Skip to content

Reuan Si La 2 Chapter 7

Chapter 7

จุกมากมั๊ยคะคุณน้า?

นาคินทร์ทำเฉย แพรวพราวจึงเริ่มแผลงฤทธิ์ “คุณน้าขา ปล่อยแพรวนะคะ” หล่อนบอกน้ำเสียงอ่อนหวาน เขาก็ยังทำเฉยอีก

“คุณน้าคะ แพรวบอกให้ปล่อยค่ะ” เสียงหวานใสเข่นเขี้ยวใส่พร้อมกับศอกเรียวแหลมกระทุ้งใส่ลิ้นปี่คนกอดเต็มแรง “ปึ๊ก!”

“อุ๊บ!” นาคินทร์จุกจนตัวงอ ยกมือขึ้นกุมลิ้นปี่เอาไว้ เจ้าลินจ๋า…ใยเจ้าใจร้ายกับพี่เช่นนี้ล่ะจ๊ะ

พร้อมๆกับแพรวพราวสะบัดตัวออก

“จุกมากมั๊ยคะคุณน้า” หล่อนหันไปถามเขาน้ำเสียงอ่อนหวานพร้อมกับยิ้มหวานจ๋อย แล้วก็พูดอย่างอ่อนหวานว่า “งั้นแพรวขอจัดหนักอีกซักนิ๊ดดดด…นะคะ คุณน้าจะได้หายคิดถึง!”

น้ำเสียงเน้นหนักในตอนท้าย พอจบคำ หล่อนก็จับบ่าทั้งสองของเขาไว้แน่นแล้วก็ตีเข่ากระแทกกล่องดวงใจเต็มแรง “ปึ๊ก!”

“อุ๊บ! อู๊ย…น้องแพรว…” นาคินทร์เจ็บจุกสุดชีวิต สองมือเลื่อนไปกุมกล่องดวงใจแน่น ทรุดลงไปกองกับพื้นหน้าเขียวหน้าเหลือง

แพรวพราวมองอย่างสะใจแล้วก็ถามหวานจ๋อยว่า “หายคิดถึงรึยังคะคุณน้าขา…” แล้วหล่อนก็สะบัดหน้าพรึ่ดเดินจ้ำอ้าวไปหาคุณพ่อทันที

นาคินทร์ได้แต่มองตามอย่างตัดพ้อ น้องแพรวมิน่าทำกับพี่เช่นนี้เลย พลางคิดทบต้นทบดอกเอาไว้ในดวงจิต อย่าให้ถึงทีพี่เอาคืนบ้างล่ะกัน…ฮึ่ม!

นาคาปรากฎกายขึ้นพร้อมกับเรียกเสียงหลง “จ้าวนาคินทร์!” เขารีบประคองผู้เป็นนายให้ลุกขึ้น “เหตุใดท่านจึงมีสภาพเช่นนี้ล่ะขอรับ”

นางน่ะซิ นาคินทร์ส่งกระแสจิตตอบบริวาร เจ็บจุกจนพูดอะไรไม่ออก

นาคามองสภาพผู้เป็นนายแล้วก็ขำกลิ้งจนหลุดหัวเราะ “ฮ่าๆ…” แต่พอสบสายตาจ้าวแห่งนาคราชก็ต้องรีบกลั้นหัวเราะแทบตาย ชาติภพใหม่ของพระชายาคงจะร้ายน่าดู…ถึงขนาดทำให้จ้าวนาคินทร์หมดสภาพเช่นนี้ได้…หึๆๆๆ

แล้วนาคาก็ประคองผู้เป็นนายไปนั่งพักในเรือน

แพรวพราวเดินจ้ำอ้าวรีบกลับไปหาคุณพ่อ วงหน้าสวยหวานงอง้ำ ครั้นพอเดินไปถึงห้องอาหาร หล่อนก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

ประกิตกำลังคุยอยู่กับนาคาอย่างถูกคอ พอเห็นลูกสาวเดินเข้ามาก็ถามว่า “อ้าว…แล้วจ้าวนาคินทร์ล่ะคะลูก ท่านไปไหนล่ะคะ เมื่อกี้ท่านว่าจะไปตามหนูกับคุณหนูนารินทร์นี่คะ”

นาคารีบเบือนหน้าไปแอบขำ หึๆๆๆ ยังนั่งจุกอยู่เลยน่ะซิ

พอได้ยินชื่อคนฉวยโอกาส แพรวพราวก็หน้างอทันที “อยู่ที่บ้านมั้งค่ะ” เสียงหวานใสตอบน้ำเสียงราบเรียบผิดปกติ

จนประกิตได้แต่มองอย่างแปลกใจ เอ่อ…ไหงอารมณ์บูดแบบนี้ล่ะคะลูก

นาคาจึงรีบพูดว่า “เดี๋ยวท่านก็มาครับ คงจะทำธุระส่วนตัวอยู่น่ะครับคุณประกิต”

“อ๋อครับ” ประกิตพยักหน้าแล้วก็คุยกับนาคาต่อ

ส่วนแพรวพราวก็เดินเข้าไปนั่งข้างๆคุณพ่อ หน้างอนิดๆแต่อารมณ์เสียสุดๆ ครั้นพอรู้สึกตัวว่าในมือ ถือบางสิ่งบางอย่างไว้ หล่อนจึงรีบหันไปเปิดกระเป๋าถือแล้วเก็บสิ่งนั้นใส่กระเป๋าอย่างทนุถนอม

นาคารีบยกแก้วน้ำส้มมาเสิร์ฟให้ “น้ำส้มครับ”

“ขอบคุณค่ะ” แพรวพราวพูดพร้อมกับยิ้มให้เขา รู้สึกคุ้นเคยประหนึ่งว่าเขาเป็นพี่ชาย

แล้วนาคาก็ชวนประกิตคุยต่อ

ส่วนแพรวพราวก็ยกแก้วน้ำส้มขึ้นดื่ม พอได้น้ำส้มคั้นสดๆรสอร่อย อารมณ์บูดๆหงุดหงิดในดวงจิตก็ดูจะบรรเทาเบาบางลง

ครู่ต่อมา นาคินทร์ก็เดินมาพร้อมกับนารินทร์

“ขอโทษนะครับที่ปล่อยให้รอ” นาคินทร์บอกกับประกิตแล้วก็นั่งลง

นารินทร์ก็รีบนั่งลงข้างพระบิดา แล้วก็ชวนรุ่นน้องคุยกระหนุงกระหนิงตามประสาคนวัยเดียวกัน

ประกิตมองผู้มากบารมีแล้วก็รีบตอบว่า “ไม่เป็นไรครับจ้าว ผมต้องขอบคุณจ้าวมากเลยครับที่เชิญผมกับลูกมาทานอาหารในวันนี้” เขายกมือไหว้แล้วก็รีบพูดต่อว่า

“อาหารทุกอย่างอร่อยมากครับ เห็นทีผมคงต้องพาลูกมาทานข้าวที่นี่บ่อยๆแล้วล่ะครับ แหม…นี่ถ้าผมรู้ว่าที่นี่ทำอาหารเจด้วยผมคงพาลูกมาทานนานแล้วล่ะครับ”

นาคินทร์รับฟังพร้อมกับยิ้มแย้ม

แล้วประกิตก็พูดอีกว่า “คือน้องแพรวน่ะครับ เค้าทานแต่มังสวิรัตครับ ทานเนื้อสัตว์ไม่ได้เลยครับ ถ้าเผลอทานเข้าไปทีไรนะครับเป็นได้อาเจียนออกมาหมดเลยล่ะครับ ตอนคุณแม่เค้าตั้งท้องน้องแพรวนะครับ ก็ทานได้แต่อาหารมังสวิรัตครับ ทานอย่างอื่นไม่ได้เลยล่ะครับ”

“ดีเลยครับ ที่นี่ส่วนมากก็ทานมังสวิรัตกันครับ ทางเราจึงทำอาหารเจอาหารมังสวิรัตขายด้วยครับ ผมดีใจนะครับที่คุณประกิตจะมาเป็นลูกค้าขาประจำของเราเพิ่มอีกราย”

“ครับจ้าว เอ่อ…ถ้าอย่างนั้นผมกับลูกคงต้องขอตัวก่อนล่ะครับ มารบกวนจ้าวนานแล้ว ขอบคุณมากครับจ้าว” ประกิตเอ่ยขอตัวเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยมานานเกินควรแล้ว

“เชิญครับ ขอบคุณมากครับที่ให้เกียรติมาในวันนี้ โอกาสหน้าขอเชิญคุณประกิตกับน้องแพรวอีกนะครับ” นาคินทร์บอกยิ้มแย้ม แล้วเขาก็หันไปพูดกับแพรวพราวว่า “ถ้าน้องแพรวอยากมาที่นี่เมื่อไหร่ ก็เชิญได้ตลอดเวลานะครับ พวกเรายินดีต้อนรับเสมอครับ”

แพรวพราวตวัดตามองค้อน ฮึ! ใครจะอยากมา แต่พอเห็นคุณพ่อมองมาหล่อนก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก็ยกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะคุณน้า”

นาคินทร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

ประกิตจึงลุกขึ้นยืน “ขอบคุณมากครับจ้าว” เขายกมือไหว้ แล้วก็หันไปพูดกับจ้าวนารินทร์ว่า “อาคงต้องกลับแล้วล่ะครับคุณหนู ถ้าคุณหนูมีโอกาสว่างก็ขอเชิญไปเที่ยวที่บ้านอาได้ตลอดเวลานะครับ อายินดีต้อนรับเสมอครับ เชิญจ้าวด้วยนะครับ”

แพรวพราวรีบลุกขึ้นยืนทันที เพราะใจอยากจะกลับบ้านเต็มที

นาคินทร์กับนารินทร์ก็ลุกขึ้นยืนส่งแขก

หลังจากร่ำลากันแล้ว ประกิตก็ขับรถออกจากเรือนศิลารีสอร์ทกลับบ้านพัก

พอถึงบ้าน สองพ่อลูกก็หอมแก้มกู้ดไนท์แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปห้องใครห้องมัน

หลังจากอาบน้ำใส่ชุดนอนแล้วแพรวพราวก็เปิดกระเป๋าหยิบภาพสเก็ตออกมา หล่อนวางภาพบนโต๊ะเขียนหนังสืออย่างทนุถนอมแล้วก็หยิบดินสอมาจรดปลายลงบนกระดาษแล้วก็เริ่มลากๆวาดๆ

หล่อนนั่งสเก็ตภาพนานเท่าไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าพอจรดดินสอวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ หล่อนก็ยกมือปิดปากหาว มองภาพสเก็ตนั้นอย่างพอใจ แล้วก็ฟุบหลับคาโต๊ะ

นาคินทร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ช่างเหมือนกันจริงๆ” ไม่ว่าจะภพชาติที่แล้วหรือภพชาตินี้เจ้าลินของเขาก็ยังเหมือนเดิม หากสนใจในสิ่งใดก็จะลืมสนใจสิ่งรอบข้างรอบตัวจนหมดสิ้น

ขนาดว่าเขาปรากฎกายมานั่งมองอยู่ข้างหลังบนเตียงของหล่อนเอง แพรวพราวยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่ามีใครอยู่ข้างหลัง ยังคงก้มหน้าก้มตาวาดภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ

นาคินทร์จึงค่อยๆช้อนอุ้มร่างน้อยขึ้นมาแล้วพาไปนอนบนเตียงพร้อมกับคลุมผ้าห่มให้หล่อนอย่างอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปปัดเส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มให้พ้นวงหน้าสวยหวาน

วงหน้าหวานที่ดูละม้ายคล้ายอดีตชาติ ต่างกันตรงที่วงหน้าหวานในภพชาตินี้จะเรียวเล็กกว่า สีผมและสีดวงตาเป็นสีน้ำตาลเข้ม สีผิวที่ขาวออกเหลืองนวลเนียนดังแสงจันทรา รูปร่างที่เล็กบางอรชรกว่าตามเชื้อชาติ ทำให้ดูน่าทนุถนอมยิ่งนัก หากจะแตะจะต้องหนักมือไปนิดก็ราวกับจะแตกสลายได้ในพริบตา แต่ไม่น่าเชื่อว่าเห็นตัวเล็กๆบางๆแบบนี้เถอะ ฤทธิ์เยอะนักเชียว!

หึๆๆๆ ออกฤทธิ์ออกเดชไปก่อนเถอะน้องแพรวจ๋า…ถึงเวลาพี่เอาคืนเมื่อไหร่ล่ะก็…พี่จะทบต้นทบดอกคืนเจ้าให้สาสมเลยเชียว…

แล้วนาคินทร์ก็เสกกำไลนาคราชขึ้นมาบนฝ่ามือ เพียงแค่คิด กำไลนาคราชก็พุ่งวาบสวมฉับบนข้อมือเรียวเล็ก เพราะเขามิอาจติดตามหล่อนได้ตลอดเวลาเนื่องจากหล่อนมีสัมผัสพิเศษติดดวงจิตมาแต่กำเนิดอันเป็นเหตุจากชาติที่แล้วดวงตาที่สามของหล่อนได้เปิดออกแล้วนั่นเอง

และเพราะว่าดวงจิตของหล่อนกับเขายังมิสามารถจะสื่อถึงกันได้อย่างบริบูรณ์ กำไลนาคราชที่เขามอบให้หล่อนจะช่วยทำให้เขาสามารถรับรู้ถึงดวงจิตของหล่อนได้ หากมีเหตุเภทภัยภยันตรายใดๆเกิดขึ้นเขาก็จะสามารถรับรู้ได้อย่างทันท่วงที

จากนั้นนาคินทร์ก็ลุกขึ้นเดินไปดูรูปที่หล่อนวาดบนโต๊ะ เพียงแค่ได้เห็นภาพ น้ำตาก็รินไหลอย่างดีใจ “เจ้าลินของพี่…”

เขาเอื้อมมือไปหยิบภาพนั้นขึ้นมาอย่างทนุถนอม ภาพของเขาที่เจ้าลินวาดค้างเอาไว้ บัดนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แม้จะเป็นแค่ภาพดินสอแต่ทุกรายละเอียดการลงแสงเงาแจ่มชัดประดุจดังภาพถ่าย

เขาเดินไปนั่งบนเตียง ก้มหน้าจรดริมฝีปากบนหน้าผากนวลเนียนแล้วกระซิบแผ่วเบาว่า “เจ้าลินจ๋า…ขอบคุณนะจ๊ะ”

วงหน้าสวยหวานคลี่ยิ้มบางๆประดุจดั่งรับคำขอบคุณนั้นไว้ในดวงจิต

นาคินทร์ถือรูปแนบอกพร้อมกับจ้องมองแพรวพราวอย่างอ่อนโยน เขานั่งมองหล่อนอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน จนเกือบสว่างเขาจึงลุกขึ้นถือรูปไปวางไว้บนโต๊ะแล้วก็หายตัวไป

เสียงไก่ขันดังแว่วมา แพรวพราวลืมตาตื่นอย่างงัวเงีย หล่อนยกมือขยี้ตา พลัน! ก็รู้สึกถึงน้ำหนักของบางสิ่งบางอย่างบนข้อมือตัวเอง “เอ๊ะ!”

หล่อนมองที่ข้อมืออย่างงงๆ “กำไลอะไรหว่า” มืออีกข้างจับกำไลทองแล้วจะถอดออกดู

“เอ๊ะ! ตะขออยู่ตรงไหนเนี่ย” หล่อนหมุนกำไลดูจนรอบ แต่ก็ไม่เห็นมีตะขอเลย พอจะรูดถอดออกก็ถอดไม่ได้ “ถอดยังไงหว่า”

หล่อนหมุนกำไลดูแล้วดูอีก แถมจะรูดถอดออกก็ไม่ได้ เพราะวงกำไลพอดีกับข้อมือราวกับเป็นชิ้นงานสั่งทำเพื่อหล่อนโดยเฉพาะ

คิ้วโค้งเรียวสวยขมวดมุ่นงุนงงสงสัย “เอ๊ะ! กำไลอะไรเนี่ย ตะขอก็ไม่มี ถอดก็ถอดไม่ออก แล้วตอนใส่มันใส่ยังไงล่ะ แล้วมันมาอยู่บนแขนเราได้ไงเนี่ย กำไลทองซะด้วย มันมาได้ไงล่ะเนี่ย โอ๊ย! งงไปหมดแล้วง่ะ”

พลัน! ก็รู้สึกถึงความร้อนจากวงกำไลแผ่ซ่านลงบนผิวเนื้อ แพรวพราวตะลึงงัน!

ครั้นพอกระพริบตา ความคิดงุนงงสงสัยก็เลือนหายไปจากดวงจิต หล่อนเลิกสนใจกำไลบนข้อมือแล้วก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ทำกิจวัตรประจำวัน

หลายวันต่อมา ณ หอประชุมสมเด็จย่าฯ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง สถานที่จัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร

นารินทร์สวมชุดครุยสีแดงยืนถ่ายรูปกับเพื่อนๆ สีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข

นาคินทร์ นรินทร นาคา นาฏนาคี นัทชัย จินตนา และคนอื่นๆพากันมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง

แพรวพราวก็มาร่วมแสดงความยินดีด้วย อีกทั้งยังวิ่งวุ่นช่วยงานของทางมหาวิทยาลัยอย่างแข็งขัน

ขณะที่นารินทร์กำลังจะเดินไปเข้าแถวรวมตัว เพื่อเข้าหอประชุม หล่อนก็เดินชนกับผู้ชายคนหนึ่ง “พลั่ก!”

“โอ๊ย!” สองเสียงร้องประสานกัน ร่างระหงเซจะล้มลง วงแขนของชายคนนั้นก็รีบคว้าหมับรอบเอวบางแล้วดึงรั้งเข้าหาตนเอง

“ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ” เสียงทุ้มนุ่มหู ถามร้อนรนอย่างตกใจและเป็นห่วง

นารินทร์เงยหน้ามองเขาแล้วก็ตะลึงแล สมองคล้ายจะหยุดสั่งงานชั่วขณะ “เอ่อ…” วงหน้าหวานขึ้นสีระเรื่อ ใบหน้าหล่อนห่างจากใบหน้าของเขาแค่คืบ

“คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ เจ็บตรงไหนบ้างครับ” เขาถามอีกครั้ง

ทำให้นารินทร์กระพริบตาตั้งสติ “เอ่อ…ไม่เป็นไรค่ะ” หล่อนตอบอย่างเขินๆ แล้วก็รีบเบี่ยงตัวออกห่าง “ขอโทษนะคะที่ดิฉันเดินไม่ระวังเลยชนคุณเข้าน่ะค่ะ คุณเจ็บตรงไหนบ้างคะ” หล่อนถามอย่างรู้สึกผิด

“ผมไม่เป็นไรครับ แล้วคุณล่ะครับเจ็บตรงไหนบ้างครับ” เขาถามพลางกวาดตามองหล่อนอย่างสำรวจ

นารินทร์รีบส่ายหน้าตอบ “ดิฉันไม่เป็นไรค่ะ”

เสียงเรียกรวมแถว ทำให้หล่อนรีบขอตัว “เอ่อ…อาจารย์เรียกแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

แล้วนารินทร์ก็รีบเดินไปเข้าแถว ชายคนนั้นก็รีบเดินแยกตัวไปเช่นกัน เขาเดินตรงไปที่ลานจอดรถ แล้วรีบสาวเท้าตรงไปยังรถเบนซ์สีบลอนซ์เงินเงาวับซึ่งมีคนขับรถยืนเปิดประตูรอรับ เขาก้าวเข้าไปนั่งในรถแล้วคนขับรถก็รีบปิดประตูรถให้

จากนั้นคนขับรถก็เปิดประตูรถด้านหน้าแล้วก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย ภายในรถเงียบสงบเย็นฉ่ำทั้งๆที่ไม่ได้ติดเครื่องยนต์เปิดแอร์เลยซักนิด

เขาบอกกับคนขับรถว่า “กลับกันเถิด ข้ามิมีธุระอันใดแล้ว”

“ขอรับจ้าวนราบดินทร์” คนขับรถรับคำสั่งแล้วก็ขับรถออกจากลานจอดรถ

นราบดินทร์นั่งมองเส้นผมสีทองบนฝ่ามืออย่างสมใจ เส้นผมที่เขาฉวยจังหวะแกล้งชนหล่อนแล้วแอบดึงมาโดยมิให้เจ้าของรู้ตัว แล้วเขาก็ร่ายมนต์เสกให้เส้นผมสีทองนั้นให้กลายเป็นกำไลนาคราชหนึ่งวง จากนั้นกำไลนาคราชก็อ้าปากคลายส่วนหางแล้วคล้องหมับบนข้อมือแกร่ง

เขามองกำไลนาคราชบนข้อมือตนเองแล้วก็หลับตาลง ภาพหล่อนกำลังยืนเข้าแถวผุดวาบขึ้นมาในดวงจิต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!