Skip to content

Reuan Si La 2 Chapter 8

Chapter 8

วันนี้นี่แหละ จะเป็นวันตายของนาง!

หึๆๆๆ จ้าวนาคินทร์ท่านสังหารจ้าวพ่อของข้า ข้าก็จะแก้แค้นให้จ้าวพ่อของข้า หากท่านต้องสูญเสียนางเหมือนเช่นที่ข้าสูญเสียจ้าวพ่อ ท่านต้องทุกข์ทรมานสาสมใจข้าแน่!

รถเบนซ์แล่นไปได้ซักพักนึง พอท้องถนนปลอดรถราและผู้คน รถคันนั้นก็อันตรธานหายไป

กว่าพิธีพระราชทานปริญญาบัตรจะเสร็จสิ้นก็เล่นเอานารินทร์กระหายน้ำแทบแย่ เพราะหล่อนเป็นครึ่งนาคราชจึงทำให้หล่อนดื่มน้ำมากกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่านัก

พอหลุดออกมาจากหอประชุมได้ หล่อนก็รีบคว้าขวดน้ำที่นาฏนาคียื่นส่งให้พร้อมหลอดดูด

“ขอบคุณค่ะอานาฏ” หล่อนขอบคุณแล้วรีบดื่มอย่างกระหายจัด กว่าจะหายจากอาการกระหายน้ำหล่อนก็ดื่มน้ำหมดไปซะสองขวดใหญ่ๆ

“เหนื่อยมั๊ยจ๊ะ” นาคินทร์ถามลูกอย่างเป็นห่วง

นารินทร์ส่ายหน้าพร้อมกับเข้าไปควงแขนพระบิดา “ไม่เหนื่อยค่ะ แต่หิวน้ำมากเลย เฮ้อ…เกือบตาย”

คำพูดของหล่อนทำให้ทุกตนและทุกคนยิ้มขำ

หลังจากนั้นหล่อนก็ไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆต่อ

ครั้นพอถ่ายรูปพบปะแสดงความยินดีกับเพื่อนๆแล้ว หล่อนก็นัดเพื่อนๆไปเลี้ยงฉลองรับปริญญาที่ห้องอาหารเรือนศิลารีสอร์ท

พอนัดแนะกันเรียบร้อยแล้วหล่อนก็ขอตัวกลับบ้าน

ณ ห้องอาหารเรือนศิลารีสอร์ท กว่าจะจบงานเลี้ยงสังสรรค์ก็เกือบตีสอง นารินทร์เดินระโหยโรยแรงกลับเรือนไทย พอเข้าห้องนอนได้ หล่อนก็รีบอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัน แล้วโผตัวไปนอนซุกใต้ผ้าห่มนุ่มบนเตียง รู้สึกอ่อนล้าจนไม่อยากจะทำอะไรแล้วทั้งสิ้น

นาฏนาคีดูแลห่มผ้าให้ รอจนผู้เป็นนายหลับไปแล้ว นางจึงหายตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง

ภายในห้องเงียบสงบเย็นฉ่ำด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งนาคราชจึงไม่ต้องติดแอร์คลายร้อนให้เปลืองค่าไฟฟ้าแม้แต่นิดเดียว

และเพราะอิทธิฤทธิ์แห่งนาคราชนี้เองที่ทำให้นราบดินทร์มิสามารถเข้าไปกร่ำกรายบริเวณที่พักอาศัยของจ้าวนาคินทร์และธิดาจ้าวแห่งนาคราชผู้ครองบาดาลทะเลสีทันดรได้เลย

แต่เมื่อได้เส้นผมของธิดาจ้าวนาคินทร์มาแล้ว ก็ทำให้นราบดินทร์สามารถแฝงเร้นกายเข้ามาได้

เขาปรากฎกายขึ้นตรงปลายเตียงพร้อมกับมองไปยังธิดาจ้าวนาคินทร์ซึ่งนอนหลับไหลโดยมิรู้เลยว่าภัยร้ายคืบคลานเข้ามายืนชิดติดปลายเตียงแล้ว

ต้นเหตุของการแก้แค้นในครั้งนี้นับเนื่องมาจากคืนเพ็ญที่ผ่านมา พระบิดาของเขา จ้าวนราบดีจ้าวแห่งนาคราชผู้ครองบาดาลแห่งสระอโนดาตเชิงเขาไกรลาศ ได้ฉุดคร่านางนาคีแห่งทะเลสีทันดรมาตนหนึ่ง ทำให้จ้าวนรินทรติดตามมาทวงนางนาคีภายใต้การปกครองของตนคืน

แต่พระบิดามิยอมส่งนางนาคีคืนให้ ทั้งสองจึงสู้รบกัน การสู้รบดำเนินไปถึงสามวันสามคืน แล้วจ้าวนรินทรก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลับไป ร้อนถึงจ้าวนาคินทร์ต้องกลับหิมพานต์เป็นการด่วน เพื่อช่วยนางนาคีภายใต้การปกครองให้กลับคืนสู่อ้อมอกบิดามารดร

ด้วยฤทธาที่สูสีกัน การต่อสู้ดำเนินไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน แล้วจ้าวนาคินทร์ก็เป็นฝ่ายกำชัยชนะ เขาสังหารพระบิดาแล้วนำนางนาคีตนนั้นกลับคืนไป

เมื่อพระบิดาสวรรคต พระมารดาของเขาก็ตรอมใจจนสวรรคตตามไป เขาจึงคิดที่จะแก้แค้น ในเมื่อเขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง จ้าวนาคินทร์ก็จะต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งเฉกเช่นเดียวกัน!

เขาเฝ้าหาโอกาสที่จะสังหารธิดาจ้าวนาคินทร์มาตลอด แต่ก็มิสบโอกาสเลยสักครั้ง เพราะอิทธิฤทธิ์จ้าวแห่งนาคราชคุ้มครองหล่อนตลอดเวลา

และวันนี้นี่แหละ จะเป็นวันตายของนาง!

นราบดินทร์เดินเข้าไปยืนข้างเตียงชะโงกมองวงหน้าหวานอย่างสาสมใจ หากนางตาย!…จ้าวนาคินทร์จะต้องทุกข์ทรมานแน่!

เขาแผ่ไอนาคราชจะสังหารหล่อน

ฉับพลัน! ก็ปรากฎไอนาคราชสีทองลอยวนเหนือร่างระหงดั่งเกราะคุ้มกาย

“ฮึ่ม!” นราบดินทร์จึงรีบลดไอนาคราชของตนเองลง เพราะไอนาคราชที่เป็นเกราะปกป้องหล่อนแข็งกล้ากว่าของตนเอง หากปล่อยให้ไอนาคราชปะทะกัน เขานั้นแหละที่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ถึงแม้ชาติตระกูลและการกำเนิดของตนจะเท่าเทียมกับจ้าวนาคินทร์ แต่สิ่งที่ด้อยกว่าคือฤทธาของตนเอง

นี่ข้าจะทำเช่นไรดีจึงจะแก้แค้นได้! ดวงตาสีแดงจุดกึ่งกลางดวงตาสีทองจ้องมองวงหน้าหวานอย่างคับแค้นใจ

พลัน! ดวงจิตก็กระหวัดคิดถึงตอนที่เขาแอบดึงเส้นผมหล่อน ยามนั้นเขาประชิดตัวหล่อนได้อย่างง่ายดาย มันต้องมีทางที่ข้าจะสังหารนางได้ซิ!

ยามนั้นดวงจิตของเขามิมีจิตสังหาร เขาจึงลองทำจิตให้ว่าง ฉับพลัน! ไอนาคราชที่ลอยวนดั่งเกราะคุ้มกายก็หายไป

นราบดินทร์มองอย่างฉงนสนเท่ห์ เขายื่นมือไปแตะผิวแก้มนวล ก็มิปรากฎเกราะสีทองเลยซักนิด เขาดึงมือกลับ ครั้นดวงจิตคิดสังหาร ไอนาคราชสีทองก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง “ฮึ่ม!” นี่ข้าจะทำเช่นไรจึงจะสามารถสังหารนางได้!

“หือ…” นารินทร์ขยับตัวลืมตาอย่างงัวเงีย “อานาฏเหรอคะ” หล่อนถามอู้อี้ทั้งๆที่ยังไม่ลืมตาดี

นราบดินทร์จึงรีบหายตัวไปทันที

นารินทร์ทันเห็นเงาไหวๆหายไป แต่ในความมืดสลัวทำให้หล่อนเห็นไม่ค่อยชัด หล่อนจึงคิดว่า อานาฏคงมาคอยห่มผ้าให้ล่ะมั้ง ดวงตาคู่งามจึงปรือตาหลับลง

เก้าโมงเช้า นารินทร์ลืมตาตื่นตอน นาฏนาคีก็ปราดเข้าไปหา “หิวรึยังเจ้าคะ”

“อืม…กี่โมงแล้วคะอานาฏ” นารินทร์ถามพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นแล้วยกมือปิดปากหาว

“เก้าโมงเช้าแล้วเจ้าค่ะ” นาฏนาคีตอบ

นารินทร์จึงลุกจากเตียงเดินเข้าห้องน้ำไป นาฏนาคีโบกมือวูบ…เตียงนอนก็มีผ้าคลุมเรียบร้อย

พอผู้เป็นนายเดินออกมาจากห้องน้ำแต่งกายเรียบร้อยด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ นาฏนาคีก็ถามว่า “วันนี้จ้าวรินจะออกไปไหนรึเปล่าเจ้าคะ”

นารินทร์นิ่งคิด “อืม…” แล้วหล่อนก็ส่ายหน้า “ยังไม่รู้เลยค่ะอานาฏ ยังคิดไม่ออก ว่าแต่เช้านี้อานาฏทำอะไรให้รินทานล่ะคะ”

“มีซุปข้าวโพดหวานกับมันบด แล้วก็สลัดเจ้าค่ะ จ้าวรินทานเลยนะเจ้าคะ ข้าจะตั้งสำรับให้” นาฏนาคีบอกแล้วก็ขยับลุกขึ้นจะเดินไป

นารินทร์จึงรีบบอกว่า “ตั้งที่เรือนศิลาดีกว่าค่ะอานาฏ รินจะไปทานกับจ้าวพ่อค่ะ”

“เจ้าค่ะ” นาฏนาคีรับคำแล้วก็รีบหายตัวไปจัดการตามคำสั่งผู้เป็นนาย

นารินทร์ก็เดินไปส่องกระจกนิดนึงสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม แล้วก็เดินออกจากห้องนอนไปยังเรือนศิลา

นาคินทร์ยืนมองดอกบัวอยู่หน้าเรือน พอเห็นลูกสาวเดินมา เขาก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

“หลับเต็มอิ่มแล้วหรือลูก” เขาถามอ่อนโยน มองอย่างห่วงใย

“ค่ะจ้าวพ่อ” นารินทร์ดินเข้าไปกอดแขนพระบิดาแล้วก็เขย่งตัวยื่นหน้าไปหอมแก้มเขา “Morning kiss ค่ะ”

“Morning kiss จ้ะ” นาคินทร์หอมแก้มลูกสาวตอบ แล้วก็บอกว่า “ไปทานอาหารเช้าเถอะจ้ะ นาฏนาคีตั้งโต๊ะไว้เรียบร้อยแล้ว”

“ค่ะจ้าวพ่อ” แล้วหนึ่งนาคราชกับครึ่งนาคราชก็พากันเดินเข้าไปในเรือนศิลา

ครั้นพอทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสองก็ย้ายไปนั่งที่โซฟา

นาคินทร์แบมือตรงหน้าลูกสาว ฉับพลัน! ก็ปรากฎตั๋วเครื่องบินขึ้นบนฝ่ามือนั้น “ตั๋วไปกลับเชียงราย-กรุงเทพ แล้วก็กรุงเทพ-เนปาลจ้ะ”

“ขอบคุณค่ะจ้าวพ่อ” นารินทร์ยิ้มดีใจ ยื่นหน้าไปหอมแก้มพระบิดาทันที

นาคินทร์ส่งตั๋วให้ลูกแล้วก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “ลูกแน่ใจหรือว่า ทริปนี้จะมิพานาฏนาคีไปด้วยน่ะ”

“แน่ใจค่ะจ้าวพ่อ” นารินทร์ตอบน้ำเสียงหนักแน่น แล้วก็รีบพูดอ้อนว่า “อย่าให้อานาฏไปด้วยนะคะ ขืนอานาฏไปด้วยล่ะก็ เพื่อนๆคงล้อรินแย่เลยล่ะค่ะ อายุตั้งขนาดนี้แล้วไปไหนมาไหนยังต้องมีพี่เลี้ยงคอยตามต้อยๆ แค่นี้พวกเพื่อนๆ ก็แซวรินจะแย่แล้ว นะคะจ้าวพ่อ นะคะ รินรับปากว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดเลยค่ะ นะคะจ้าวพ่อ นะคะ”

ถูกลูกสาวอ้อนซะขนาดนี้มีหรือเขาจะมิตามใจนาง “จ้ะลูก แต่ลูกต้องดูแลตัวเองให้ดีนะจ๊ะ”

“ค้าจ้าวพ่อ จ้าวพ่อน่ารักที่สุดในสามโลกเลยค้า” หล่อนรับคำหน้าระรื่น แล้วก็โผเข้าไปกอดซบอกพระบิดาอย่างดีอกดีใจ ก็แหม…จะไม่ให้ดีใจได้ไงล่ะ ในเมื่อทริปไปเที่ยวเนปาลกับผองเพื่อน เป็นทริปแรกในชีวิตเลยล่ะที่ไม่ต้องมีพี่เลี้ยงตามไปด้วย วงหน้าหวานยิ้มปลื้มปริ่มดีใจสุดๆ

หลังจากนั้นนารินทร์ก็ขอตัวกลับเรือนไทย

นาคินทร์แม้จะเป็นห่วงลูกมากมายนัก แต่ก็จำต้องยอมตามใจนาง ด้วยเพราะความรักและอีกทั้งนางก็เติบใหญ่ขึ้นมาก สามารถที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว ต่อให้รักต่อให้ห่วงขนาดไหน…ก็จำใจต้องปล่อยให้นางได้ออกไปเผชิญโลกด้วยตนเอง

เฮ้อ…นางไปเที่ยวกับเพื่อนๆครั้งนี้ ข้าคงจะอยู่เป็นห่วงนางยิ่งนัก…ช่างน่าเป็นห่วงเสียจริง…เฮ้อ…

 

ณ เรือนไทย นาฏนาคีเฝ้าอ้อนวอนผู้เป็นนาย “จ้าวรินเจ้าคะ ให้ข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ” นางส่งสายตาอ้อนวอน “ให้ข้าไปด้วยนะเจ้าคะ ข้าจะใช้มนต์พรางกายไว้ มิให้เพื่อนๆของท่านเห็นข้าหรอกเจ้าค่ะ จ้าวรินเจ้าขายอมให้ข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ”

นารินทร์มองพระพี่เลี้ยงทำใจแข็ง “อานาฏอย่าไปเลยนะคะ ทริปที่แล้ว ที่กระบี่ อานาฏพรางกายไว้ก็จริง แต่ตอนถ่ายรูปออกมามันมีรูปอานาฏติดมาด้วย เพื่อนๆรินตกใจกันใหญ่เลยล่ะค่ะ”

นาฏนาคีรีบบอกว่า “เที่ยวนี้ข้าจะระวังตัวให้มาก ข้ารับรองว่าจะมิมีผู้ใดเห็นข้าได้หรือว่าถ่ายรูปติดได้แน่เจ้าค่ะ ให้ข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ ข้ามิไปด้วย แล้วใครจะคอยดูแลท่านล่ะเจ้าคะ” นางส่งสายตาอ้อนวอนสุดฤทธิ์

“รินก็ดูแลตัวเองซิคะ นะคะอานาฏ อานาฏอย่าไปเลยนะคะ ขอให้รินได้ไปเที่ยวตามลำพังกับเพื่อนๆบ้างนะคะ นะคะอานาฏ นะคะ” นารินทร์อ้อนกลับพร้อมกับโผเข้าไปซบอกพระพี่เลี้ยง

เจอลูกอ้อนแบบนี้มีหรือนาฏนาคีจะมิยอม นางถอนหายใจ “เฮ้อ…ก็ได้เจ้าค่ะ” แล้วนางก็บอกว่า “จ้าวรินต้องสัญญาว่าจะดูแลตัวเองดีๆนะเจ้าค่ะ ต้องทานอาหารให้ตรงเวลานะเจ้าคะ อากาศที่นั่นหนาว ท่านต้องใส่เสื้อผ้าหนาๆนะเจ้าค่ะ เวลานอนก็ต้องห่มผ้าให้ดีนะเจ้าคะ…”

นาฏนาคียังพูดไม่จบ นารินทร์ก็รีบพูดแทรกว่า “อานาฏอย่าห่วงไปเลยค่ะ รินรับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดค่ะ ขอบคุณนะคะอานาฏ รินรักอานาฏที่ซู้ด…” แล้วหล่อนก็ยื่นหน้าไปจุ๊บแก้มพระพี่เลี้ยง

นาฏนาคีหอมแก้มตอบแล้วก็กอดร่างระหงแน่น ทั้งรักทั้งห่วง นางจะไปเที่ยวคราวนี้…มิยอมให้ข้าไปด้วย…ข้าจะเป็นอันกินอันนอนได้รึ…เฮ้อ…จ้าวรินทร์นี่ล่ะน้า…ช่างดื้อจริงเชียว…

ณ บ้านพักของประกิต แพรวพราวกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือในห้องนอน วันนี้ไม่มีเรียน ส่วนคุณพ่อก็ไปทำงาน

ขณะกำลังอ่านหนังสือเพลินๆ จู่ๆก็ได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นข้างหูว่า “อ่านอะไรอยู่จ๊ะ”

“หง่ะ!” หล่อนหันขวับไปทันที แล้วก็ต้องตกใจตะลึงค้าง “คุณน้า!”

นาคินทร์ฉวยหอมแก้มนุ่มทีนึง

“ฮื้อ!” แพรวพราวผงะออก ยกมือถูแก้มทันที ตวัดตาค้อนขวับๆ

“คุณน้าเข้ามาได้ยังไงคะ” หล่อนถามเสียงเข้มพลางมองเขาอย่างฉงน ก็หล่อนล็อกประตูห้องนอนเอาไว้ หน้าต่างก็ไม่ได้เปิด เพราะเปิดแอร์ แล้วเขาเข้ามาได้ไงอ่ะ

“หายตัวมา” นาคินทร์ตอบอ่อนโยน ยิ้มพรายใส่ดวงตาคู่สวย

แพรวพราวอึ้ง! ใจเริ่มเต้นแรง เอ่อ…อย่าบอกนะว่าที่เขาบอกว่าเป็นพญานาคนั่นน่ะ มันเอ่อ…ไม่ใช่ความฝัน…

“จะต้องให้พี่เปลี่ยนเป็นพญานาคให้ดูอีกรอบมั๊ยจ๊ะ น้องแพรวถึงจะเชื่อว่าพี่เป็นพญานาคซะที” นาคินทร์บอกอย่างอ่อนโยน ตอบข้อสงสัยในดวงจิตของเจ้ายอดดวงใจ

แพรวพราวอึ้งๆ ส่ายหน้าเดี๊ยะ “อย่านะ…” ดวงตาคู่สวยมองเขาอย่างหวาดๆ อย่าแปลงร่างนะ…หนูเกลียดงู!…

นาคินทร์ยิ้มขำ แล้วก็เปลี่ยนเรื่องว่า “อ่านอะไรอยู่จ๊ะ”

ครั้นพอตั้งสติได้ หล่อนก็ลุกพรวดพุ่งไปที่ประตูทันที มือหมุนลูกบิดหมับ พร้อมกับออกแรงดึงประตูเต็มแรง

“เอ๊ะ! ทำไมเปิดไม่ออกล่ะ” หล่อนหมุนลูกบิดแล้วก็ดึงเปิด แต่บานประตูก็ไม่ยอมเปิดออกเลย

“เปิดมิได้หรอกจ้ะน้องแพรว” เขาบอกอ่อนโยนพร้อมกับยิ้มให้หล่อน

แพรวพราวหันขวับมามองเขาอึ้งๆงงๆ

“ก็ถ้าน้องแพรวออกไปข้างนอกได้ น้องแพรวคงจะรีบวิ่งไปหาคนช่วยเลยใช่มั๊ยจ๊ะ” เขาถามอ่อนหวาน แพรวพราวพยักหน้าหงึกๆ แหงซิ…ใครจะกล้าอยู่กับพญานาคล่ะ

นาคินทร์ยิ้มพราย “พี่ก็เลยเสกให้ประตูเปิดมิได้ น้องแพรวจะได้ออกไปมิได้ยังไงล่ะจ๊ะ”

แพรวพราวอึ้งอีกรอบ พอตั้งสติได้หล่อนก็จ้องเขาตาวาววับ จากที่หวาดกลัวก็เปลี่ยนเป็นโกรธ

“คุณน้า! คุณน้าทำแบบนี้ทำไม! ออกไปนะ! ออกไปจากห้องแพรวนะ! ออกไป๊!” หล่อนตะโกนใส่เขาลั่นห้อง

นาคินทร์ทำหน้าเศร้าสลดทันที “พี่ขอโทษ พี่คิดถึงน้องแพรวจนทนมิไหว จึงต้องมาหา” เขาบอกน้ำเสียงเศร้าสร้อย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!