหลานสาวข้าคนนี้เกิดขึ้นพร้อมกับร่างวิญญาณวารีตามธรรมชาติ ทุกสิ่งนอกจากเสียงของนางถูกข้าปิดบังเอาไว้ ข้าต้องเก็บนางไว้ข้างกาย ไม่เช่นนั้นนางจะเป็นเป้าหมายคนที่มีเจตนาแย่ๆ” ปรมาจารย์ยี่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น
หวังหลินพยักหน้า ร่างวิญญาณวารีเหมาะสมที่สุดที่จะใช้เป็นเตาหลอมเพิ่มระดับฝึกเซียน ทว่านางไม่น่าจะกังวลอะไรนักเมื่ออยู่รอบๆปรมาจารย์ยี่เฉิน มีคนไม่มากที่กล้าขโมยนางไปจากเขา และไม่คู่ควรเป็นศัตรูเพียงเพื่อสตรีคนเดียว
นอกจากนี้แม้สามพี่น้องเฉินจะดูเหมือนกลุ่มของคนสามคน หากพวกเขาถูกบังคับให้เข้าตาจนและตกอยู่ในสภาวะวิกฤต พวกเขาคงหาตัวช่วยได้ ถึงตอนนั้นก็จะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่ง
ยามที่หวังหลินได้ยินเสียงนาง เขาตกอยู่ในสภาวะเคลิบเคลิ้ม แม้จะฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว สัมผัสปวดแสบตื่นขึ้นมาในใจ สัมผัสนี้รุนแรงเหมือนปัดฝุ่นผนึกความทรงจำ
‘นางก็เกิดขึ้นพร้อมกับร่างวิญญาณวารีด้วย…’ หวังหลินถอนหายใจ บางสิ่งบางอย่างมิอาจลืมเลือนได้และความเจ็บปวดไม่ได้โดนผนึกไปไหน
คราที่เผชิญหน้ากับฉากเหตุการณ์คุ้นเคย ความทรงจำเดิมปรากฏขึ้นอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกครั้งที่เผยขึ้นมาจะทำให้เกิดความเจ็บปวดยากจะซ่อนได้
หวังหลินลอบถอนหายใจ สายตาตกไปบนหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง แต่นางไม่กล้ามองหวังหลิน
หวังหลินตบกระเป๋าอย่างเบามือนำหมวกฟางออกมา เมื่อมองหมวกฟางหวังหลินรู้สึกตัวเองเห็นหยุนเซว่จื่อ เขาวางไว้บนโต๊ะและเอ่ยขึ้นท่าทีสงบนิ่ง “นี่เป็นของขวัญจากสหายเก่า มันสามารถปกปิดกลิ่นอายของเจ้าได้ หลังจากสหายเซียนยี่เฉินปรับแต่งมัน บางทีพลังอาจจะเพิ่มขึ้นไปอีก ข้าขอมอบมันให้เด็กคนนี้เป็นของขวัญ”
นางย่นจมูก เห็นได้ชัดว่าหมวกฟางน่าเกลียดเล็กน้อย
ปรมาจารย์ยี่เฉินมองหมวกฟางอย่างละเอียดและประหลาดใจ “พี่หวัง แม้ของชิ้นนี้จะไม่ใช่สมบัติเทพ มันทำขึ้นมาอย่างประณีตยิ่งนัก ค่ายกลข้างในขนาดใหญ่จนข้ามองไม่เห็นทั้งหมดในแวบเดียว กฏเกณฑ์ข้างในยังทำงานร่วมกันจนปกคลุมกลิ่นอายทั้งหมด คนที่มีพื้นฐานกฏเกณฑ์ที่ดีสามารถศึกษากฏเกณฑ์นับไม่ถ้วนจากหมวกใบนี้ได้และเพิ่มระดับบ่มเพาะด้านกฏเกณฑ์ขึ้นอีก พี่หวัง ของขวัญชิ้นนี้มันมากเกินไป…”
หลังจากนางได้ยิน แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หวังหลินส่ายศีรษะ “ของชิ้นนี้ไร้ประโยชน์สำหรับข้า ขอยกมันให้นางเถอะ”
ปรมาจารย์ยี่เฉินลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าขอบคุณ
หวังหลินสายตาอ่อนโยนเล็กน้อย พลางตบกระเป๋านำกระดิ่งสามชิ้นออกมา “ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้าด้วย”
นางรับกระดิ่งไว้ด้วยสายตาเปี่ยมสุข เสียงกระดิ่งดังก้องกังวาล นางหัวเราะด้วยความสุขทันที ยิ่งนางมองก็ยิ่งชอบมัน หันมาหาหวังหลิน “หลิงเอ๋อขอบคุณผู้อาวุโส”
น้ำเสียงมีเสน่ห์ยิ่งกว่าก่อน แต่ไม่มีผลต่อหวังหลิน
เมื่อปรมาจารย์ยี่เฉินเห็นกระดิ่ง ด้วยความลึกซึ้งของตนจึงเห็นว่ามันไม่ใช่ของธรรมดา เขาถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืนคำนับฝ่ามือแก่หวังหลิน “สหายเซียนหวัง ข้าต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง”
เขารู้สึกละอายใจยิ่ง เดิมทีทั้งสามคนเป็นฝ่ายผิดแต่ตอนนี้ผู้น้อยของตนกลับได้รับของขวัญยิ่งใหญ่จากคนอื่น พอนั่งลงจึงขบคิดเล็กน้อยและนำเศษหินสีดำออกมา “สหายเซียนหวัง โปรดรับหินสวรรค์ทมิฬก้อนนี้ไว้ด้วย ยามที่เหล่าเซียนบรรลุระดับเช่นเรา จำเป็นต้องใช้หินสวรรค์ทมิฬเพื่อเก็บสัมผัสวิญญาณไว้สร้างร่างอวตารหรือเก็บวิชาทรงพลังไว้ใช้งาน หากท่านไม่รับ ข้าละอายใจจริงๆ”
หวังหลินยิ้มรับก้อนหิน กวาดสัมผัสวิญญาณเข้าผ่านไป แม้สีหน้าจะนิ่งเฉยแต่จิตใจไม่นิ่ง ก้อนหินสีดำนี้ประหลาดยิ่ง มีหลุมเล็กๆจำนวนมากปลดปล่อยพลังดึงดูด ไม่เพียงจะกักเก็บและรักษาสัมผัสวิญญาณได้ มันยังเก็บวิชาไว้ใช้งานได้ด้วย คล้ายกับยันต์เซียนของเผ่าอมตะที่ถูกเลือก
นอกจากนี้ยังสามารถสร้างร่างอวตารได้เพียงแค่คิด มันจึงเป็นสมบัติที่ประยุกต์ใช้ได้ดีเยี่ยม
แม้สสมบัติจะไม่ได้มีคุณค่ามากนักแต่มันก็ยังเป็นของหายาก หวังหลินพยักหน้าและเก็บมันไว้ในกระเป๋า
“ข้ายุ่งจนไม่ได้แนะนำสองพี่น้องให้ท่าน ชายชราผู้นี้คือน้องสองของข้านามว่าหลิวยู่หลง ฉายาปรมาจารย์ยี่หลง” ปรมาจารย์ยี่เฉินชี้ไปที่ชายชราชุดเขียว
ชายชราชุดเขียวยืนขึ้นคำนับฝ่ามือให้หวังหลินและหัวเราะ “ชื่อปรมาจารย์ยี่หลงไม่มีค่าอันใดเบื้องหน้าพี่หวัง พี่หวังเรียกชื่อข้าเฉยๆก็พอ”
“นี่คือน้องสามของข้า เฉินซิงหาน ฉายาปรมาจารย์ยี่ซิง”
ชายวัยกลางคนชุดม่วงมีระดับบ่มเพาะน้อยที่สุด แม้จะเป็นขั้นส่องสวรรค์ชั้นต้นก็ยังอ่อนแอกว่าปรมาจารย์ยี่หลง เขายืนขึ้นและโค้งคำนับฝ่ามือ “พี่หวังเพียงเรียกชื่อข้าก็พอ”
“ข้าสงสัยว่าสหายหวังมีฉายาหรือไม่?” หลังจากปรมาจารย์ยี่เฉินแนะนำตัวจบ เขาก็มองหวังหลิน
ในโลกแห่งเซียน แม้จะมีฉายาในท่ามกลางเซียนระดับต่ำ แต่ไม่มีใครมีชื่อเสียงหรือแพร่กระจายไปมากนัก เทียบไม่ได้กับฉายาที่แท้จริงของเหล่าเซียนที่แข็งแกร่งซึ่งมีความสำคัญแตกต่างกัน
เมื่อกลายเป็นเซียนขั้นที่สอง ฉายามักจะเป็นที่จดจำและถือว่าเป็นเรื่องราวของชีวิต
กระทั่งวันนี้หวังหลินก็ไม่ได้มีฉายาขึ้นมาจริงๆ หากต้องการนั่นคงเป็นหนึ่งในฉายาที่เขาได้รับจากการเข่นฆ่าในดาราจักรทุกชั้นฟ้า จ้าวปิศาจ!
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยและเอ่ยออกมา “ฉายาข้าคือจ้าวปิศาจ!”
หลังเอ่ยขึ้นมา ปรมาจารย์ยี่เฉินและพี่น้องสองคนพลันรู้สึกเจตนาฆ่าฟันเข้มข้นโผล่ออกมาจากก้นบึ้งจิตใจ ราวกับหวังหลินกลายเป็นอสูรต้นกำเนิดที่เต็มไปด้วยจิตสังหารทะลักออกมา
“ข้าพึ่งกลับมาและไม่ได้พำนักอยู่บนดาวเทียนหยุนนาน ท่านสามคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อข้า” หวังหลินหยิบถ้วยขึ้นจิบดื่ม
ด้วยร่างเทพโบราณ แทบไม่มีใครจะทำอันตรายเขาได้นอกจากเหล่าพิษหายากโบราณยิ่งในยุคบรรพกาล
หลังจากตรวจสอบด้วยสัมผัสวิญญาณ หวังหลินจึงมั่นใจว่ามันปลอดภัย
หวังหลินวางถ้วยเหล้าลง หลิงเอ๋อนั่งถัดข้างปรมาจารย์ยี่เฉินพลางยกขวดเหล้าขึ้นมาเทใหัหวังหลินอีกถ้วย จากนั้นนางก็กลับไปนั่งตามเดิม ดวงตาเรียวสวยมองหวังหลินเป็นพักๆ
ปรมาจารย์ยี่เฉินและสองพี่น้องกลับคืนสู่ปกติและเริ่มสนทนากับหวังหลิน พวกเขาเริ่มสนทนาเต๋ากัน
ขณะที่ทั้งสี่คนคุยกัน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดวงจันทราลอยสูงขึ้นในท้องฟ้าและพวกเขาก็คุ้นเคยกัน สายลมพัดผ่านขณะที่ปรมาจารย์ยี่เฉินหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มและถอนหายใจ
“เส้นทางแห่งเต๋าทำให้เราแยกจากโลกแห่งคนธรรมดา เซียนส่วนใหญ่ต้องปรับตัวแยกตัวเองออกมาจากทุกอย่างเพียงเพื่อให้เต๋าแห่งสวรรค์สมบูรณ์แบบ โชคร้ายนักแม้ข้าจะสามารถตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปได้ คำว่า ‘ครอบครัว’ ก็เป็นสิ่งที่ข้ามิอาจตัดได้”
“ทำไมท่านถึงต้องตัดมันเล่า? เหล่าเซียนกล้าแม้กระทั่งฝืนลิขิตฟ้า ทำไมถึงต้องฟังความคิดชั่ววูบนี้? ข้าได้ยินว่ามีหลายแห่งที่เป็นตระกูลการฝึกเซียน นั่นหมายความว่าเหล่าตระกูลเซียนเป็นเรื่องธรรมดา พวกเขายังมีเหล่าเซียนทรงพลังโดดเด่นออกมา ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นเพียงแค่ชุดความคิด”