เรือนศิลา
ตอนที่ 1
ดูที่
ณ ริมแม่น้ำกกจังหวัดเชียงราย บนสวนลิ้นจี่เนื้อที่ห้าสิบไร่มีบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งเป็นเรือนชั้นเดียวอายุนับหลายร้อยปี สร้างจากหินก้อนใหญ่เรียงต่อกันแบบสถาปัตยกรรมปราสาทขอมโบราณ มีช่องประตูหน้าต่าง ตามผนังด้านนอกด้านในมีเถาไม้เลื้อยขึ้นพันหนาแน่นรกรุงรัง
ชาวบ้านแถบนี้ขนานนามบ้านเก่าแก่หลังนี้ว่า เฮือนศิลา ตามภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ หรือ เรือนศิลา ตามภาษาไทยภาคกลาง
เรือนศิลามีประวัติความเป็นมาอย่างไรไม่มีใครรู้แน่ชัด ชาวบ้านเล่าต่อ ๆ กันมาว่า เจ้าของเดิมเป็นพ่อค้าชาวจีนล่องเรือค้าขายในแม่น้ำโขงมาจากเมืองจีน จนมาพบรักกับหญิงสาวชาวเชียงรุ้ง ทั้งสองแต่งงานกันและย้ายมาตั้งรกราก ณ เมืองเชียงราย มีบุตรธิดาหลายคน แต่จะด้วยเหตุผลเช่นไรไม่มีใครรู้เพราะหลังจากทั้งสองเสียชีวิตแล้ว บุตรและธิดาต่างมีความเห็นตรงกันคือขายเรือนศิลาแล้วย้ายไปตั้งรกรากอยู่ ณ นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่(ชื่อเมืองเชียงใหม่ในสมัยก่อน) หลังจากขายเรือนศิลาแล้ว ข่าวคราวเกี่ยวกับบุตรและธิดาของพ่อค้าชาวจีนผู้สร้างเรือนศิลาก็หายไปตามกาลเวลา
เจ้าของใหม่ผู้ซื้อเรือนศิลาเป็นเพื่อนของพ่อค้าชาวจีน ซื้อให้เป็นเรือนหอของบุตรชายและสะใภ้ แต่จะด้วยเหตุผลกลใดไม่มีใครรู้ เพราะหลังจากนั้นไม่นานเจ้าของใหม่ผู้อยู่อาศัยก็ย้ายออกจากเรือนพร้อมกับบอกขายเรือนศิลาในเวลาต่อมา หลังจากนั้นเป็นต้นมาเรือนศิลาก็เปลี่ยนเจ้าของคนแล้วคนเล่าเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งเจ้าของคนปัจจุบันคือ นายศิริชัย ธนารักษ์ชาวไทยเชื้อสายจีน อายุ 52 ปี สูง 160 ซ.ม. ผิวขาว ผมสีดำแซมขาว รูปร่างท้วม เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายย่อยจากกรุงเทพฯ ที่ซื้อเรือนศิลาเอาไว้เพราะต้องการที่ดินติดริมแม่น้ำกกเพื่อทำโครงการบ้านจัดสรร
แต่เมื่อเริ่มต้นโครงการเขาหาผู้รับเหมาที่เป็นคนในพื้นที่ไม่ได้เลย ทุกรายที่เขาติดต่อด้วยต่างปฏิเสธที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรือนศิลาทั้งสิ้น แม้กระทั่งคนงานยังหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว เพราะทุกคนต่างเชื่อว่าเรือนศิลามีอาถรรพ์ จึงไม่มีใครหน้าไหนหาญกล้าเข้ามารับงาน แม้แต่ผู้รับเหมาที่เป็นคนนอกพื้นที่ยังหาไม่ได้เลย
จนเวลาผ่านไปนานหลายเดือน ดอกเบี้ยแบงค์ก็พุ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว นักลงทุนรายย่อยเช่นเขาไม่อาจแบกรับภาระหนี้สินที่เกิดขึ้นต่อไปได้ จึงต้องประกาศขายเรือนศิลาเพื่อนำเงินไปหมุนธุรกิจต่อไป
หลายเดือนแล้ว ตั้งแต่เขาประกาศขายเรือนศิลาก็ยังไม่มีใครติดต่อขอซื้อเลยซักคนเดียว จนเขาเริ่มเชื่อว่าเรือนศิลามีอาถรรพ์ดังเช่นที่คนอื่นๆ หวาดกลัว เพราะตั้งแต่เขาซื้อเรือนศิลามา ธุรกิจที่เคยรุ่งเรืองก็ประสบปัญหามาตลอด จนแทบล้มละลายอยู่รอมร่อ
จนกระทั่งมีโทรศัพท์เข้ามาติดต่อนัดหมายขอดูที่ดินและเรือนศิลาก่อนตัดสินใจซื้อ เพียงแค่นี้เขาก็เต้นแร้งเต้นกาทันทีที่อย่างน้อยก็มีคนสนใจขึ้นมาแล้ว
จนกระทั่งวันนัดหมายที่เขาตั้งตารอคอยก็มาถึง เขาไปรอ คุณนัทชัย ว่าที่ผู้ซื้อซึ่งเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย พร้อมกับภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของเขา รัชนี หญิงชาวไทยเชื้อสายจีนเช่นเดียวกับเขา อายุ 49 ปี สูง 155 ซ.ม. ผิวขาว ผมบ็อบสีน้ำตาลเข้มแซมขาว รูปร่างเจ้าเนื้อ ณโรงแรมในตัวเมืองเชียงรายล่วงหน้าหนึ่งวันทีเดียว เขาติดต่อเช่ารถยนต์จากบริษัทรถเช่าที่อยู่ใกล้ๆกับโรงแรมเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปยังเรือนศิลา เขาและภรรยานั่งรอคุณนัทชัยอยู่บริเวณล็อบบี้ของโรงแรมที่พักตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ จนเข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าอีก 10 นาทีจะถึงเวลานัดหมาย เขาก็เห็นว่าที่ผู้ซื้อเดินผ่านประตูหน้าเข้ามาในบริเวณล็อบบี้ด้วยความที่เคยเห็นหน้าค่าตาว่าที่ผู้ซื้อจากข่าวหนังสือพิมพ์นิตยสารต่างๆ บ่อยครั้งจึงคุ้นหน้าคุ้นตา
เขารีบเข้าไปทักทายว่าที่ผู้ซื้อทันที “สวัสดีครับคุณนัทชัยใช่มั้ยครับ ผมศิริชัยเจ้าของที่ดินที่คุณนัดเอาไว้ครับ”
“อ้อ สวัสดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ มารอนานหรือยังครับ” นัทชัยถามพร้อมกับยิ้มแย้มให้
ศิริชัยตอบพร้อมกับแนะนำภรรยาให้รู้จักทันที “ไม่นานครับ นี่รัชนีภรรยาผมครับคุณนัทชัย”
“สวัสดีค่ะคุณนัทชัย” รัชนีกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้อ่อนช้อย
นัทชัยรีบยกมือไหว้ตอบทันทีพร้อมกับกล่าวทักทายว่า “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณรัชนี ผมว่าเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรารีบไปดูที่กันดีกว่าครับ คุณศิริชัยขับรถนำไปนะครับ เดี๋ยวผมขับตามไปครับ”
“ครับๆ ได้ครับ อ้อรถของผมเป็นโตโยต้าวีออสสีเงินนะครับ” ศิริชัยบอกแล้วก็จูงมือภรรยาเดินตามนัทชัยออกจากล็อบบี้โรงแรมไปยังลานจอดรถทันที
นัทชัยเดินไปขึ้นรถโตโยต้าออติสสีเทาที่จอดอยู่ด้านหนึ่งของลานจอดรถ
รอจนศิริชัยขับรถออกจากลานจอดนำหน้าไป เขาจึงขับตามไปทิ้งระยะไม่ห่างเกินไป ในรถของนัทชัยมีสาวน้อยหน้าใสนั่งเคียงข้างมาด้วยคนหนึ่ง
เจ้าหล่อนเอ่ยถามนัทชัยเสียงใสทันทีด้วยสำเนียงภาษาไทยไม่ค่อยชัดนักแบบเด็กลูกครึ่งที่อยู่ต่างประเทศตั้งแต่เกิดว่า “คุณปู่คะ ที่ดินแปลงที่เราจะไปดูอยู่ไกลจากตัวเมืองมากมั้ยคะ”
“ลินจี้บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้เรียกคุณปู่ เรียกคุณลุงซิลินจี้ โธ่เรียกซะแก่งั่กเลย” นัทชัยหันไปดุสาวน้อยทันที
สาวน้อยนามลินจี้เลยลำดับญาติให้ฟังซะเลยว่า “จะให้เรียกคุณลุงได้ยังไงล่ะคะ ก็ในเมื่อคุณปู่เป็นเพื่อนกับคุณปู่ของลินจี้นี่คะ ไม่ใช่เพื่อนของคุณพ่อซักหน่อยจะได้เรียกคุณลุง หรือว่าลินจี้ลำดับญาติผิดคะคุณปู่”
“เฮ้อ…ลินจี้ลำดับญาติไม่ผิดหรอก เออ…ปู่ก็ปู่ ผิดตรงที่ลุงดันไปเป็นเพื่อนกับคุณปู่ของลินจี้ต่างหาก” นัทชัยถอนหายใจเมื่อเห็นสาวน้อยทำหน้าเหรอหรา
มันก็ถูกของลินจี้แหละ ต้องโทษที่เขาดันไปเป็นเพื่อนข้ามรุ่นกับปู่ของลินจี้ซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถ้ายังมีชีวิตอยู่ป่านนี้คงอายุ 80 กว่าได้แล้วมั้ง ทั้งที่ตัวเขาปัจจุบันนี้อายุ 48 ปีเท่านั้นเอง แก่กว่าพ่อของลินจี้ 2 ปีเท่านั้นเอง
ลินจี้หรือลินจิรา ฟาเวอร์เรส สาวน้อยลูกครึ่งไทย-อเมริกัน อายุ 24 ปี สูงราว 170 ซ.ม. ผมยาวเป็นลอนสลวยสีน้ำตาลทองล้อมใบหน้ารูปไข่เรียวสวย ตาสีเขียวมรกตใต้คิ้วเรียวโค้งดั่งคันศร
รับกับจมูกโด่งและริมฝีปากสีแดงระเรื่อรูปกระจับ ผิวขาวอมชมพู เรียนจบจาก CULA ในอเมริกา ด้านแฟชั่นดีไซน์ เพึ่งเริ่มเข้าทำงานกับบริษัทเสื้อผ้าแบรนด์เนมดังได้ไม่นานก็มีอนาคตไกลว่าจะเป็นดีไซน์เนอร์ชื่อดัง
แต่แล้วก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อพ่อและแม่ของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตทั้งคู่เมื่อหกเดือนที่แล้ว
ทำให้สาวน้อยอนาคตไกลโศกเศร้าเสียใจกับการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองจนไม่เป็นอันทำงานทำการได้เลย
ร้อนถึงนัทชัยที่สนิทสนมกับครอบครัวของเธอมากที่สุด ต้องหอบหิ้วเธอมาเมืองไทยด้วยหลังจากไปร่วมพิธีฝังศพ
เพราะเธอไม่กินไม่นอนเอาแต่ตรอมใจ จะฝากฝังญาติมิตรที่เธอมีอยู่ก็เห็นจะไม่ได้เรื่อง พวกญาติกระสือที่คอยจ้องจะหาโอกาสสูบเอาทรัพย์สมบัติที่พ่อและแม่ของสาวน้อยทิ้งเอาไว้ให้ไปเป็นของตัว อย่างไร้ยางอาย
ปล่อยสาวน้อยเอาไว้ก็เท่ากับปล่อยลูกกวางน้อยเอาไว้ท่ามกลางฝูงหมาป่าชัดๆ
กว่าจะพาลินจิรากลับมาเมืองไทยด้วยได้ก็ต้องทะเลาะกับเหล่าญาติๆของเธอแทบฆ่ากันตายไปข้างหนึ่ง นี่ดีว่าเธอไม่ใช่ผู้เยาว์แล้วนะเรื่องต่างๆ เลยง่ายขึ้นเยอะ
เมื่อกลับมาเมืองไทย ภรรยาของเขาซึ่งเป็นแพทย์หญิงประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งก็คอยช่วยดูแลเธอ จนสภาพจิตใจดีขึ้นเป็นลำดับจนเป็นปกติ
หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นมาจัดการบริหารทรัพย์สมบัติที่พ่อและแม่ทิ้งไว้ให้ และยังอาศัยอยู่กับเขาและภรรยาเรื่อยมา
ซึ่งภรรยาของเขาก็ไม่ขัดข้อง กลับดีใจซะอีกที่สาวน้อยตกลงใจจะอาศัยอยู่ด้วย เพราะไม่มีลูกจึงรักและห่วงลินจิราดั่งลูกในใส้
จนกระทั่งวันหนึ่งลินจิราเปิดอินเตอร์เน็ตแล้วพบที่ดินผืนนี้ หล่อนก็ขอให้เขาเป็นผู้ติดต่อขอซื้อที่ดินผืนนี้ให้หน่อย
เขาจึงติดต่อกับเจ้าของที่ตามเบอร์โทรที่มี แล้วนัดหมายดูพื้นที่จริงก่อนตกลงใจซื้อ ภรรยาของเขาเดินทางมาด้วยไม่ได้เพราะติดงาน เขากับลินจิราจึงเดินทางมากันเพียงสองคนปู่หลาน
ลินจิราเหม่อมองวิวข้างทางจนรถยนต์ของเจ้าของที่นำมาหยุดลงหน้าสวนลิ้นจี่ที่ค่อนข้างรกเรื้อต้นหญ้าและวัชพืชขึ้นเต็มไปหมด ทำเลที่ตั้งเรียกได้ว่าอยู่กลางเมืองทีเดียว แต่เป็นอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำกกคนละฝั่งกับโรงแรมดุสิตไอร์แลนด์รีสอร์ท
หากมองจากริมแม่น้ำหน้าเรือนศิลาจะเห็นตัวอาคารของโรงแรมดุสิตไอร์แลน์ รีสอร์ทลิบๆ ไม่ไกลนัก
นัทชัยจอดรถต่อท้ายรถของเจ้าของที่ เปิดประตูรถลงมายืนข้างตัวรถมองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา
ลินจิราเปิดประตูรถลงเดินมายืนข้างเขาแล้วมองไปรอบตัว
เขาจึงพาลินจิราเดินเข้าไปหาศิริชัยและรัชนีพร้อมกับแนะนำให้รู้จักกัน
“คุณศิริชัย คุณรัชนีครับ นี่ลินจิราหลานสาวผมเองครับ”
“สวัสดีค่ะคุณศิริชัย คุณรัชนี ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ลินจิรายกมือไหว้ทั้งสองอย่างอ่อนช้อยสมกับที่แม่ของเธอพร่ำสอนเอาไว้
ทั้งสองมองดูสาวน้อยลูกครึ่งนึกชื่นชมกริยามารยาทที่ถูกอบรมมาอย่างดีอยู่ในใจ ยกมือรับไหว้พร้อมกับเอ่ยทักทายตอบสีหน้ายิ้มแย้ม “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณหนูลินจิรา”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณหนูลินจิรา เชิญขึ้นรถผมดีกว่าครับคุณนัทชัย ผมจะได้ขับรถพาคุณดูให้ทั่วๆ เดินดูไม่ไหวหรอกครับตั้งห้าสิบไร่ เชิญครับคุณนัทชัย คุณหนูลินจิรา” ศิริชัยบอกพร้อมกับเดินไปนั่งประจำที่คนขับ
นัทชัยหันไปกดรีโมทล็อกรถให้เรียบร้อยแล้วไปนั่งหน้าคู่กับศิริชัย สองสาวต่างวัยจึงขึ้นนั่งคู่กันยังเบาะด้านหลัง
แล้วศิริชัยก็ขับรถไปตามทางดินเข้าไปในสวนลิ้นจี่ช้าๆ เขาชี้ให้ดูแนวเขตโดยรอบที่มีรั้วก่อด้วยก้อนหินสูงประมาณ 1 เมตรโดยรอบ ตลอดเวลาที่นั่งรถสำรวจดูพื้นที่ นัทชัยก็คอยซักถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับที่ดินอย่างละเอียดยิบ
จนถึงเรือนศิลาริมแม่น้ำกกท่ามกลางหมู่ไม้ใหญ่รอบตัวเรือน
ศิริชัยก็จอดรถหน้าตัวเรือน พร้อมกับสาธยายคล่องปากว่า “นั่นไงครับเรือนศิลา หรือที่ชาวบ้านแถวนี้เรียกว่าเฮือนศิลาครับ คำว่า เฮือน ภาษาเหนือก็คือ เรือน นั่นแหละครับ เป็นเรือนเก่ามากๆ ครับ ไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้ว ไปดูกันเถอะครับ”
นัทชัยลงจากรถเป็นคนแรกตามด้วยศิริชัยและสองสาวต่างวัยที่ทยอยลงจากรถตามมาติดๆ
ศิริชัยเดินนำหน้าพาทุกคนชมรอบบริเวณเรือนศิลา เขาแอบขยิบตาให้กับรัชนีภรรยาของเขาให้พยายามเก็บอาการหวาดกลัวเรือนโบราณเต็มที่ มิให้ว่าที่ผู้ซื้อหวาดกลัวตามไปด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวขายไม่ออกกันพอดี
แค่มีคนติดต่อนัดดูที่ก็ดีอกดีใจนักหนาแล้ว ถ้าขายออกไปได้จะยิ่งดีใหญ่ ขอให้ซื้อจริงๆ เถอะราคาเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยงเล้ย!
ปากก็อธิบายถึงเรือนศิลาไปเรื่อยตามความรู้ที่มีในฐานะนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ยกเว้นเรื่องอาถรรพ์ของเรือนโบราณที่ไม่มีวันแพร่งพรายให้รู้เป็นอันขาด มือไม้ก็ชี้ให้ว่าที่ผู้ซื้อดูตามที่อธิบาย
“ตัวบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวสร้างจากศิลาแลงเรียงต่อกันเหมือนสถาปัตยกรรมปราสาทขอมโบราณครับ ผมว่าเชิญคุณนัทชัยเดินดูให้ทั่วๆตามสบายเลยครับ” ศิริชัยผายมือเชื้อเชิญ
นัทชัยพยักหน้ารับแล้วก็เดินสำรวจดูรอบๆทันที
ลินจิรารีบเดินตามคุณปู่ไป ทั้งสองคนเดินวนรอบตัวบ้านจนมาหยุด ณ ทางเข้าด้านหนึ่งซึ่งอยู่ทางด้านริมแม่น้ำ เพราะคนสมัยก่อนเดินทางทางน้ำ ด้านหน้าของตัวเรือนจึงหันออกทางด้านริมน้ำ
นัทชัยมองไปรอบๆแล้วก็หันไปพูดกับศิริชัยว่า “รกมากเลยนะครับ นี่ถ้าซื้อจริงๆ คงต้องจ้างคนมาถางกันยกใหญ่ ค่าจ้างค่าแรงก็แพ๊ง…แพงซะด้วยซิครับ”
ศิริชัยฟังแล้วก็ยิ้มรับ ส่วนรัชนีได้ยินก็นึกในใจว่า ขอให้ซื้อทีเถอะ ถ้าขายได้จะถวายหัวหมูเลี้ยงเลยเจ้าประคู้ณ
นัทชัยก็ถามอีกเมื่อไม่เห็นมีระบบไฟฟ้าและน้ำประปาเลย “ไม่มีไฟฟ้ากับน้ำประปาหรือครับคุณศิริชัย”
“อ้อ ไม่มีครับ เรือนศิลาไม่มีคนอยู่มานานแล้วครับ” ศิริชัยตอบน้ำเสียงเรียบๆ
นัทชัยมองไปรอบๆแล้วก็เดินไปดูตรงริมน้ำ สองสามีภรรยาเจ้าของที่ก็รีบเดินตามไปทันที
ส่วนลินจิราอยากเข้าไปดูข้างในจึงรีบบอกคุณปู่ว่า “คุณปู่คะ ลินจี้เข้าไปดูข้างในนะคะ”
นัทชัยพยักหน้าพร้อมกับเตือนอย่างห่วงใยว่า “มันรกนะลูก ระวังๆหน่อยล่ะ”
“ค้าคุณปู่” ลินจิราขานตอบแล้วก็ก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดเตี้ยๆหน้าเรือนไปทันที
หล่อนเดินสำรวจไปเรื่อยๆจนถึงห้องด้านในสุด แต่แล้วก็รู้สึกว่าเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ด้านหลัง หล่อนจึงหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เธอตกตะลึง!
บนผนังด้านหนึ่งของห้องเป็นภาพนาคราชลวดลายงดงาม
ตัวนาคราชสีทองสะท้อนแสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
ขดซ้อนเป็นชั้นๆ ชูคอสง่างาม มีหงอนและเคราสีทองสุกสว่าง ดวงตาสีแดงเจิดจ้า อ้าปากน้อยๆ อวดเขี้ยวขาวเงาวับ ทุกรายละเอียดแจ่มชัดจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นเพียงภาพบนผนัง ลินจิราเดินเข้าไปดูภาพบนผนังใกล้ๆ
ภาพนาคราชฐานด้านล่างอยู่สูงระดับอกของเธอจนต้องแหงนมองหากจะมองส่วนหัวที่อยู่สูงขึ้นไป
เธอเอื้อมมือไปลูบภาพนั้นอย่างสงสัยใคร่รู้ ว่าสีทองบนลำตัวนาคราชในภาพเป็นสีอะไรจึงได้ระยิบระยับสะท้อนแสงพร่างพรายแบบนี้
แต่เมื่อนิ้วมือเรียวสวยของเธอสัมผัสกับภาพ ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บทันที “อุ๊ย!” เพราะถูกเกล็ดในภาพบาดเอา
เลือดไหลทันตาเปรอะเปื้อนภาพบนผนัง พร้อมๆ กับลมกรรโชกแรงเมฆฝนตั้งเค้าครึ้มมืดมิดทันทีทันใด ฝุ่นและใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วจนต้องยกมือป้องตามิให้ฝุ่นปลิวเข้าตา
เสียงตะโกนเรียกหาของนัทชัยดังลั่นทันทีผสมกับเสียงของสองสามีภรรยาเจ้าของที่ “ลินจี้อยู่ไหนลูก ฝนจะตกแล้วกลับกันเถอะลูก!”
“คุณนัทชัยครับ รีบกลับกันเถอะครับ ลมแรงอย่างนี้น่ากลัวจะมีพายุใหญ่นะครับ คุณหนูครับกลับกันเถอะครับ”
“คุณคะ! ชั้นกลัว! ลมแรงน่ากลัวจังค่ะ รีบกลับกันดีกว่าค่ะ”
ลินจิราจึงรีบออกไปสมทบกับคนอื่นๆ ทันที
ท่ามกลางเสียงลมที่พัดแรงหล่อนได้ยินเสียงหัวเราะอยู่ในสายลม แต่เมื่อตั้งใจฟังอีกครั้งกลับไม่มีเสียงหัวเราะให้ได้ยิน หล่อนจึงคิดว่าหูแว่วไปเอง
เมื่อลินจิราวิ่งมาสมทบแล้ว ทั้งสี่ก็รีบตรงไปที่รถทันที
ศิริชัยโอบประคองภรรยาพาวิ่งลิ่วตรงไปที่รถ เปิดประตูรถดันภรรยาให้นั่งเบาะหน้าแล้วตัวเขารีบวิ่งไปนั่งประจำที่คนขับอย่างว่องไว
นัทชัยโอบประคองหลานสาวเอาไว้พากันวิ่งขึ้นนั่งเบาะหลังตามสองสามีภรรยาไปติดๆ เมื่อประตูรถปิดเรียบร้อยทุกคนอยู่ในรถครบถ้วน ศิริชัยก็ใส่เกียร์ออกรถไม่รอช้าสักวินาที
เม็ดฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเป๊าะแปะ
นัทชัยไม่ลืมที่จะนัดหมายเรื่องซื้อที่ดินในขั้นต่อไป “คุณศิริชัยครับ แล้วผมจะติดต่อไปอีกทีนะครับว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ อีกอย่างจะได้ตกลงราคาให้มันชัวร์ๆ ด้วยครับ ขอบคุณมากครับที่สละเวลามาพาชมครับ”
“ครับคุณนัทชัย” ศิริชัยตอบพร้อมกับเหลือบมองภรรยาแวบนึง ต่างช่วยกันภาวนาในใจขอให้นัทชัยตกลงซื้อเถอะ
เมื่อออกมาถึงถนนตรงที่รถของนัทชัยจอดอยู่ ฝนก็โปรยปรายหนาตา ปู่กับหลานคนละสายเลือดก็รีบย้ายก้นจากรถของเจ้าของที่ไปยังรถเช่าของตนเองทันที
แล้วนัทชัยรีบขับรถกลับโรงแรม เพราะเปียกซกกันทั้งปู่ทั้งหลาน