Skip to content

Reuan Si La 2 Chapter 9

Chapter 9

แหวนหมั้นจากใครเหรอจ๊ะ

แพรวพราวสะอึก “เอ่อ…” จู่ๆหล่อนก็รู้สึกสงสารเขาจับใจ อย่าทำหน้าเศร้าแบบนั้นซิคะพี่นาคินทร์ขา สำนึกนั้นวูบขึ้นมาในดวงจิต ปากก็รีบพูดว่า “แพรวขอโทษ”

หล่อนมองเขาอย่างสำนึกผิด ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมนะ…แค่เห็นเขาทำหน้าเศร้าอย่างนั้นแล้วหล่อนจะต้องเศร้าไปด้วยล่ะ

นาคินทร์คลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วก็บอกว่า “น้องแพรวมานั่งอ่านหนังสือต่อเถอะ พี่มิรบกวนเจ้าหรอก มาซิจ๊ะ” เขาบอกอ่อนหวาน

เสียงนั้นซอกซอนเข้าไปในดวงจิตคนฟัง จนเผลอเดินกลับไปนั่งที่เดิม วงหน้าสวยหวานระเรื่อขึ้นสีจางๆ

แพรวพราวจ้องมองเขา นึกอึดอัดใจที่อยู่กับเขาสองต่อสอง แต่อีกใจกลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด จนต้องรีบหลบตาแล้วคว้าหนังสือมาอ่านแก้เกี้ยว

ตามองหนังสือแล้วก็เหลือบมองเขา พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนกับสายตาอ่อนหวานที่ส่งมาให้ ใจก็เต้นแรงตึกๆ สองแก้มระเรื่อขึ้นสีเข้มขึ้น

นาคินทร์ถอยไปนั่งที่เตียง ตาจับจ้องมองแต่เจ้ายอดดวงใจ อยากจะกอดอยากจะหอมอยากจะจูบให้หายคิดถึง แต่ก็ต้องยับยั้งช่างใจเอาไว้ เพราะนางจำอดีตได้แค่เพียงเศษเสี้ยวธุลี หากทำอะไรโฉ่งฉ่างนางคงโกรธแน่

แพรวพราวเหลือบมองเขาบ่อยๆ จนนาคินทร์ยิ้มขำ “หากอ่านหนังสือมิรู้เรื่อง ก็มาหาพี่เถิด มาดูของสิ่งนี้ซิจ๊ะ ว่าเจ้าจำได้มั๊ย” เขาบอกอ่อนโยน แล้วก็ยื่นมือไปแบออก

แพรวพราวมองอย่างงงๆแล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปดู

บนฝ่ามือนั้นมีแหวนวงหนึ่ง “แหวนอะไรคะ” หล่อนถามเขาแล้วก็หยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาดู

ตัวแหวนเป็นลายพญานาคสองตัวอ้าปากกัดเพชรเม็ดใหญ่เอาไว้ ส่วนหางของพญานาคทั้งสองก็พันเกี่ยวกันเป็นเกลียว

ฉับพลัน! ภาพก็ผุดขึ้นมาในดวงจิต

หล่อนนั่งที่โซฟา ส่วนเขานั่งเคียงข้าง เขากุมมือหล่อนไว้ แล้วเขาก็มองสบตาหล่อนอย่างหวานซึ้ง

“เจ้าลิน…” เขาเรียกทอดหางเสียงหวาน

“คะ” หล่อนสบตาตอบอย่างเขินๆ

เขาแบมืออีกข้างตรงหน้าหล่อน พลัน! ก็ปรากฎแหวนบนฝ่ามือเขา

“เจ้าจะแต่งงานกับพี่มั๊ย” เขาถามเสียงนุ่ม

หล่อนตกตะลึง ใจเต้นแรง แก้มร้อนซู่! อร๊าย!…อะไรเนี่ย ขอกันตรงๆแบบนี้เลยเหรอ…

เขาสบตาหวานเชื่อม “มันอาจจะเร็วไปนิดสำหรับเจ้า แต่ในเมื่อพี่รักเจ้าและเจ้าก็รักพี่ และอีกอย่างเราสองคนก็เป็นผัวเมียกันแล้ว พี่จึงอยากจะให้เจ้ามั่นใจว่าพี่มิได้คิดกับเจ้าเพียงแค่เล่นๆ”

หล่อนหลบตาก้มลงมองมือตัวเองในอุ้งมือเขา หน้าร้อนผ่าวๆ เขินจนพูดอะไรไม่ออก

“พี่อยากให้เจ้าเป็นคู่ชีวิตที่จะอยู่ร่วมกันจนกว่าจะตายจากกัน แต่หากเจ้ามิต้องการ พี่ก็จะมิฝืนใจเจ้าเป็นอันขาด เจ้าจะแต่งงานกับพี่มั๊ย” เขาถามอ่อนโยนพร้อมกับเชยคางหล่อนให้สบตากับเขา

หล่อนสบตาตอบ หน้าแดงก่ำ รู้สึกขัดเขินไปหมด

เขาจ้องตาแววตาหวานเชื่อม รอคำตอบ

หล่อนเอียงหน้าหลบตาเขินอายสุดฤทธิ์ แล้วก็พยักหน้าตอบเสียงเบาแต่หนักแน่นว่า “ค่ะ” ก็รักเค้าไปแล้วง่ะ

เขายิ้มดีใจ “เจ้าลิน…พี่ดีใจยิ่งนัก” แล้วเขาก็รั้งตัวหล่อนเข้าไปกอดแน่น

หล่อนกอดตอบอย่างอายๆ ใจเต้นแรง

แพรวพราวกระพริบตาปริบๆ จ้องมองแหวน รู้สึกเหมือนได้ของรักกลับคืน

“นี่มันแหวนแต่งงานนี่คะ” เสียงหวานใสหลุดปากพูด ตายังจับจ้องแหวนอย่างปลื้มปริ่มดีใจ

นาคินทร์ยิ้มอ่อนหวาน “จ้ะ แหวนของเจ้า” เขาบอกอย่างอ่อนโยน

แพรวพราวกำแหวนไว้แน่นแล้วยกขึ้นกุมแนบอก

“ขอบคุณนะคะพี่นาคินทร์” หล่อนบอกอ่อนหวานแล้วก็ยิ้มให้เขา

แล้วหล่อนก็กระพริบตา ชะงักค้าง “เอ่อ…” เราพูดอะไรออกไปเนี่ย หูยังแว่วคำพูดตัวเองอยู่เลย

นาคินทร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วก็บอกว่า “แรกๆเจ้าอาจจะสับสนอยู่บ้าง แต่อีกหน่อยเมื่อเจ้าจำได้ทั้งหมด เจ้าก็จะมิสับสนแล้วล่ะจ้ะ มิว่าเจ้าจะเป็นเจ้าลินหรือว่าน้องแพรว พี่ก็รักเจ้ามิเปลี่ยนแปลง”

เสียงทุ้มบอกหนักแน่น ทอดหางเสียงหวานดั่งคำสัตย์สาบาน

วงหน้าสวยหวานคลี่ยิ้มปลื้มปริ่มต่อคำพูดนั้นอย่างลืมตัว

พลัน! เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แพรวพราวสะดุ้ง! รีบหันไปมองมือถือบนโต๊ะ

“เพื่อนโทรมาชวนไปดูหนังนะจ้ะ ถ้าเช่นนั้นพี่กลับล่ะ ดูหนังก็คิดถึงพี่ด้วยนะจ๊ะ” เขาบอกอ่อนหวานพร้อมกับยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ตวัดตามองไปทางประตูเพื่อคลายมนต์ แล้วก็หายตัวไป

แพรวพราวหันกลับไปมองเขา ทันเห็นเขาเลือนหายไปก็ตะลึงอึ้งๆไป เอ่อ…ไม่ใช่คนจริงๆด้วย

เสียงมือถือยังดังอยู่ หล่อนจึงรีบหยิบมารับสาย “สวัสดีค่ะ” มืออีกข้างยังกำแหวนไว้

“หวัดดีจ้ะแพรว” เสียงปลายสายทักกลับ แล้วก็พูดต่อว่า “แพรวไปดูหนังกันมั๊ยจ๊ะ”

แพรวพราวอึ้ง! เขารู้ได้ไงอ่ะ

“แพรว ว่าไงจ๊ะ ไปมั๊ย” เสียงปลายสายถาม แพรวพราวรีบตอบกลับว่า “ไปจ้ะ ที่ไหนล่ะเธอ”

เสียงปลายสายบอกสถานที่ แล้วก็ที่นัดพบเสร็จสรรพ แพรวพราวตวัดตามองนาฬิกาแล้วก็บอกกับเพื่อนว่า “งั้นอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันจ้ะ”

หลังจากนั้นหล่อนก็ตัดสาย เก็บมือถือใส่กระเป๋า แล้วแบมือมองแหวนนิ่งงัน ความรู้สึกหนึ่งวูบขึ้นมาในดวงจิต อยากสวมแหวนติดกายดั่งของรักที่ไม่เคยห่างไปจากนิ้วนาง

ฉับพลัน! หางนาคราชก็คลายออกจากกัน แล้วลอยวาบรัดฉับบนนิ้วนางข้างซ้าย เกี่ยวกระหวัดพันหางกันไว้เหมือนเดิม

“เฮ้ย!”แพรวพราวตะลึงงัน! พอตั้งสติได้ หล่อนก็ยกมือขึ้นมาดูอย่างหวาดผวา มืออีกข้างก็รีบรูดแหวนออกจากนิ้ว

“เฮ้ย!…ทำไมถอดไม่ได้ล่ะ” หล่อนมองอย่างงงๆปนหวาดผวา พยายามจะรูดแหวนถอดออก แต่ทำยังไงแหวนก็ไม่ขยับเลย “ทำไมเป็นงี้ล่ะ” ทั้งดึงทั้งหมุนแต่แหวนก็ไม่ยอมขยับ ติดแน่นประดุจดังเป็นส่วนหนึ่งของนิ้วนาง

“เฮ้อ…ถอดไม่ออกง่ะ” พอเหลือบมองนาฬิกา ก็ชักจะใกล้เวลาที่นัดไว้เข้าไปทุกทีๆ

หล่อนจึงตัดใจ “เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวค่อยหาทางถอดทีหลังล่ะกัน ขืนสายเจอสวดแน่เลยเรา”

แล้วหล่อนก็รีบปิดแอร์ปิดไฟ จากนั้นก็หิ้วกระเป๋าออกจากห้อง จัดการล็อกบ้านเสร็จสรรพก็ตรงไปที่พี่โฟล๊คคันโปรด แล้วหล่อนก็ขับพี่โฟล๊คไปหาเพื่อนตามที่นัดหมายกันไว้

ณ ห้างสรรพสินค้า แพรวพราวจอดรถแล้วก็เปิดประตูลงจากรถ จัดการล็อกรถเรียบร้อยก็สะพายกระเป๋าเดินเข้าห้าง

พอเดินไปถึงที่นัดหมาย หล่อนก็เห็นเพื่อนๆยืนรออยู่

“แพรวมาช้าจัง” หนึ่งอนงค์ต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก

“ขอโทษจ้า ขอโทษนะที่มาช้า ขอโทษจริงๆ” แพรวพราวรีบขอโทษส่งสายตาสำนึกผิดที่มาสาย

“อุ๊ย! แหวนสวยจังเลย” อรสาทัก พลางขยับเข้าไปจับมือแพรวพราวขึ้นมาดู

เพื่อนคนอื่นๆ ก็รุมล้อมเข้ามาดูด้วย

“เพชรเม็ดเบ้อเริ้มเลยง่ะ น้ำงามซะด้วย” นงคราญทัก อย่างคนมีความชำนาญในด้านนี้เพราะที่บ้านหล่อนเป็นร้านทอง

หนึ่งอนงค์ก็แซวว่า “ใส่นิ้วนางข้างซ้ายซะด้วย แหวนหมั้นจากใครเหรอจ๊ะ” หล่อนถามทำหน้าอยากรู้

“นั่นซิแพรว” ทั้งอรสากับนงคราญพูดพร้อมกัน แล้วนงคราญก็ถามว่า “แพรวแอบไปมีแฟนตั้งแต่ตอนไหนเหรอ ไม่เห็นคุยให้พวกเราฟังเลยง่ะ”

แพรวพราวไม่รู้จะตอบเพื่อนๆว่ายังไง ก็รีบตัดบทว่า “ไปดูโปรแกรมกันดีกว่านะ”

“อุ๊ยๆ ไม่ยอมบอกอย่างนี้ แสดงว่าเป็นแหวนหมั้นจริงๆใช่มั๊ยจ๊ะ” หนึ่งอนงค์แซวยิ้มๆ

แพรวพราวจึงได้แต่ยิ้ม ไม่ยอมตอบ ก็ไม่รู้จะอธิบายให้เพื่อนๆฟังยังไงดี แบบว่าขืนพูดไปคงต้องเล่ากันยันเช้าล่ะมั้ง จะให้บอกว่าเป็นแหวนแต่งงานเมื่อชาติที่แล้ว เพื่อนๆคงซักกันไม่จบไม่สิ้นแน่

อรสาเห็นเพื่อนไม่ยอมตอบ ก็ช่วยตัดบทว่า “งั้นก็ไปกันเถอะ มัวแต่คุยอยู่เนี่ย เมื่อไหร่จะได้ดูหนังล่ะจ๊ะ”

จากนั้นทั้งหมดก็เดินไปที่โรงหนัง

ขณะกำลังยืนดูโปรแกรมหนังบนหน้าจอ แพรวพราวก็ได้ยินเสียงทุ้มพูดอยู่ข้างหูว่า “อยากดูเรื่องอะไรหรือจ๊ะ”

หล่อนหันขวับไปมองทันที แต่ข้างๆตัวหล่อนมีแต่เพื่อนสาวของหล่อนทั้งนั้น และตรงหน้าจอโปแกรมหนังก็มีแต่พวกหล่อนยืนอยู่กลุ่มเดียว

หล่อนเหลียวมองหาต้นเสียงจนนงคราญทักว่า “มองหาอะไรเหรอแพรว”

“เอ่อ…ไม่มีไรหรอก” แพรวพราวตอบเพื่อน แล้วก็เลิกมองหาที่มาของเสียง

ครั้นพอเลือกเรื่องที่จะดูได้แล้ว ก็จัดการจองที่นั่ง พอจองเสร็จ ทุกคนก็พากันไปซื้อเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว

จากนั้นก็พากันเดินเข้าไปในโรงหนัง แล้วก็เข้าไปนั่งที่ใครที่มัน

แพรวพราววางเครื่องดื่มกับป๊อปคอร์นไว้ตรงที่วางของด้านข้างเก้าอี้ หล่อนหยิบแว่น 3D มาสวมแล้วก็เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มือก็เอื้อมหยิบกล่องป๊อปคอร์นมาวางบนตัก อีกมือก็หยิบป๊อปคอร์นใส่ปาก ตาก็มองจอ

พลัน! ภาพก็วูบขึ้นมาในดวงจิต

หล่อนกำลังนั่งดูหนัง มือหยิบป๊อปคอร์นจะใส่ปาก เขาก็ยื่นหน้าเข้ามางับป๊อปคอร์นไปจากมือหล่อน

“ฮื้อ…พี่นาคินทร์น่ะ!” หล่อนอายหน้าแดงค้อนเขาขวับ

เขาหัวเราะเบาๆอย่างชอบใจ “หึๆๆๆ” แล้วเขาก็ยื่นหน้ามากระซิบว่า “ก็เจ้ากินคนเดียวมิยอมป้อนพี่บ้างเลยนี่จ๊ะ”

“ฮึ! ของพี่ก็มีนั่นไงคะ” หล่อนชี้ไปที่ถุงป๊อปคอร์นในมือเขาแล้วก็ค้อนหน้าแดงแปร๊ด

เขายื่นหน้ามากระซิบข้างหูว่า “ไม่อร่อย ของเจ้าอร่อยกว่า”

“จะไม่อร่อยได้ไงคะ ก็ป๊อปคอร์นเหมือนกัน” หล่อนกระซิบตอบแถมค้อนให้เขาอีกที

“ไม่อร่อยเท่าเจ้าป้อน” เขากระซิบตอบแล้วก็อ้อนเสียงหวานว่า “เจ้าป้อนพี่นะ นะจ๊ะ…เจ้าลินจ๋า”

หล่อนแกล้งทำเฉย เขินอายจนหน้าแดงก่ำ หล่อนรีบหันไปดูหนัง แล้วก็หยิบป๊อปคอร์นจะกินแก้เขิน

เขาก็ยื่นหน้าเข้ามางับป๊อปคอร์นไปจากมือหล่อนอีก แถมยังฉวยหอมแก้มอีกด้วย

“ฮื้อ…พี่นาคินทร์! เดี๋ยวเถอะ!” หล่อนกระซิบแหวใส่เขา

เขายิ้มชอบใจเอียงหน้ามากระซิบตอบว่า “อร่อย…ชื่นนนน…ใจ”

หล่อนค้อนขวับๆ “เดี๋ยวเถอะพี่นาคินทร์!” หล่อนกระซิบแว๊ดเสียงเขียวใส่เขา

เขายิ้มแย้มลอยหน้าลอยตา หล่อนค้อนอย่างเคืองๆ หมดอารมณ์จะกินป๊อปคอร์น

หล่อนจึงยื่นป๊อปคอร์นไปป้อนเขาแทน จะทิ้งก็เสียดายอ่ะ ไหนๆคนข้างๆอยากจะกินนักหนา…เดี๋ยวจะป้อนให้จุใจเล้ย!…ฮึ่ม!

ตาก็ดูหนัง มือก็หยิบป๊อปคอร์นป้อนให้เขา

เขาก็ยื่นหน้ามากินอย่างมีความสุข จนกระทั่งป๊อปคอร์นหมดถุง เขาก็หยิบถุงป๊อปคอร์นของเขามาเปลี่ยนกับของหล่อน

จนกระทั่งหนังใกล้จบ ป๊อปคอร์นทั้งสองถุงก็หมดเรียบ แถมเขายังงับนิ้วหล่อน แกล้งเลียปลายนิ้วปลุกอารมณ์ซะอีก

“ฮื้อ…พี่นาคินทร์น่ะ! เดี๋ยวเถอะ!” หล่อนรีบดึงมือกลับ ค้อนขวับๆอย่างเคืองๆปนอาย สองแก้มร้อนฉ่าแดงแล้วแดงอีก เพราะฤทธิ์คนข้างๆที่คอยแกล้งยั่วแกล้งแหย่อยู่นี่เอง

ดูหนังครั้งแรกกับเขาจะจำไปจนวันตายเลยคอยดูซิ!

พอหนังจบเขาก็จูงหล่อนเดินออกจากโรงหนัง เขากระซิบถาม “สนุกมั๊ยจ๊ะ”

หล่อนค้อนเขาขวับๆ แล้วกระซิบตอบประชดว่า “สนุ๊ก…สนุก…สนุกมากเลยค่ะ!”

“แพรว แพรว”

แพรวพราวกระพริบตาอย่างงงๆ ภาพหายไป กลายเป็นภาพอรสากำลังเขย่าแขนอยู่

“หนังจบแล้ว ลุกเร็ว มัวเหม่ออะไรอยู่ล่ะ” อรสาบอกพร้อมกับฉุดมือหล่อนให้ลุกขึ้น

แพรวพราวลุกขึ้นอย่างงงๆ รู้สึกแก้มร้อนผ่าว หล่อนถอดแว่นวางไว้ที่เดิมแล้วก็รีบลุกเดินตามเพื่อนไป

เสียงเพื่อนๆพูดถึงหนังเรื่องที่ดู นงคราญหันมาถามหล่อนว่า “แพรวเป็นอะไรเหรอ ไม่เห็นคุยมั่งเลย หรือว่ายังอินกะหนังอยู่จ๊ะ”

“นั่นซิ ตั้งแต่ออกจากโรงหนังมาก็ไม่เห็นพูดไรเลย สงสัยจะทำหัวใจหล่นหายตามพระเอกไปล่ะมั้ง” หนึ่งอนงค์เสริม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!