Chapter 10
หนอยแน่ะ! อีนี่! มึงตาย!
แพรวพราวมองหน้าเพื่อนๆแล้วก็บอกว่า “เปล่าหรอก แพรวรู้สึกปวดหัวน่ะ”
“ปวดหัวเหรอ เป็นไรมากป่ะ” เพื่อนๆถามอย่างเป็นห่วง
แพรวพราวรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นไรมากหรอกจ้ะ เอ่อ…แพรวขอตัวกลับบ้านเลยนะ”
“เออๆ ไปเหอะ ขับรถกลับไหวป่ะล่ะ ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวเราขับรถไปให้ก็ได้” นงคราญถามพร้อมกับอาสา
“ไหวจ้ะ ขอบใจมากนะจ้ะ งั้นแพรวกลับล่ะ บ๊ายบายจ้ะ” แพรวพราวโบกมือลาพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนๆ
“บายจ้า พรุ่งนี้เจอกันที่มหาลัยนะ” เพื่อนๆโบกมือตอบ
แพรวพราวรีบเดินไปที่รถทันที หนังเรื่องที่ดูกับเพื่อนๆกลับจำไม่ได้ว่าเรื่องราวเป็นยังไง แต่ภาพหนังที่ดูกับเขากลับแจ่มชัดตราตรึงอยู่ในดวงจิต ความรู้สึกนั้นยังฝังใจจนรู้สึกว่าสองแก้มยังร้อนผ่าวๆ
ใจดวงน้อยเต้นตึกๆ จนต้องรีบเดินเร็วๆไปที่รถ พอถึงรถ หล่อนก็รีบเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างใน
นี่หล่อนเป็นอะไรไป ทำไมถึงเห็นภาพตัวเองกับเขาผุดขึ้นมาในหัวแบบนี้ล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งงงสับสน
พอมองแหวนบนมือก็ยิ่งคิดหนัก ทำไมเราจะต้องมาเจอแต่เรื่องแปลกๆแบบนี้ล่ะ
หล่อนพยายามจะถอดแหวนออก แต่ก็ถอดไม่ได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ “เฮ้อ…ถอดไม่ออกเลยอ่ะ”
หล่อนมองแหวนแล้วก็ตัดใจ “ช่างมันล่ะกัน” อยากจะถอดแต่มันถอดไม่ออกง่ะ แต่ความรู้สึกลึกๆกลับยินดีปรีดาที่เห็นแหวนบนนิ้วนาง
จากนั้นหล่อนก็ขับรถออกจากห้างสรรพสินค้า มุ่งหน้ากลับบ้าน
ขับไปได้ซักพัก จู่ๆก็มีรถคันหนึ่งขับปาดหน้า “เฮ้ย!” แพรวพราวร้องเสียงหลง เหยียบเบรกหัวทิ่มหัวตำ โคร้ม!
“ไอ้บ้าเอ้ย! ขับรถภาษาไรฟะ” หล่อนด่าลั่น เมื่อพี่โฟล๊คชนท้ายรถคันนั้นเต็มๆ ดีนะว่าหล่อนคาดเบลท์ ไม่งั้นตัวคงกระแทกอัดกับพวงมาลัยแน่ๆ
เจ้าของรถคันนั้นรีบเปิดประตูรถลงมาดูทันที
นี่คุณ! ขับรถยังไงของคุณเนี่ย!” ผู้ชายเจ้าของรถโวยวายต่อว่าพลางปราดเข้ามาหา
แพรวพราวรีบปลดสายเบลท์แล้วเปิดประตูก้าวออกจากรถ ไปดูพี่โฟล๊คทันที “พี่โฟล๊คเป็นไรมากมั๊ยน้อ”
หล่อนรีบเดินไปดูด้านหน้ารถ ผู้ชายเจ้าของรถก็ปราดเข้ามาประชิดตัวเอามีดจี้ที่เอวหล่อนพร้อมกับพูดว่า “อย่าร้องนะ! ถอดแหวนถอดกำไลส่งมาเร็ว!”
“เฮ้ย! ไรง่ะ” หล่อนอุทานตกใจ กระทุ้งศอกใส่สีข้างชายคนนั้นซึ่งกลายร่างเป็นโจรทันที ปึ๊ก!
“โอ๊ย!” โจรร้องตัวงอ หล่อนรีบสะบัดตัวออกพร้อมกับยกเท้าถีบใส่ท้องโจรดังตั๊บ! “อุ๊บ!”
“หนอยแน่ะ! อีนี่! มึงตาย!” โจรเข่นเขี้ยวแล้วพุ่งเข้าใส่พร้อมกับมีดในมือ
แพรวพราวรีบหลบ โจรพลาดเป้าไปกระแทกกับพี่โฟล๊ค ตุ๊บ!
แพรวพราวจึงรีบกำหมัดขึ้นตั้งท่าพร้อมกับถีบใส่หลังโจรเต็มแรง ตั๊บ!
“โอ๊ย!” โจรร้องเจ็บกระแทกใส่พี่โฟล๊คอีกครั้ง
แพรวพราวจะเข้าไปซ้ำ แต่ก็ถูกรั้งไหล่เอาไว้ “อย่าจ้ะน้องแพรว” เสียงทุ้มห้ามอย่างอ่อนโยน
แพรวพราวรีบหันขวับไปมองทันที “คุณน้า!” หล่อนอุทานตะลึงงัน
นาคินทร์ยิ้มอ่อนโยนใส่ดวงตาสาวน้อยพลางส่ายหน้าห้าม “มิต้องจ้ะ พี่จัดการเอง” แล้วเขาก็รั้งสาวน้อยไปข้างหลังพร้อมกับก้าวเข้าไปยืนบังเจ้ายอดดวงใจเอาไว้
โจรหันขวับมา หน้าตาถมึงทึง “มึงตาย!” แล้วก็ต้องเบรกเอี๊ยด! เมื่อเห็นผู้ชายข้างหน้าเหยื่อสาว
โจรชะงักงัน จ้องชายหนุ่มรูปงามเขม็ง ในดวงจิตคิดคร้ามเกรงหนุ่มรูปงามจนกายสั่นสะท้านเสียวสันหลังวาบๆ
“อยากได้ของพวกนี้นักหรือ” นาคินทร์ถามโจรน้ำเสียงราบเรียบ ตามองโจรดุดัน แล้วเขาก็โบกมือวูบ
พลัน! แหวนกับกำไลนาคราชก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ
แพรวพราวมองอย่างงงๆ หล่อนก้มลงมองที่ข้อมือกับนิ้วตัวเองซึ่งไม่มีทั้งกำไลและแหวนก็ยิ่งงงหนัก
แล้วนาคินทร์ก็โยนของทั้งสองอย่างให้โจรไป “อยากได้นักก็รับไปซิ”
โจรคว้าหมับ! มองอย่างงงๆปนคร้ามเกรง พอก้มลงมองของในมือก็ตาลุกวาว แล้วโจรก็รีบวิ่งไปที่รถของตัวเอง จากนั้นก็ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
นาคินทร์หันไปบอกกับสาวน้อยว่า “ไปกันเถอะจ้ะ” แล้วเขาก็จูงมือหล่อนพาเดินอ้อมไปอีกด้านของรถแล้วเปิดประตูให้หล่อนเข้าไปนั่ง
แพรวพราวมองอย่างอึ้งๆงงๆ หล่อนก้าวขาเข้าไปนั่งในรถ ตาก็จับจ้องมองแต่ใบหน้างามสง่าอย่างสับสนงุนงง
นาคินทร์ปิดประตูรถให้หล่อน แล้วเขาก็เดินอ้อมไปเปิดประตูรถด้านคนขับ จากนั้นเขาก็เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย
“เอ่อ…คุณน้าคะ” แพรวพราวเรียกเขาอย่างงงๆ นึกอะไรไม่ออก
นาคินทร์หันไปยิ้มให้อย่างอ่อนโยนแล้วบอกว่า “พี่ขับรถให้นะ”
“เอ่อ…” แพรวพราวไม่รู้จะพูดอะไร เพราะยังงงๆอยู่
นาคินทร์จึงหันไปเข้าเกียร์แล้วก็ขับรถไป ส่วนแพรวพราวก็ได้แต่อึ้งๆงงๆ มองหน้าเขาอยู่อย่างนั้น
บรรดาไทยมุงที่จอดรถดูอยู่ พอเห็นรถคันที่ถูกชนรีบขับไป แล้วหนุ่มรูปงามก็พาหญิงสาวขึ้นรถแล้วขับออกไป จึงพากันแยกย้ายกันไป โดยไม่ทันเห็นเลยว่าหนุ่มรูปงามโผล่มาจากทางไหน
โจรขับรถไป แล้วก็เหลือบมองแหวนกับกำไลที่วางไว้ตรงหน้าคอนโซลรถ
“ขายได้หลายตังค์แน่เลยโว้ย! กูมีเงินไปบ่อนแล้วโว้ย! วู้!…” เขากระหยิ่มยิ้มย่องอย่างดีใจ แล้วก็รีบขับรถไปร้านทอง
พอหาที่จอดรถได้ เขาก็ดับเครื่องแล้วก็เอื้อมมือไปคว้าแหวนกับกำไลมา
ฉับพลัน! แหวนกับกำไลก็กลายเป็นงูจงอางตัวใหญ่เลื้อยพันรอบท่อนแขนโจรชั่วพร้อมกับแผ่แม่เบี้ยชูคอจ้องหน้าโจร
“เฮ้ย! งู!” โจรร้องลั่น ตะลึงตกใจตาเหลือกแล้วก็คอพับคออ่อนหมดสติคารถ จากนั้นงูก็เลือนหายไป
นาคินทร์ขับรถไปจนถึงบ้านพักของประกิต เขาตวัดตามองไปที่ประตูรั้ว
พลัน! ประตูรั้วก็เปิดออกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาเปิดให้
แล้วเขาก็ขับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน ดับเครื่องยนต์แล้วก็เปิดประตูลงจากรถแล้วก็รีบเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้แพรวพราว
“ลงมาซิจ๊ะน้องแพรว” เขาบอกอย่างอ่อนโยนพร้อมกับยื่นมือไปให้หล่อนจับ
แพรวพราวมองมือเขาอย่างอึ้งๆงงๆ “เอ่อ…”
“มาซิจ๊ะ” เขาบอกแล้วคลี่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
แพรวพราวมองมือเขา แล้วก็เอื้อมมือไปจับมือนั้นอย่างมึนงง
นาคินทร์จูงมือหล่อนออกจากรถแล้วก็ปิดประตูรถ จากนั้นเขาก็พาหล่อนเข้าบ้าน ประตูบ้านเปิดออกด้วยอิทธิฤทธิ์นาคราชแล้วก็ปิดฉับเมื่อทั้งสองเดินผ่านไป
เขาจูงหล่อนไปนั่งที่โซฟา แล้วก็นั่งลงข้างๆ
“หายตกใจรึยังจ๊ะ” เขาถามอ่อนโยน
“ค่ะ” แพรวพราวตอบแล้วมองเขาอย่างงงๆ
นาคินทร์แบมือตรงหน้าหล่อน พลัน! แหวนกับกำไลก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ
“เฮ้ย!” แพรวพราวอุทาน ตะลึงแล หล่อนมองของทั้งสองอย่างแบบอึ้งๆงงๆ
แล้วของทั้งสองสิ่งก็ลอยวูบจากมือเขา สวมฉับ! กลับสู่เจ้าของดังเดิม
แพรวพราวจึงได้เห็นแล้วว่ากำไลปริศนาวงนั้น สวมบนข้อมือหล่อนได้อย่างไร
“เอ่อ…” หล่อนมองของทั้งสองอย่างแล้วก็หันไปมองหน้าเขา
“น้องแพรวมิเป็นอะไรแล้ว ถ้าเช่นนั้นพี่กลับล่ะ น้องแพรวจะได้พักผ่อน” เขาบอกพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วก็หายตัวไป
“เฮ้ย!” แพรวพราวอุทานตกใจ ตะลึงอีกรอบ พอตั้งสติได้หล่อนก็นึกได้ว่ายังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย
สองวันต่อมา ณ สนามบินแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
นาคินทร์ นรินทร นาคา และนาฏนาคี กำลังยืนส่งนารินทร์ตรงหน้าประตูทางเข้าห้องผู้โดยสารขาออก
“ท่านต้องดูแลตัวเองดีๆนะเจ้าคะ ถ้ามีอะไรก็รีบส่งกระแสจิตหาข้านะเจ้าคะ ข้าจะรีบไปหาท่านทันทีเลยเจ้าค่ะ” นาฏนาคีบอกพร้อมกับกอดร่างระหงแน่น
“ค่ะอานาฏ ไม่ต้องห่วงนะคะ รินดูแลตัวเองได้ค่ะ ถ้ามีอะไรรินจะรีบบอกอานาฏแน่ๆค่ะ” นารินทร์กอดพระพี่เลี้ยงแน่น แล้วก็หอมแก้มซ้ายขวาเอาใจ
จากนั้นหล่อนก็หันไปลาจ้าวอา นาฏนาคีถอยออกไปยืนเบื้องหลังผู้เป็นนาย
“ส่งหลานแล้ว อาก็จะกลับบาดาลล่ะ ทิ้งทางนั้นมานานแล้ว มิรู้ว่าป่านนี้จะเป็นเช่นไรกันบ้าง” นรินทรบอกพร้อมกับดึงหลานเข้าไปกอด แล้วก็หอมแก้มนุ่มอย่างเอ็นดู
“ค่ะจ้าวอา ไว้รินกลับมาแล้ว จ้าวอาก็มาหารินอีกนะคะ” นารินทร์บอกแล้วก็หอมแก้มจ้าวอาอย่างเคารพรัก แล้วหล่อนก็ผละออกหันไปพูดกับนาคาว่า “อานาคา ดูแลจ้าวพ่อดีๆนะคะ”
“ขอรับจ้าวริน มิต้องห่วงขอรับ” นาคาบอกพร้อมกับค้อมหัวให้ผู้เป็นนาย
แล้วนารินทร์ก็หันไปลาพระบิดา “จ้าวพ่อคะ รินไปล่ะค่ะ”
นาคินทร์ดึงลูกเข้ามากอดพร้อมกับบอกอย่างอ่อนโยนว่า “ดูแลตัวเองดีๆนะจ๊ะ”
“ค่ะจ้าวพ่อ” นารินทร์กอดตอบพร้อมกับหอมแก้มพระบิดาด้วยความรัก
นาคินทร์ก็หอมแก้มลูกด้วยความรัก แล้วก็ปล่อยลูกเมื่อเห็นว่าบรรดาเพื่อนๆของลูกเดินมาหา
“ริน ไปกันเถอะ ใกล้จะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วนะ”
“จ้า” นารินทร์หันไปตอบเพื่อน แล้วก็หันมาไหว้พระบิดา จ้าวอา อานาฏ แล้วก็อานาคา “รินไปล่ะค่ะ”
ทั้งสี่รับไหว้พร้อมกับมองอย่างรักและเอ็นดูปนห่วงใย
จากนั้นนารินทร์ก็สะพายเป้แล้วเดินไปสมทบกับเพื่อนๆ เดินเข้าไปด้านใน
นาคินทร์และอีกสามตนจึงเดินไปยังจุดที่สามารถมองเห็นเครื่องบินเทคออฟได้ แล้วเฝ้ารอจนกระทั่งเครื่องบินลำที่นารินทร์โดยสารเทคออฟออกจากสนามบิน
จากนั้นทั้งสี่ก็พากันกลับ
พอกลับมาถึงเรือนศิลา นรินทรก็ลาพี่ชายทันที
“ข้าต้องกลับแล้วล่ะเจ้าพี่” นรินทรบอกพร้อมกับก้มกราบแทบเท้าพี่ชาย
นาคินทร์ยอบตัวลงตบบ่าน้องชายแล้วก็บอกว่า “ไปเถิด นารินทร์กลับมาเมื่อไหร่ข้าจะส่งข่าวไป”
“ขอรับเจ้าพี่” นรินทรตอบพร้อมกับยิ้มให้
นาคินทร์ยิ้มให้น้องแล้วก็ละมือออก นรินทรก็หายตัวไป
จากนั้นนาคินทร์ก็หายตัวไปหาเจ้ายอดดวงใจ ลูกก็มิอยู่ น้องก็กลับไปแล้ว จะอยู่เฝ้าเรือนผู้เดียวให้เหงาใจทำไมล่ะ
ณ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แพรวพราวกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง
นาคินทร์ปรากฎกายขึ้นบนเก้าอี้แถวสุดท้ายตรงมุมห้องแล้วจ้องมองแต่เจ้ายอดดวงจิตอย่างห่วงหาอาวรณ์
แพรวพราวรู้สึกเหมือนมีใครมองอยู่จึงหันไปมอง พอเห็นนาคินทร์นั่งกอดอกพิงพนักเก้าอี้อยู่ตรงมุมห้องหล่อนก็ตะลึง! หยึ๋ย…มาได้ไงอ่ะ ใจดวงน้อยเต้นแรงตึกๆ พร้อมกับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด
“แพรว มองไรง่ะ” อรสาซึ่งนั่งข้างๆสะกิดแขนกระซิบถาม เมื่อเห็นเพื่อนหันไปมองตรงมุมห้องแล้วทำหน้าตื่น
แพรวพราวสะดุ้ง! รีบหันกลับมามองเพื่อน “เอ่อ…”
“มองไรเหรอ” อรสากระซิบถามอีกครั้ง
“ปะ…เปล่านี่” แพรวพราวตอบเพื่อนแล้วก็รีบหันไปมองอาจารย์ซึ่งกำลังบรรยายอยู่หน้าห้อง
อรสาเห็นเพื่อนไม่อยากตอบจึงไม่เซ้าซี้แล้วก็หันไปสนใจฟังอาจารย์ต่อ
แพรวพราวลอบมองไปทางนาคินทร์บ่อยๆ ท่าทางเหมือนจะสนใจฟังอาจารย์บรรยาย แต่จิตใจกลับจดจ่ออยู่แต่กับเขา มาได้ไงอ่ะ แล้วมาทำไมน้อ หล่อนเฝ้าถามตัวเองวนเวียนไปมา จนกระทั่งหมดคาบเรียน
“ไปเดินห้างกันมั๊ยแพรว” หนึ่งอนงค์หันมาถาม
“พวกเธอไปกันเถอะ แพรวต้องรีบกลับบ้านน่ะ” แพรวพราวตอบพลางเก็บของ
“จ้ะ ถ้างั้นพวกเราไปก่อนนะแพรว พรุ่งนี้เจอกันจ้า” หนึ่งอนงค์โบกมือให้ แล้วก็ลุกขึ้นหันไปหาเพื่อนคนอื่น จากนั้นแก๊งสามสาวก็พากันเดินออกจากห้องไป
แพรวพราวนั่งรอจนคนอื่นๆออกไปจากห้องจนหมด หล่อนก็ปรี่เข้าไปหานาคินทร์ทันที