Skip to content

Reuan Si La 2 Chapter 6

Chapter 6

สัมภเวสี…สวดแผ่เมตตา

นาคินทร์ดึงลูกสาวเข้าไปกอดพลางลูบหัวอย่างอ่อนโยน “ใจเย็นๆนะจ๊ะนารินทร์ เรื่องนี้จะกระทำรีบร้อนมิได้ ต้องค่อยๆให้จ้าวแม่ของลูกค่อยๆระลึกได้เอง มิเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อสภาพจิตใจของนางนะจ๊ะ”

“ค่ะจ้าวพ่อ” นารินทร์พยักหน้ารับรู้ ข่มความร้อนใจในดวงจิตลง

เช้าตรู่ แพรวพราวลืมตาตื่นอย่างสดชื่นแจ่มใส น่าประหลาดใจนักที่ไม่ฝันเลยซักนิด ความฝันทั้งสองอย่างที่เคยแวะเวียนมาเยือนในยามนิทรากลับหายไปจนน่าแปลกใจ

แต่เอ่อ…เรื่องที่จ้าวพ่อของพี่รินเป็นพญานาคมันเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่นะ หล่อนชักไม่แน่ใจซะแล้วซิ เอ่อ…มันต้องเป็นความฝันแน่ๆเลย

เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเรียก “น้องแพรวคะ ตื่นรึยังคะลูก”

“ตื่นแล้วค่ะคุณพ่อ” แพรวพราวร้องตอบพลางลุกขึ้นแล้วหันไปมองนาฬิกา “อร๊าย! หกโมงกว่าแล้วเหรอเนี่ย! ตายแล้ว! นี่เราตื่นสายขนาดนี้เลยเหรอ”

ก็ทุกทีหล่อนเคยแต่สะดุ้งตื่นเพราะความฝันตอนตีสี่ตีห้าเป็นประจำ แต่พอไม่ฝันจึงทำให้หลับยาวจนตื่นสายกว่าปกติ

“ตื่นแล้วก็รีบออกมานะคะลูก เดี๋ยวจะไม่ทันใส่บาตรนะคะ” แล้วประกิตก็เดินไป

แพรวพราวลุกพรวดจากเตียง รีบเข้าห้องน้ำแปรงฟันล้างหน้าอย่างเร่งด่วน พอเสร็จสรรพก็รีบเดินแทบวิ่งไปหน้าบ้านทันที

ประกิตกำลังถือขันข้าวรอใส่บาตรอยู่ พอเห็นลูกสาวเดินแกมวิ่งก็ร้องบอก “ไม่ต้องรีบค่ะลูก พระท่านยังไม่มาค่ะ”

“ค่ะคุณพ่อ” แพรวพราวจึงลดความเร็วลง พอเดินไปถึงหล่อนก็ยกถาดกับข้าวซึ่งตักใส่ถุงมัดแยกไว้เป็นถุงๆบนโต๊ะขึ้นมาถือ เพราะเห็นพระกำลังเดินมาพอดี

“พระมาแล้วค่ะลูก” ประกิตบอกลูกสาวแล้วก็ถอดรองเท้าแตะออก ยืนเท้าเปล่ารอใส่บาตร

แพรวพราวก็รีบถอดรองเท้า ยืนเท้าเปล่าเช่นกัน

พอพระเดินมาถึง สองพ่อลูกก็ช่วยกันใส่บาตร เสร็จแล้วพระก็สวดเจริญพร

จากนั้นสองพ่อลูกก็ช่วยกันเก็บของเข้าบ้าน แล้วก็ไปนั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน

พอทานอาหารเช้าเสร็จแล้วประกิตก็บอกกับลูกสาวว่า “พ่อไปทำงานล่ะค่ะ หนูออกไปก็ปิดบ้านดีๆนะคะ”

“ค่ะคุณพ่อ” แพรวพราวรับคำแล้วก็เอียงแก้มให้คุณพ่อหอม

ประกิตหอมแก้มลูกสาวแล้วก็หิ้วกระเป๋าเอกสารเดินออกไป

แพรวพราวก็ลุกขึ้นเก็บถ้วยจานชามแก้วน้ำไปล้าง

ขณะกำลังยืนล้างจานอยู่ จู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ข้างหลัง “เอ๊ะ!” หล่อนจึงหันขวับไปมองทันที

นาคินทร์รีบหายตัวไป แพรวพราวจึงเห็นเพียงเงาแว๊บๆทางหางตาเท่านั้น

พอล้างจานเสร็จแล้ว แพรวพราวก็เช็ดมือให้แห้งแล้วยกมือขึ้นพนมระหว่างอก แล้วก็สวดแผ่เมตตา

“สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย

อัพพะยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้น เถิดฯ”

พอสวดจบหล่อนก็พูดว่า “ขอให้ท่านที่มาขอส่วนบุญ จงรับส่วนบุญส่วนกุศลนี้ไปด้วยเถิด…สาธุ”

แล้วหล่อนก็ยกมือขึ้นจรดหน้าผาก จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปเรียน

นาคินทร์ปรากฎกายขึ้นแล้วมองประตูห้องนอนที่เพิ่งจะปิดลง พลางยกมือขึ้นกอดอกครุ่นคิดในใจ

นางมีสัมผัสพิเศษเช่นนี้ ข้าคงต้องระวังตัวให้มากเสียแล้ว

ครั้นพอประตูห้องเปิดออก เขาก็รีบหายตัวไปทันที

แพรวพราวแต่งตัวเรียบร้อยหิ้วกระเป๋าเดินออกมาจากห้องนอน

จากนั้นหล่อนก็ดูปิดหน้าต่างปิดประตูบ้านให้เรียบร้อย แล้วก็เดินตรงไปที่พี่โฟล๊คคันเก่ง พอเหลือบดูนาฬิกา ก็ต้องรีบทำเวลาหน่อย เพราะวันนี้หล่อนมีเรียนแต่เช้า

ตลอดทั้งวันหล่อนรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่ตลอดเวลา แต่พอมองหาก็ไม่เห็นใครเลย เอ่อ…คงจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนตามมาขอส่วนบุญอีกล่ะมั้ง

พอเรียนเสร็จหล่อนก็ขับพี่โฟล๊คกลับบ้าน

ครั้นพอกลับถึงบ้าน หล่อนก็เห็นคุณพ่อแต่งตัวหล่อนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก

“กลับมาแล้วเหรอคะ” ประกิตถามอย่างอ่อนโยน แล้วก็บอกว่า “น้องแพรวรีบไปอาบน้ำนะคะ วันนี้พ่อจะพาไปทานข้าวนอกบ้านค่ะ”

“ค่ะคุณพ่อ” แพรวพราวรับคำแล้วก็รีบเดินเข้าห้องไป

พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จหล่อนก็เดินออกจากห้องพร้อมกับหิ้วกระเป๋าถือเตรียมพร้อมออกจากบ้าน

“ไปค่ะลูก” ประกิตบอกแล้วก็รีบลุกขึ้นปิดทีวีแล้วเดินไปที่รถ แพรวพราวก็รีบปิดประตูบ้านล็อกกุญแจแล้วเดินตามคุณพ่อไปที่รถ

จากนั้นประกิตก็ขับรถออกจากบ้าน แพรวพราวก็นั่งมองวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ

จนกระทั่งประกิตขับรถเลี้ยวเข้าไปในเรือนศิลารีสอร์ท แพรวพราวก็หันไปถามคุณพ่อทันที “เอ่อ…คุณพ่อมาที่นี่ทำไมคะ”

ประกิตเหลือบมองลูกสาวแว๊บนึงแล้วก็หันไปสนใจขับรถต่อ ปากก็ตอบว่า “ก็มาทานข้าวซิคะลูก”

แพรวพราวอึ้ง! เอ่อ…ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยอ่ะ ยังไม่ทันจะคิดอะไร รถก็เลี้ยวไปจอดหน้าห้องอาหารเรือนศิลารีสอร์ท

นารินทร์ยืนรออยู่ด้านหน้า พอเห็นรถเลี้ยวเข้ามาก็รีบเดินไปหาทันที พลางหวนนึกถึงแผนการชวนจ้าวแม่หรือน้องแพรวให้มาพบปะพูดคุยของพระบิดา โดยที่จ้าวแม่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ นั้นก็คือเข้าทางคุณประกิต เชิญพ่อมาทานข้าวด้วยแล้วมีหรือลูกจะไม่มาด้วยกัน

ประกิตเปิดประตูก้าวลงจากรถ นารินทร์ก็รีบไหว้ “สวัสดีค่ะคุณอา”

“สวัสดีครับคุณหนูนารินทร์” ประกิตรับไหว้พร้อมรอยยิ้ม

แพรวพราวเปิดประตูรถก้าวลงจากรถสีหน้าเจื่อนๆ

นารินทร์ก็รีบเข้าไปทักอย่างดีใจ “น้องแพรว”

แพรวพราวทำหน้าไม่ค่อยถูก ดีใจที่เห็นรุ่นพี่ แต่ก็กระอักกระอ่วนใจกับเหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่หล่อนวิ่งออกจากบ้านรุ่นพี่เหมือนหนีไปแบบนั้น ส่วนเรื่องความฝันที่ว่าจ้าวพ่อพี่รินเป็นพญานาคมันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละ ถ้ามีพญานาคจริงๆ แล้วพญานาคจะมาอยู่ร่วมกับคนได้ยังไงล่ะ พญานาคก็ต้องอยู่ใต้น้ำตามตำนานซิ

“สวัสดีค่ะพี่ริน” หล่อนทักรุ่นพี่หน้าเจื่อน

นารินทร์ปราดเข้าไปจับมือรุ่นน้องแล้วก็หันไปพูดกับประกิตว่า “เชิญข้างในเลยค่ะคุณอา จ้าวพ่อรออยู่ค่ะ” แล้วหล่อนก็หันไปพูดกับรุ่นน้องว่า “ไปจ้ะน้องแพรว”

แพรวพราวทำหน้างงๆ แต่นารินทร์ก็รั้งมือจูงให้เดินตามไป

นาคินทร์ยืนรอต้อนรับอยู่ที่โต๊ะอาหารมุมหนึ่งซึ่งจัดแยกดูเป็นส่วนตัว

“สวัสดีครับคุณประกิต เชิญนั่งครับ” เขาบอกสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับผายมือไปที่โต๊ะซึ่งมีอาหารวางอยู่เต็มโต๊ะ

“สวัสดีครับจ้าวนาคินทร์ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากครับที่ท่านเชิญผมกับลูกมาทานอาหารด้วย” ประกิตยกมือไหว้นอบน้อมอย่างเกรงบารมี

นาคินทร์ยิ้มให้แล้วก็พูดว่า “เชิญนั่งครับ คนกันเองทั้งนั้นอย่าได้เกรงใจเลยครับ” แล้วเขาก็หันไปพูดกับแพรวพราวว่า “สวัสดีครับน้องแพรว”

นารินทร์ปล่อยมือรุ่นน้อง แพรวพราวก็รีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ” หล่อนยิ้มแหยอย่างกระอักกระอ่วนใจ

“ไปนั่งเถอะจ้ะน้องแพรว” นารินทร์จูงมือแพรวพราวไปนั่งที่เก้าอี้

แพรวพราวจึงได้แต่นั่งลงอย่างงงๆ

“เชิญครับคุณประกิต” นาคินทร์บอกพร้อมกับผายมือเชิญ แล้วเขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้

ประกิตรีบเดินไปนั่งตรงข้ามกับผู้มากบารมีอย่างเกรงๆ

นารินทร์ก็รีบเดินไปนั่งข้างพระบิดา

นาคาเดินเข้ามารินน้ำให้ทั้งสี่แล้วก็ถอยไปยืนคอยรับใช้อยู่เบื้องหลังจ้าวแห่งนาคราช

จากนั้นนาคินทร์ก็ชวนประกิตทานอาหารไปคุยกันไป จนประกิตหายเกร็งเริ่มคุยอย่างออกรส

ส่วนนารินทร์ก็ชวนรุ่นน้องคุยกันไปทานกันไปด้วยเช่นเดียวกัน จนแพรวพราวหายกระอักกระอ่วนใจแล้วเริ่มคุยอย่างสนิทสนมเหมือนเดิม

พอทานอาหารเสร็จแล้ว นารินทร์ก็ชวนแพรวพราวไปนั่งคุยกันที่ศาลาริมน้ำ ปล่อยให้พระบิดาคุยกับประกิตอย่างถูกคอ

ณ ศาลาริมน้ำ นารินทร์ก็หอบเอาอัลบั้มรูปของจ้าวแม่มาเปิดดูกับแพรวพราว หวังกระตุ้นให้จ้าวแม่ระลึกชาติได้

แต่ความหวังของนารินทร์ดูจะเลือนลางเหลือเกินเพราะแพรวพราวเปิดดูรูปทีละใบๆอย่างไม่มีท่าทางว่าจะระลึกถึงอดีตชาติเลยซักนิด

นารินทร์ลอบมองสบตากับพระพี่เลี้ยงซึ่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆอย่างหมดหวัง

ก็แพรวพราวเปิดดูรูปทั้งอัลบั้มที่เป็นภาพถ่ายและรูปที่เป็นไฟล์ดิจิตัลซึ่งหล่อนอุตส่าห์รวบรวมมาจากคุณปู่คุณย่าและเพื่อนๆของจ้าวแม่จนหมดแล้ว แต่จ้าวแม่ก็ยังไม่มีท่าทางว่าจะจดจำอดีตได้เลย

เฮ้อ…คงต้องให้จ้าวพ่อมาช่วยจ้าวแม่ระลึกความหลังแล้วล่ะ

“น้องแพรวจ๊ะ พี่ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะจ๊ะ” หล่อนบอกแล้วก็ลุกเดินไป นาฏนาคีก็ลุกตามไปด้วย

แพรวพราวจึงนั่งดูรูปอยู่ในศาลาคนเดียว หล่อนเปิดอัลบั้มเล่มใหญ่ไปเรื่อยๆ มองคนในรูปแล้วก็คิดว่าจ้าวแม่ของพี่รินสวยจัง จู่ๆกระดาษแผ่นหนึ่งก็ตกลงมาจากอัลบั้ม “อุ๊ย! กระดาษอะไรเนี่ย”

หล่อนจึงรีบหยิบมาดู แผ่นกระดาษเนื้อดี สีกระดาษเก่าออกเหลืองๆพับครึ่งเอาไว้ หล่อนเปิดดู บนกระดาษเป็นภาพสเก็ตร่างด้วยดินสอ เป็นรูปผู้ชายผมยาวยืนกอดอกพิงกรอบประตู

แพรวพราวจ้องภาพนั้นอย่างตะลึง พลัน! ภาพก็ผุดขึ้นในดวงจิต

หล่อนกำลังนั่งบนม้าหินตัวใหญ่ ในมือมีแผ่นบอร์ดรองหนีบกระดาษสเก็ตภาพแผ่นหนึ่งเอาไว้ อีกมือก็ถือดินสอ หล่อนมองไปทางหน้าเรือน เห็นสามียืนกอดอกพิงกรอบประตูหน้าเรือนมองมาทางหล่อนด้วยสายตารักสุดดวงใจ จากที่คิดจะสเก็ตภาพดอกบัวจึงเปลี่ยนเป็นสเก็ตภาพเขาแทน

ก็ท่วงท่ายืนกอดอกอย่างสง่างามพิงกรอบประตูหน้าเรือนมองมาทางหล่อนอย่างรักเหลือล้นเป็นภาพที่เห็นเป็นประจำจนติดตาตรึงใจมิรู้ลืม พี่นาคินทร์ขา…ลินจี้ก็รักพี่นะคะ…

แพรวพราวกระพริบตาปริบๆ ความรู้สึกนั้นช่างแจ่มชัดอยู่ในดวงจิต จนต้องหันไปมองเรือนศิลา

หล่อนลุกขึ้นเดินออกจากศาลาตรงไปยังม้านั่งหินหน้าเรือนศิลา ในมือก็ถือภาพสเก็ตแผ่นนั้นติดมือมาด้วย

แพรวพราวนั่งลงบนม้าหินตำแหน่งเดียวกับที่นั่งวาดภาพ แล้วก็มองไปตรงกรอบประตูหน้าเรือน คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเห็นร่างสูงสง่ายืนกอดอกพิงกรอบประตูมองมาอย่างสุดรักสุดห่วง

ครั้นพอกระพริบตา ภาพนั้นก็พลันหายไป

หล่อนก้มลงมองภาพสเก็ตในมือด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ นิ้วเรียวนุ่มไล้ไปบนวงหน้าในภาพอย่างลืมตัว ใจก็นึกอยากจะวาดภาพนี้ให้เสร็จ หล่อนจึงพับกระดาษลงเหมือนเดิมแล้วถือเอาไว้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้เรือนศิลา หล่อนหยุดยืนอยู่หน้าเรือนแล้วมองไปตรงกรอบประตู

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะจ๊ะน้องแพรว” เสียงทุ้มถามอ่อนหวานดังขึ้นเบื้องหลัง พร้อมกับอ้อมแขนแกร่งโอบกอดตัวหล่อนไว้

“อุ๊ย!” แพรวพราวตกใจ รีบยกสองแขนกันท่อนแขนแกร่งไม่ให้กระทบถูกดอกบัวคู่ แล้วหันขวับไปมองคนที่เข้ามาสวมกอดทางด้านหลัง “คุณน้า!”

นาคินทร์รัดอ้อมกอดรั้งร่างน้อยให้เข้ามาแนบชิดพร้อมกับถามเสียงนุ่มว่า “ดูอะไรอยู่จ๊ะน้องแพรว”

“คุณน้า! ปล่อยแพรวนะคะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าแพรวอายเค้าตายเลย!” เสียงหวานใสแหวใส่ไม่ดังนักแต่เกรี้ยวกราดบ่งบอกอารมณ์ครุ่กรุ่นในดวงจิต

“มิมีใครมาหรอกจ้ะ” เขาบอกแล้วก็ก้มหน้าแนบแก้มนวลคนในอ้อมกอด

“คุณน้า! ปล่อยค่ะ!” เสียงหวานใสตวัดห้วนพร้อมกับเริ่มดิ้นจะให้หลุดจากอ้อมกอด

“พี่ขอกอดให้หายคิดถึงซักนิดนะจ๊ะ” นาคินทร์อ้อนอ่อนหวาน

แพรวพราวชะงักกึก! ใจหนึ่งยอมให้เขา แต่อีกใจก็กลัวใครจะมาเห็น โดยเฉพาะคุณพ่อ!

พอนึกถึงคุณพ่อ หล่อนก็สั่งเสียงเรียบว่า “ปล่อยค่ะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!