บทที่ 15
สุสานศักดิ์สิทธิ์
เสิ่นชิงชิวลืมตาขึ้นฉับพลัน
มืดสนิท
หัวใจเขาเต้นรัวแรงไม่หยุดจนแก้วหูสั่นสะเทือนตาม เพื่อให้รู้ชัดว่ามันมืดขนาดยื่นมือไปแล้วมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าตามสำนวน หรือเป็นเพราะเขาตาบอดไปแล้ว เสิ่นชิงชิวเลยกางนิ้วออกไปจริงๆ
แต่ยื่นออกไปยังไม่ทันจะสุดมือ ปลายนิ้วก็แตะเข้ากับสิ่งกีดขวางแข็งเป๊ก เสิ่นชิงชิวค่อยๆคลำไปโดยรอบ
คลำไปได้สักพัก ในใจก็พอจะมีคำตอบ ตอนนี้เขาอยู่ในที่แคบแห่งหนึ่ง เหมือนจะถูกจับใส่เข้ามาในกล่องหินทรงแคบยาว เมื่อเอามือตบเบาๆไปตามผนัง พบว่าผิวของมันเรียบลื่น เย็นเฉียบ คะเนว่าคงเป็นหินอ่อน ลองใช้พลังทิพย์หยั่งดู ความหนาของมันไม่น่าจะเกินสี่ชุ่น
เขาลูกคลำอยู่พักหนึ่ง เกร็งลมปราณ กลั้นลมหายใจ แล้วแผ่พลังออกไปทันใด ปราณทิพย์สั่นสะเทือน จากนั้นฟาดเปรี้ยงเข้าที่ตรงกลางฝาหิน
หลังจากฟาดติดกันสามที ความมืดก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับเสียงสะท้อนกึกก้อง
อากาศไหลทะลักเข้ามา เสิ่นชิงชิวลุกขึ้นนั่งทันที สูดอากาศเข้าปอดแรงๆสองสามเฮือก จึงค่อยพบว่ามันไม่ใช่อากาศบริสุทธิ์ หากแต่เป็นอากาศที่เหมือนไม่เคยหมุนเวียนถ่ายเทมานานปี ทั้งยังมีออกซิเจนเพียงเบาบาง เขาก้มหน้ามองอีกครั้งก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในโลกใบหนึ่ง
หีบศิลาแคบยาวใบนี้ กลับเป็นโลงหินแบบโบราณที่แกะสลักอย่างประณีต ขาววับทั้งใบราวกับหยก
เสิ่นชิงชิวจับขอบโลกเบาๆ แล้วกระโดดออกมาก่อนมองไปรอบๆ เขากำลังยืนอยู่ในห้องศิลามืดมิดแห่งหนึ่ง ส่วนโลงที่เพิ่งถูกเขาระเบิดออกมาวางตั้งอยู่บนแท่นบูชาใจกลางห้อง มุมทั้งสี่ของห้องศิลามีข้าวของกองสุมระเกะระกะ มีทั้งอาวุธ อัญมณี คัมภีร์ ขวด โถ แจกัน ฯลฯ
บรรดาอาวุธและอัญมณีมีค่าส่องประกายจางๆ ใต้ฝุ่นหนาและดูมลังเมลือง เมื่อมองไปรอบด้านพบกว่าบนผนังวาดภาพฝูงปีศาจร่ายรำเอาไว้จนเต็ม
สุสานศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารนี่เอง เสิ่นชิงชิวได้ข้อสรุปในที่สุด
แต่ยังไม่ทันได้ย่อยข้อมูลนี้ดีๆ พอก้มหัวลงโดยไม่ได้ตั้งใจก็ถูกอีกข้อมูลหนึ่งโจมตีเข้าอย่างจัง
ร่างกายของเขาไม่ใช่กายเนื้อที่สร้างจากหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรา หากแต่เป็นร่างดั้งเดิมที่แท้จริงของเสิ่นชิงชิว
ที่ว่ากันว่าสุสานของเผ่ามารมีคาดาชุบชีวิตให้ฟื้นจากความตายไม่ใช่เรื่องโกหก ดูท่าคงมีใครลอบขโมยศพของเสิ่นชิงชิวเข้ามาไว้ในสุสานศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นทำพิธีเรียกวิญญาณ แล้วดึงเขาออกมาจากร่างใหม่
สุสานศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ต้องห้ามของเผ่ามาร เป็นที่ที่ผู้ปกครองเผ่ามารระดับสูงสุดรุ่นแล้วรุ่นเล่าสถิตร่างหลับพักผ่อนชั่วนิรันดร์ ผู้ที่มีตำแหน่งสูงไม่พอหากเข้ามาในนี้ล้วนตายสถานเดียว แต่เสิ่นชิงชิวถูกส่งเข้ามาตอนที่ตายแล้ว จากนั้นวิญญาณค่อยกลับคืนสู่ร่าง เท่ากับเป็นการอาศัยช่องโหว่ถึงได้มีโอกาสเข้ามาทัวร์นั่นเอง
เสิ่นชิงชิวลองทดสอบดู พบว่าพลังทิพย์โคจรไหลเวียนสมบูรณ์ดี ลั่วปิงเหอบอกว่าเขาใช้เวลาห้าปีถึงซ่อมแซมชีพจรทิพย์ทั้งหมดในร่างนี้ได้ครบถ้วน นับว่าไม่ได้โกหกจริงๆ ส่วน ‘พิษไร้ยาถอน’ ยามนี้ยังไม่มีอาการเลยไม่รู้ว่าถูกขจัดไปแล้วหรือยัง
กายเนื้อที่สร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างนั้นหากมีวิญญาณเข้าร่างและออกไปก็จะเหี่ยวแล้วเน่าตายไปอย่างรวดเร็ว ลั่วปิงเหอตอนนี้อยู่กับร่างตากแห้งเหี่ยวฟีบของเขา ไม่รู้จะทำหน้ายังไง
ความคิดยังไม่ทันจะลอยไปไหนไกล ระบบก็ติ๊งข้อความเข้ามา
[โปรดทราบ ขณะนี้ท่านเข้ามาอยู่ใน ‘สุสานศักดิ์สิทธิ์’ อันเป็นด่านเลเวลสูง ภารกิจ ‘กลบหลุม’ กำลังจะเริ่มแล้ว โปรดกระโดดออกมาชิงเป็นฝ่ายโจมตี]
เสิ่นชิงชิวทำเสียงอือ ยังคงนั่งยองๆอยู่กับพื้นต่อ
ระบบ [โปรดกระโดดออกมาชิงเป็นฝ่ายโจมตี]
เสิ่นชิงชิวไม่ขยับ ระบบ[ขอเตือน โปรดกระโดด…]
เสิ่นชิงชิวขัด “รู้แล้วๆ จะไปไหนก็ไปไป๊!”
เสิ่นชิงชิวเดินออกไปนอกห้องอย่างเซ็งๆ พลางนึกทบทวนสภาพของด่านสุสานศักดิ์สิทธิ์ในนิยายดั้งเดิม ประชากรในภพมารจะสร้างที่อยู่อาศัยไว้ใต้ดิน สร้างสุสานไว้บนดิน พูดง่ายๆคือ ขนบธรรมเนียมทุกอย่างผกผันกับภพมนุษย์ ในสุสานติดตั้งกลไกไว้ชั้นแล้วชั้นเล่า อันตรายอย่างยิ่งยวด ทั้งยังมีปีศาจซุ่มแฝงตัวอยู่ตามที่ต่างๆ คอยเฝ้าระวังอยู่นับไม่ถ้วน
ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงกวนประสาทของระบบแทงสมอง ก็คงเพราะเขาเสพยาจนหลอนไปเอง ถึงออกมาเดินเพ่นพ่านอยู่ที่ทางเดินในสุสานนี่ได้
ทางเดินในสุสานมืดมาก แต่เสิ่นชิงชิวก็ไม่ได้ร่ายคาถาเรียกไฟ เขากลั้นลมหายใจ เดินเงียบๆไปยังด้านหน้า
ไม่นานก็แว่วเสียงลมหายใจครืดคราดฟืดฟาด ผ่านมาเข้าหู
บอกว่าหายใจ ความจริงเหมือนเสียงหอบหายใจของคนที่กำลังจะตายมากกว่า เสิ่นชิงชิวหยุดยืนอยู่กับที่
มาเร็วเกินไปแล้ว
ในความมืด ร่างผอมกะหร่องร่างหนึ่งค่อยๆปรากฏขึ้น ตามมาด้วยร่างที่สองและร่างที่สามทางด้านหลัง ค่อยๆลอยละล่องเข้ามาเหมือนวิญญาณ
ร่างเหล่านี้เดินหนึ่งก้าวโงนเงนสามก้าว ใกล้เข้ามาทุกที เสิ่นชิงชิวไม่ส่งเสียง เบี่ยงตัวหลบด้านข้าง ผ่อนจังหวะลมหายใจให้ช้าที่สุด
หนึ่งในปีศาจเฝ้าสุสานที่มีโอกาสพบได้มากที่สุดก็คือผีดิบตาบอด ซึ่งเป็นปีศาจชั้นต่ำสุดในนี้
ในชื่อของผีดิบตาบอดมีคำว่า ‘บอด’ อยู่ แต่ความจริงแล้วดวงตาของพวกมันกลับไม่น้อยกว่าชาวบ้าน ซ้ำมีมากกว่าปีศาจอื่นๆถึงสองสามคู่ด้วยซ้ำ งอกเบียดกันอยู่บนหน้า ดูหลอนพิลึก คนที่เป็นโรคกลัวรูจะต้องรังเกียจมันมากแน่
แต่ถึงจะมีดวงตามากมายกลับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ส่วนใหญ่แล้ว ผีดิบตาบอดจะเบิ่งตาลอย เดินลาดตระเวนอยู่ในสุสานศักดิ์สิทธิ์ทั้งวัน ประสิทธิภาพต่ำมาก ดวงตาของพวกมันทั้งเยอะทั้งโต แต่ผกผันกับความสามารถในการมองเห็นอย่างแรง ทว่าความสามารถในการรับแสงของพวกมันกลับเฉียบคมมาก แม่แต่แสงสะท้อนที่อ่อนจางที่สุดมันก็จับได้อย่างว่องไว
ทันทีที่มันจับแสงได้ ท่าทางของมันจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โจมดีแหล่งที่มีของแสงอย่างดุดันโดยอัตโนมัติ เมื่อถึงตอนนั้น ในสุสานจะไม่มีเพียงพวกมันที่ระดับความเร็ในการเดินชักแถวลาดตระเวนเข้าขั้นเอ้อระเหยอีก ปีศาจชนิดนี้ลำพังพวกมันไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ที่น่ากลัวก็คือมักมีอย่างอื่นโผล่มาพร้อมกับพวกมันด้วย
ระหว่างที่เสิ่นชิงชิวกำลังคิดเพลินอยู่นั้น ผีดิบตาบอดตัวหนึ่งก็เดินโงนเงนเข้ามาใกล้พอดี เขารีบเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างทันที แต่แล้วท่ามกลางความมืดสนิท แสงไฟอ่อนจางแถบหนึ่งก็สว่างขึ้น
เปลวไฟเหล่านี้มีสีเขียวเข้มและสว่างขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาทางเดินในสุสานสว่างเรืองรองด้วยสีเขียวอื้อไปทั้งแถบ ผีดิบตาบอดสองสามตัวนั้นจวนจะเดินผ่านไปอยู่แล้ว ก็ดันหันหัวขวับเดี๋ยวนั้น ดวงตาใหญ่โตสี่ห้าคู่ที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยแตกซ่าน จ้องมองเสิ่นชิงชิวในระยะประชิด
เทียนปราณมรณะ!
เสิ่นชิงชิวก็เร็วเหลือเชื่อ วินาทีต่อมาเผ่นแผล็วไปอยู่สุดปลายทางเดิน แต่ไม่ว่าเขาจะเผ่นไปตรงไหน ไอ้เจ้าดวงไฟสีเขียวอื๋อก็ตามไปสว่างพึ่บที่ตรงนั้นด้วย จนเขาไม่มีที่จะหลบซ่อนแล้ว เขาเร็ว แต่ผีดิบตาบอดที่ถูกกระตุ้นด้วยแสงกลับเร็วยิ่งกว่า
เสิ่นชิงชิวฟาดผีดิบตาบอดสองสามตัวที่โผเข้ามาหากระเด็นออกไป
เทียนปราณมรณะใช้ปราณและลมหายใจของสิ่งมีชีวิตเป็นเชื้อเพลิง หากมีคนเป็นๆหรือสัตว์เป็นๆเข้ามาใกล้ก็จะจุดติดเองโดยอัตโนมัติ
ฟังแล้วเหมือนพวกของเล่นปาหี่ที่พวกนักต้มตุ๋นพกติดติว แต่เมื่อรวมกับผีดิบตาบอด อาจุภาพกลับร้ายกาจระดับถล่มฟ้าทลายปฐพีเลยทีเดียว ลองคิดดู หากมีผู้บุกรุกเข้ามาในสุสานศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็ต้องหายใจ หายใจเข้าทีหนึ่งเทียนก็ลุกติดแล้ว เป่าก็ไม่ดับ บี้ก็ไม่หมด ไม่ว่าจะมุมไหนของสุสานศักดิ์สิทธิ์ก็มีข่ายเวทเทียนปราณมรณะอยู่ทั่ว เรียกให้ผีดิบตาบอดยกโขยงกันมา จนกว่าจะตายโน่นแหละ เทียนถึงค่อยๆดับไปเอง ‘ปราณมรณะ’ ชื่อปราณมรณะนี้ช่างตั้งได้ดีเสียจริง
เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ พวกผีดิบตาบอดที่สัมผัสได้ถึงแสงเทียนพากันยกโขยงมาเต็มสุสานแล้ว
เสิ่นชิงชิวเผ่นออกจากทางเดิน ผลุบเข้าไปในห้องอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้ใหญ่โตโอ่โถงมาก แท่นกลางห้องมีโลงศพวางอยู่ใบหนึ่ง เขากระโจนพรวดเข้าไปยกฝาโลง ทว่ามันไม่ขยับ จึงใช้มือตบๆ ก็ได้ยินเสียงทึบหนัก หากไม่มีวี่แววจะขบับเขยื้อนแม้แต่น้อย เป็นโลงหินที่แข็งแรงแน่นหนากว่าใบที่เขานอนเมื่อครู่เสียอีก
เสิ่นชิงชิวคิด หรือว่าจะมีใครอยู่ข้างใน เขาเคาะๆฝาโลง “ขอยืมสถานที่ของท่านหลบภัยก่อนชั่วคราวได้หรือไม่”
ความจริงเขาแค่สติฟั่นเฟือนไปชั่ววูบถึงได้เคาะ แต่นึกไม่ถึงว่าที่เคาะไปสองที ดันมีเสียงดังมาจากข้างในตอบกลับมา
เสียงนั้นดังออกมาจากในโลงแน่นอน แต่กลับฟังชัดเจนราวกับดังอยู่ข้างหู ไม่มีอู้อี้แม้แต่น้อย เจือเสียงหัวเราะอยู่ในที “เชิญตามสบาย”
ผีหลอก!!!
เสิ่นชิงชิวขวัญหนีดีฝ่อ เขายกขาขึ้นเตะกราดผีดิบตาบอดสองสามตัวที่โผเข้ามา ถีบๆอีกสองทีให้โลงหินร่วงลงมา จากนั้นรวมพลังโจมตีใส่เพดาน เศษหินร่วงกราว
เสิ่นชิงชิวเห็นว่าที่ฟาดไปนี้ได้ผลก็ฟาดต่อ เอาให้เพดานถล่มลงมาเลยยิ่งดี จากนั้นฉวยจังหวะชุลมุนรีบวิ่งออกจากห้อง ปล่อยให้พวกผีดิบตาบอดกับศพคืนชีพฝังอยู่ในกองเศษหินกันไป
ท่ามกลางความโกลาหลทันใดนั้นมีเสียงฟ่อๆแผ่วต่ำมาจากด้านนอกตำหนักแห่งนี้
เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้น ด้านนอกตำหนักมีดวงตาใหญ่โปนสีทองดูราวกับใครจุดตะเกียงแสงสีเหลืองนวลไว้สองดวงกำลังจ้องมาทางนี้ ลูกตาดำที่เป็นขีดในแนวตั้งตรงกึ่งกลางดูดุร้ายน่ากลัวมาก
พวกผีดิบตาบอดได้ยินเสียงนี้ก็ราวกับถูกสยบด้วยพลังคุกคามไร้รูป หยุดตามรุมทึ้ง ก้มหน้าหดคอหดไหล่ ขดตัวเป็นก้อนกลมสั่นงันงกไปทั้งร่าง
ดวงตาใหญ่ราวกับตะเกียงคู่นั้นจ้องตากับเสิ่นชิงชิวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายวับไป
ครู่ต่อมาด้านนอกตำหนักจึงมีร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เมื่อเสิ่นชิงชิวเห็นผู้มาเยือนเต็มตาก็ไม่นึกประหลาดใจแม้แต่น้อย ส่งเสียงเรียก “สี่จือหลาง”
จู๋จือหลางขาลื่นพรืด! เขาลูบจมูก ถึงหงุดหงิดแต่ยังไม่ยอมเสียมารยาท กล่าวยิ้มๆ ว่า “หากเสิ่นเซียนซืออยากเรียกเช่นนี้ก็เชิญตามสบายเถิด”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ผู้ที่ขโมยศพไปจากอารามฉยงติ่งเป็นเจ้าจริงๆ”
พิษที่ทำให้ศิษย์เหล่านั้นเขียวเป็นจ้ำๆไปทั่วร่าง น่าจะเป็นพิษของงูเขียว ตอนมู่ชิงฟางตรวจดูคร่าวๆไม่พบบาดแผล นั่นเป็นเพราะเขี้ยวงูมีขนาดเล็กมาก รอยแผลจึงแทบมองไม่เห็น ต้องตรวจให้ละเอียดถึงจะพบรอยเขี้ยวซ่อนอยู่ตามที่ๆยากแก่การสังเกตเห็น อย่างเช่นปลายเล็บ ส้นเท้าอะไรพวกนี้
จู๋จือหลางกล่าวว่า “เกิดเรื่องขึ้นอย่างฉุกละหุก เลยได้แต่ใช้วิธีการโง่เขลาเช่นนี้ ยังหวังว่าเสิ่นเซียนซือจะให้อภัย
เสิ่นชิงชิวไอแห้งทีหนึ่ง ที่ว่า ‘เกิดเรื่องขึ้นอย่างฉุกละหุก’ นี้ คิดยังไงก็เป็น ‘เรื่อง’ ที่เขารมจู๋จือหลางด้วนสุราสยงหวงนั่นแหละ และไหนจะ ‘เรื่อง’ ที่เขาทำจนอีกฝ่ายต้องกลับคืนร่างเดิม แถมยังขี่ออกนอกเมืองไปตั้งไกลนั่นอีก
เขากล่าวว่า “เจ้าเรียกให้ข้ากลับเข้าร่างที่สุสานศักดิ์สิทธิ์ นับว่าช่วยข้าหลุดจากสภาพ…เอ่อ เข้าตาจนพอดี ก่อนหน้านี้เจ้าก็ปรารถนาจะพาข้ามาที่ภพมารอยู่แล้ว ตอนนี้ก็มาแล้ว ตกลงมีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ บอกได้หรือยัง”
จู่จือหลางกล่าวว่า “เหตุผลข้อหนึ่งก็ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว น้ำหนึ่งหยดต้องตอบแทนด้วยน้ำพุทั้งบ่อจึงจะคู่ควร เหตุผลข้อที่สอง ที่ทำพิธีเรียกเสิ่นเซียนซือมาคราวนี้หาใช่ผู้น้อยไม่ ท่านยังคงถามเอาเองจากจวินซั่งโดยตรงจะดีกว่า”
เสิ่นชิงชิวถามว่า “ดี แล้วเทียนหลางจวินอยู่ไหนล่ะ”
จู๋จือหลางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ข้านึกว่าเสิ่นเซียนซือกับจวินซั่งได้พบหน้ากันแล้วเสียอีก”
พบหน้ากันหรือ
เสิ่นชิงชิวก้มหน้ามองโลงหินใบนั้น
หรือศพบคืนชีพที่อยู่ในนั้น…ก็คือ เทียนหลางจวิน?
พูดให้ถูกเป๊ะๆ ก็ไม่ไช่ ‘การพบหน้ากัน’ หรอกมั้ง
ฝาโลงที่เมื่อครู่เขาพยายามงัดอยู่เป็นครึ่งค่อนวันยังไม่ขยับ เวลานี้กำลังสั่นไม่หยุด แล้วค่อยๆเลื่อนออกเอง ในโลงนั้นคนผู้หนึ่งค่อยๆลุกขึ้นนั่ง
คนผู้นี้พาดศอกข้างหนึ่งกับขอบโลง หันหน้ามายิ้มและทักทาย “เจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิงนี่เอง เลื่อมใสมานาน”
เสิ่นชิงชิวช็อคไปแล้ว
…คนตระกูลนี้แม้จะมีงานอดิเรกและความสนใจหลากหลาย แต่ก็มีความเหมือนในความต่าง ล้วนแล้วแต่เป็นอะไรที่ประหลาดทั้งนั้น ลูกชายชอบกอดศพ ส่วนพ่อชอบนอนในโลงศพ
หน้าตาของลั่วปิงเหอ ดูโดยรวมละม้ายคล้ายคลึงซูซีเหยียนผู้เป็นแม่ แต่ก็มีเค้าของผู้เป็นพ่ออยู่บ้าง อย่างเช่นดวงตา
เทียนหลางจวินดวงตาใหญ่ลึก คิ้วชี้เฉียงคมได้รูป ลูกตาดำขลับที่ดูลึกล้ำราวกับห้วงมหาสมุทร ในจุดนี้ลั่วปิงเหอเหมือนเขาเต็มร้อยเลยทีเดียว ลั่วปิงเหอเดิมเป็นเด็กหน้าขาวใส หากกระทั่งดวงตาก็เหมือนแม่ด้วย เช่นนั้นหน้าตาจะสวยหลานเกินไปกลับไม่เป็นการดี
และอย่างรอยยิ้ม รอยยิ้มของพ่อลูกคู่นี้ทำให้เสิ่นชิงชิวมีความรู้สึก…ไม่ชอบมาพากลอย่างบอกไม่ถูก
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างระมัดระวัง “ข้าไม่ได้เป็นเจ้ายอดเขามาหลายปีแล้ว”
เทียนหลางจวินหัวเราะร่า “ข้าอยากพบเจ้ายอดเขามานานแล้ว”
เสิ่นชิงชิวรู้อย่างลึกซึ้งด้วยตัวเองแล้วว่า อันอย่างกิริยาท่าทีนั้นเป็นอะไรที่ต้องอาศัยการปลูกฝังจากครอบครัวและการอบรมเลี้ยงดูมาแต่เล็กจริงๆ
ไม่ต้องอะไรมาก ถ้าให้พ่อลูกคู่นี้นั่งอยู่ในโลงเหมือนๆกัน และจับโพสท่าแบบเดียวกัน เทียนหลางจวินนั่งอยู่ในโลงอย่างสง่างามเป็นธรรมชาติราวกับกษัตริย์นั่งบนบัลลังก์มังกรเลยทีเดียว ส่วนลั่วปิงเหอถึงแม้หน้าตาหล่อเหลา อะแฮ่ม…ก็ยังคงเหมือนนั่งอยู่ในโลงอยู่ดี มิน่าล่ะ เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันถึงได้กลัวคำขู่ของคนอ่าน หั่นบทของเทียนหลางจวินออกไปเลย
อยู่ท่ามกลางผู้สืบสายโลหิตมารฟ้าถึงสองคน อีกทั้งบริเวณนี้ยังมี ‘บ๊ะจ่าง’ ผู้สูงศักดิ์ของภพมารทั้งแบบเปียกและแห้งเป็นขามุง เสิ่นชิงชิวพูดได้ลเยว่า นี่เป็นความกดดันอันใหญ่หลวงมาก
(บ๊ะจ่าง คือ คำเรียกผีดิบที่ใช้กันในหมู่โจรขุดสุสาน เนื่องด้วยลักษณะการห่อศพและมัด บ๊ะจ่างแบบแห้งคือซากที่เหลือแต่โครงกระดูก ส่วนบ๊ะจ่างแบบเปียกคือผีดิบที่มีซากค่อนข้างสมบูรณ์ ไม่เน่าเปื่อย)
เขาแสร้งหัวเราะ “มิกล้ารับ ในเมื่ออยากพบ เหตุใดท่านจึงไม่ออก…ออกมาคุยกันเล่า”
นั่งเต๊ะท่าอยู่ในโลงอยู่ได้ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย นอกเสียจากว่า…
ลุกขึ้นยืนไม่ได้
เทียนหลางจวินเคาะนิ้วกับขอบโลงเป็นจังหวะ ดวงตาสะท้อนแสงไฟสีเขียวที่ลุกเรืองอยู่ในห้องสุสาน เขากล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ได้ซิ เช่นนั้นเจ้ายอดเขาจะช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่”
ต่อให้เทียนหลางจวินซ่อนแผนอะไรไว้ ก็ต้องทำใจดีสู้เสือแล้ว เสิ่นชิงชิวค้อมตัวเล็กน้อย ยื่นมือออกไป “เชิญ”
เทียนหลางจวินเกาะมือเขาด้วยความยินดีแล้วลุกขึ้นยืน ที่แท้มิใช่เพื่อปกปิดความอ่อนแออย่างที่คิด ทำเอาเสิ่นชิงชิวรู้สึกผิดหวัง
หลังจากนั้นก็ฉุด…
วืด…
ว่างเปล่า
ในมือเขายังรู้สึกว่าจับแขนผอมๆ ของเทียนหลางจวินไว้อยู่เลย เสิ่นชิงชิวก้มมอง เขายังจับอะไรอยู่จริงแต่มันเป็นแค่แขนท่อนล่างข้างหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวพูดไม่ออก
แขนข้างหนึ่งของเทียนหลางจวินหลุดออกมา แขนเสื้อจึงว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงกล่าวอย่างสุภาพ “อา หลุดอีกแล้ว รบกวนเจ้ายอดเขาส่งแขนมาให้ข้าทีเถอะ”
เสิ่นชิงชิวไร้คำพูด “…”
เสิ่นชิงชิวส่งแขนที่หลุดออกมาให้เทียนหลางจวินด้วยท่าทีนิ่งๆ ทั้งที่ในใจกลับสั่น
ขณะที่ฝ่ายหลังและจู๋จือหลางทำหน้าเหมือนชินแล้ว มีเสียงกริ๊กทีหนึ่ง กริ๊กเดียวก็เอาแขนใส่กลับเข้าไปเรียบร้อย
ใส่กลับเข้าไปแล้ว!
ฟิกเกอร์รึเปล่านี่ ประกอบร่างได้ตามใจชอบงี้
เสิ่นชิวชิวยังสังเกตเห็นอีกว่าไม่ใช่แค่เฉพาะจุดที่หลุด เส้นเอ็นและผิวหนังบางส่วนบนแขนข้างนั้นล้วนกลายเป็นสีม่วงเช่นกัน พอตัดกับผิวขาวๆ เลยดูน่ากลัวเป็นบ้า แม้กระทั่งผิวหนังใต้ร่มผ้าแถวคอเสื้อ ก็มีสีคล้ำโผล่ออกมาให้เห็นวับๆแวมๆ
ผีเสื้ออย่างเราขยับปีกทีเดียว ไม่ใช่แค่ชักนำให้เกิดสึนามิเสียแล้ว ที่เดาไว้ในตอนแรกว่าจู๋จือหลางน่าจะเอาหญ้าน้ำค้างไปให้เทียนหลางจวินสร้างร่างกาย เดาได้ไม่ผิดจริงๆ แต่ว่าร่างกายที่สร้างจากหญ้าน้ำค้างแก่นสุริยันจันทรานี้ เทียนหลางจวินน่าจะใช้งานไม่ได้ดังใจนัก
วิญญาณของเสิ่นชิงชิวกับหญ้าน้ำค้าเข้ากันได้ไม่เลว ปัจจัยแรกเพราะหญ้าน้ำค้างใช้เลือดเนื้อของเขาหล่อเลี้ยง ปัจจัยที่สอง เนื่องจากหญ้าน้ำค้างเป็นพืชที่มีปราณทิพย์ ตัวเสิ่นชิงชิวเองก็ใช้ปราณทิพย์เป็นรากฐานในการฝึกวิชา ด้วยองค์ประกอบทั้งสองประการนี้ จึงเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าสภาพของเทียนหลางจวินนั้นแตกต่างไป
เขาเป็นเผ่ามาร พลังฝึกปรือใช้ปราณมารเป็นรากฐาน หญ้าน้ำค้างฯจึงย่อมมีปฏิกิริยาต่อต้ายโดยอัตโนมัติ การจะคงสภาพของกายเนื้อให้อยู่ดีจึงเอาแน่เอานอนยาก ปรากฎการณ์ที่ร่างกายผุพังอย่างที่เห็นตอนนี้จึงมิใช่เป็นไปไม่ได้
เทียนหลางจวินขยับชิ้นส่วนร่างกายที่รับกลับคืนไปทีหนึ่ง กล่าวแฝงรอยยิ้มว่า “เป็นที่ขบขนแล้ว จะว่าไปที่พวกข้าสามารถออกมาจากบรรพตน้ำค้างขาว ส่วนหนึ่งก็นับว่าเป็นคุณงามความดีของเจ้ายอดเขาเสิ่นเช่นกัน”
เสิ่นชิงชิวมองดูจู๋จือหลางที่ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ หวนนึกถึงสภาพร่างกายเขาตอนที่เจอกันครั้งแรกที่ป่าน้ำค้างขาว ความจริงก็…เรียกว่าน่าเวทนาจนแทบทนดูไม่ได้เลยทีเดียว แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นตลอดหลายปีที่เทียนหลางจวินถูกกดทับอยู่ใจ้ภูเขาสูง เขากลับไม่เคยออกไปจากบรรพตน้ำค้างขาว ได้หญ้าน้ำค้างมาก็ไม่เอาไว้ใช้เอง กลับใช้เพื่อช่วยเจ้านายสร้างร่างกายขึ้นใหญ่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ช่างคู่ควรแก่การสรรเสริญในความจงรักภักดีจริงๆ
แต่พอหางตาของเสิ่นชิงชิวมองเลยไปเห็นภาพวาดบนฝาผนังภายในสุสานก็กล่าวอย่างขอไปทีว่า “เป็นความดีของสี่..เอ๊ย จู๋จือหลางต่างหาก หลบซ่อนอยู่ที่บรรพตน้ำค้างขาวหลายปี รอจนโอกาสมาถึงในที่สุด มีลูกน้องที่สามารถเช่นนี้ เทียนหลางจวินช่างน่าอิจฉายิ่งนัก”
เทียนหลางจวินถาม “คติพจน์ของหลานชายข้าผู้นี้ ท่านไม่เคยได้ยินมาก่อนหรือ”
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “ย่อมเคย น้ำหนึ่งหยดตอบแทนด้วยน้ำพุทั้งบ่อ”
จู๋จือหลางหน้าแดง ภายใต้แสงเทียนเขียวอื๋อเลยดูพิลึกอย่างมาก เขากล่าวว่า “จวินซั่ง เสิ่นเซียนซือโปรดอย่าล้อข้าเลยขอรับ”
เสิ่นชิงชิวไม่ได้มีเจตนาจะล้อเขาเลย เนื่องจากกำลังใจจดใจจ่อกับภาพวาดบนผนัง ภาพบนผนังนี้สีสันสดใส ฝีแปรงหนักหน่วง แต่มองออกว่าเป็นภาพใบหน้าของผู้หญิงขนาดใหญ่ยักษ์ หันหน้าออกประตูใหญ่ สองตาโค้งลง มุมปากยกขึ้น ซึ่งเป็นสีหน้าที่ฉายให้เห็นถึงความสุขที่ปิดไม่มิด ที่นี่ก็คือตำหนักสุขสันต์ อันเป็นหนึ่งในสามตำหนักของสุสานศักดิ์สิทธิ์ ‘สุขสันต์-โกรธา-จาบัลย์’
เทียนหลางจวินไม่ได้สังเกตถึงท่าทางที่แปลกไปของเสิ่นชิงชิว “เขาก็เป็นเช่นนี้แหละ คิดอะไรแล้วก็ฝังหัว จึงคอยวิงวอนข้ามาตลอดว่าขอให้พาเจ้ามายังภพมาร”
เสิ่นชิงชิวที่งงกับตรรกะนี้มาตลอดเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง มองจู๋จือหลางแวบหนึ่ง “อยากให้ข้ามาภพมารเกี่ยวอะไรกับตอบแทนบุญคุณหรือ”
เทียนหลางจวินพูดสบายๆว่า “ย่อมเกี่ยวข้องกัน เพราะสี่สำนักใหญ่ล้วนไม่อาจปล่อยให้หลงเหลือต่อไปได้ หากตอนนี้เจ้ายอดเขาเสิ่นยังอยู่ที่ชางฉยงซานก็จำต้องรวมอยู่ในข่ายด้วยเช่นกัน จู๋จือหลางย่อมไม่อยากให้ท่านอยู่ที่นั่น”
คำตอบนี้เล่นเอาเสิ่นชิงชิวไปไม่เป็นเลยทีเดียว
เมื่อกี้ยังคิดอยู่เลยว่าคนผู้นี้ดูจะเป็นเจ้านายที่มีเหตุมีผล แต่หลังจากคุยด้วยก็พบว่า แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับบรรดาบอสเล็ก กลาง ใหญ่ที่ตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าจะต้องทำลายล้างโลก เข่นฆ่าฝ่ายธรรมะให้เหี้ยนนั่นเลย
กลับเข้าเรื่องก่อน ชายหนุ่มผู้มีสายเลือดอันสูงส่งถูกผู้ฝึกวิชาเซียนต่างเผ่าพันธุ์สะกดไว้ใต้ภูเขาอยู่นานปี จะเกิดความแค้นก็เป็นเรื่องสมควร เสิ่นชิงชิวพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนสนทนาต่ออย่างให้ความร่วมมือ “ขั้นต่อไปคือล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้หมดสิ้นหรือ”
เทียนหลางจวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงคิดเช่นนี้ ย่อมต้องไม่ใช่อยู่แล้ว ข้าชอบมนุษย์ แต่ไม่ชอบสี่สำนักใหญ่แค่นั้น”
เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ตรงกันข้าม ข้ามีของขวัญจะมอบให้ภพมนุษย์ด้วยซ้ำ”
ถึงไม่รู้ว่าเป็นของขวัญอะไร แต่ต้องไม่ใช่อะไรที่ผูกโบสวยงามให้มนุษย์ดีอกดีใจแน่นอน
เสิ่นชิงชิวกำลังจะหลุดปากคำว่า ‘เชี่ย’ ซึ่งห่างหายไปนานออกมาอยู่แล้ว ทันใดนั้นตัวสุสานกลับเกิดสั่นสะเทือนอย่างไม่คาดฝัน
เศษหินร่วงพรูลงมาจากเพดาน เสิ่นชิงชิวตัวโงนเงนอยู่บ้าง แต่ยังทรงตัวได้อยู่ เหมือนจะได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตบางอย่างคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นจากที่ไกลๆ เขาถามอย่างระแวง “ตัวอะไร”
เทียนหลางจวินเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “มาเร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก” เขาหันไปถามจู๋จือหลาง “เท่าไร”
จู๋จือหลางตอบว่า “อย่างต่ำสองร้อยตัว”
เทียนหลางจวินกล่าวยิ้มๆ “จับได้สิบตัวก็นับว่าไม่ง่ายแล้ว ลำบากเขาแล้วจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวฟังไม่เข้าใจ เห็นทีว่าพวกเขาไม่คิดจะให้ตนรู้เรื่องด้วย
เทียนหลางจวินปัดเศษหินที่ตกลงมาบนไหล่ เอ่ยว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่น หลานชายข้าผู้นี้ นับจากเมื่อห้าปีก่อนก็มุ่งมั่นอยากช่วยท่านตัดขาดจากชางฉยงซาน ไม่ทราบว่าท่านคิดเห็นอย่างไร ท่านเต็มใจจะไปกับเขาหรือไม่”
ถึงขนาดจับตัวมาสุสานแล้วยังจะมีหน้ามาถามทำแป๊ะอะไร แต่เดี๋ยวนะ ห้าปีก่อนอะไร ตัดขาดอะไร
เสิ่นชิงชิวพลันฉุกคิด จึงถามโพล่ง “คนเพาะเมล็ดพันธุ์ที่เมืองจินหลันก็คือโอกาสให้ข้าได้ตัดขาดกับชางฉยงซานใช่หรือไม่”
มาคิดๆดู เหตุผลที่ตอนนี้ตนมีภูเขาทั้งลูกให้กลับก็กลับไปไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่แท้เริ่มต้นจากเมืองจินหลันนี่เอง
(มีภูเขาทั้งลูกให้กลับก็กลับไปไม่ได้ เป็นการเล่นคำของผู้เขียนโดยแผลงมาจากสำนวน มีบ้านให้กลับก็กลับไม่ได้)
เสิ่นชิงชิวซักไซ้ “ตอนนั้นที่คนเพาะเมล็ดพันธุ์ผู้นั้นชี้เป้ามาที่ข้าเป็นการทำตามคำสั่งของพวกท่านใช่หรือไม่”
จู๋จือหลางก้มหน้า
เทียนหลางจวินตบไหล่เข้าเหมือนจะให้กำลังใจ “เรื่องนั้นความจริงแล้วเป็นการทดลองเล็กๆน้อยๆ เพื่อแก้ปัญหาอาหารขาดแคลนในพื้นที่แดนใต้ของเผ่ามาร ไม่นึกว่าเจ้ายอดเขาเสิ่นจะอยู่ที่นั่นพอดี จู๋จือหลางก็แค่อยากให้เจ้ายอดเขาเสิ่นตัดใจจากความคิดที่จะหวนคืนภพมนุษย์เท่านั้นเอง”
เสิ่นชิงชิวถลึงตาใส่จู๋จือหลาง ตกลงแล้ว วิธีตอบแทนบุญคุณคือการให้คนเพาะเมล็ดพันธุ์ป้ายสีฉันอย่างนั้นรึ ปัญญาอ่นรึเปล่า การตอบแทนบุญคุณของอสรพิษแม่งไว้ใจไม่ได้จริงๆ
จู๋จือหลางกล่าวเสียงเบา “เสิ่นเซียนซือ จวินซั่งต้องการกวาดล้างสี่สำนักใหญ่ ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว…ผู้น้อยไม่อยากให้ถึงตอนนั้น…”
เสิ่นชิงชิวข่มความโกรธ ถามว่า “ชิวไห่ถังก็เป็นเจ้าหามารึ”
เทียนหลางจวินกล่าว “ไม่รู้จัก” เขาหันไปมองจู๋จือหลาง
ฝ่ายหลังรีบมองเสิ่นชิงชิว กล่าวชัดเจนว่า “หญิงผู้นั้นมิใช่ผู้น้อยหามาแต่อย่างใด”
เช่นนั้นการที่อยู่ๆ ชิวไห่ถังกับคนเพาะเมล็ดพันธุ์กระหนาบโจมตีเสิ่นชิงชิวพร้อมๆกัน จนทำให้ตนต้องยอมถูกคุมตัวในคุกน้ำของวังฮ่วนฮวาเป็นแค่ความบังเอิญอย่างนั้นหรือ ช่างเถอะ เรื่องมาถึงปานนี้ยังไงก็ไม่มีอะไรแตกต่างแล้ว
เสิ่นชิวชิวซักต่อ “ยังมีสาเหตุอื่นนอกจากนี้อีกหรือไม่”
เทียนหลางจวินตอบว่า “ที่เรียกเจ้ายอดเขาเสิ่นมา ความจริงแล้วเป็นความเห็นแก่ตัวของข้าเอง”
เขากล่าวอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “บุตรชายของข้าผู้นั้น หลายปีมานี้ลำบากเจ้ายอดเขาเสิ่นให้ต้องคอยดูแลจริงๆ”
แม้จะนึกสังหรณ์ใจแต่แรกว่าไม่พ้นต้องเกี่ยวพันกับลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวก็ยังใจเขม็งเกร็งขึ้นมาอยู่ดี เขาฝืนปลุกหลอบกำลังใจให้เข้มแข็ง ถามต่อ “ลั่งปิงเหอหรือ เกี่ยวอะไรกับเขาอีกเล่านี่”
เทียนหลางจวินหัวเราะพรืด ก้มศีรษะกล่าว “จะพูดอย่างไรดีหรือ ข้าพบว่าที่เขารู้สึกต่อเจ้ายอดเขาเสิ่น มันออกจะ…”
คำพูดของเขาคลุมเครือไม่ชัดเจน ถึงขนาดตอบไม่ตรงคำถาม แต่เสิ่นชิงชิวกลับเดาออกได้เป็นฉากๆว่าเขาคิดการใด
นับจากนี้ไปยิ่งเทียนหลางจวินใช้ร่างนี้นานวันเข้า ปราณมารก็จะยิ่งแผ่อานุภาพ พลังฝึกปรือฟื้นคืนมามากขึ้นเรื่อยๆ กายเนื้อก็จะยิ่งเสียหาย ถึงขั้นปะซ่อมทั้งร่าง ไม่ช้าก็เร็วจำต้องหาร่างใหม่ ซึ่งร่างใหม่นี้จะให้ดีที่สุดต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เพื่อจะได้สืบทอดสายโลหิตมารฟ้าต่อไปได้ ยิ่งเป็นเลือดผสมที่ในร่างมีระบบการฝึกปรือทั้งสองขั้วก็จะยิ่งวิเศษ
แล้วจะมีร่างใครที่เหมาะไปกว่าร่างของลั่วปิงเหออีกล่ะ
เสิ่นชิงชิวหรี่ตา “เรียกวิญญาณข้ากลับเข้าร่าง เพื่อชักนำให้เขามาที่สุสานศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เทียนหลางจวินชมเชย “เจ้ายอดเขาเสิ่นช่างปราดเปรื่องจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวเตือนเขาว่า “ลั่วปิงเหอตอนนี้ยังมิได้ครองตำแหน่งเดิมของท่าน ไม่อาจเข้าสุสานศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เขาอยากมาก็มาไม่ได้”
เทียนหลางจวินกลับมีท่าทีเชื่อมั่นในตัวลั่วปิงเหออย่างมาก กล่าวว่า “ขอเพียงเขาต้องการ เป็นต้องหาทางมาได้แน่”
เสิ่นชิงชิวกล่าวช้าๆ “ไม่ว่าท่านคิดจะทำอะไร เขาก็เป็นลูกชายท่านนะ”
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ก็ใช่น่ะซิ”
“ลูกชายแท้ๆของท่านกับซูซีเหยียนนะ”
“เทียนหลางจวินถาม “ดังนั้น?”
ฟังถึงตรงนี้เสิ่นชิงชิวก็เชื่อแล้วในที่สุด
ในไม่กี่ประโยคที่เทียนหลางจวินพูดถึงลั่วปิงเหอ แม้รอยยิ้มไม่จางหาย แต่น้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกถึงความเย็นชาไม่รู้สึกรู้สาอย่างแจ่มชัด
ช่างแตกต่างจากภาพของเทียนหลางจวินในหัวของเสิ่นชิงชิวก่อนนี้ที่รักสงบ อบอุ่น และมั่นคงต่อความรักอันลึกซึ้งราวกับมหาสมุทรนั่นเหลือเกิน ตอนที่เขาพูดถึงซูซีเหยียน น้ำเสียงก็ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ชอบเรียกลั่วปิงเหอว่า ‘ลูกชายของข้าคนนี้’ แต่กลับไม่รู้สึกถึงความรักผูกพันฉันท์พ่อลูกแม้สักนิด
เขาไม่เพียงใม่ใช่ผู้รักสันติ กระทั่งคนที่บูชาความรักก็ไม่ใช่ ทำเอาความคิด(ไปเองฝ่ายเดียว) ที่ฝังหัวมานานของเสิ่นชิงชิวพลังทลายอย่างสิ้นเชิง
ความจริงก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเรื่องรักๆใคร่ๆ สำหรับเผ่ามารนั้นโดยทั่วไปก็เย็นชาเหินห่างอยู่แล้ว พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องปากท้องมากกว่า เน้นการเชิดชูอำนาจ อิทธิพล และกำลังความสามารถ แต่อย่างไรก็ไม่น่าถึงขนาดไม่แยแสกันเลยขนาดนี้นี่นา เสิ่นชิงชิวอึดอัดคับใจขึ้นมานิดหน่อย
ลั่วปิงเหอช่างเป็น…คนที่พ่อไม่โปรดแม่ไม่รักจริงๆ
หม้อก้นดำ*ที่เมืองจินหลัน เสิ่นชิงชิวก็เอาไปสุมบนหัวลั่วปิงเหอเต็มๆ
(หม้อก้นดำ หมายถึง ความผิดที่ไม่ได้ก่อ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง)
เด็กคนนี้ถูกปรับปรำจนต้องคับแค้นใจอยู่นาน จะแก้ต่างกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล ก่อนหน้าไม่นาน ตอนที่พวกเขาจะแยกจากกัน เสิ่นชิงชิวยังใช้คำพูดโหดร้ายทิ่มแทงใส่ลั่วปิงเหออยู่เลย
เขาไม่ชอบใจเทียนหลางจวิน แต่คิดใคร่ครวญดูแล้ว ตนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนผู้นี้เท่าไหร่เลย บาดแผลที่เขาทำร้ายลั่วปิงเหอรุนแรงสาหัสยิ่งกว่าที่เทียนหลางจวินผู้เป็นพ่อของลั่วปิงเหอกระทำซะอีก
ในตำหนักเพิ่งจะตกอยู่ในความเงียบ เสียงคำรามของสัตว์นับร้อยระลอกที่สองก็ดังกัมปนาทขึ้น ทำลายความเงียบสงบลง แรงสั่นสะเทือนคราวนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เกือบถึงระดับฟ้าถล่มดินทลายเลยทีเดียว ฝ่าเท้าเสิ่นชิงชิวก็ยืนหยัดไม่อยู่แล้ว เขาใช้มือข้างหนึ่งเกาะโลงไว้ “มีใครบอกข้าได้ไหมว่านี่มันเกิด…”
ยังไม่ทันจะได้กล่าวอะไรต่อ เพดานตำหนักที่ฝังอัญมณีมีค่าไว้เต็มพรืดก็ร่วงลงมาทั้งกระบิ
คนทั้งสามในตำหนักล้วนมีปฏิกิริยารวดเร็วยิ่ง หลบออกมาเสียห่าง เสียงหนึ่งดังกึกก้อง บางสิ่งบางอย่างที่มีน้ำหนักมหาศาลร่วงโครมลงมา ณใจกลางตำหนัก ท่ามกลางฝุ่นควันฟุ้งตลบและแสงแวววาบวูบวาบของอัญมณีก็ปรากฏร่างใหญ่ยักษ์ขึ้น
ลั่วปิงเหอยืนอยู่บนหัวของสัตว์ตัวใหญ่มหึมาสีดำ เสื้อสีดำสะบัดพลิ้วกลางฝุ่นขาว กระบี่ซินหมัวที่สะพายอยู่บนหลังดีดกายออกจากฝัก สองตาแดงฉานที่กำลังมองลงมาเปี่ยมรังสีสังหาร
สัตว์หัวใหญ่มหึมาตัวนั้นมองแวบแรกดูเหมือนแรด บนหัวมีนอเดียวโค้งงอราวกับจันทร์เสี้ยว แต่พออ้าปากกว้างกลับพ่นงูเหลือมสีชาตตัวหนึ่งออกมาจากโพรงปากสีแดงสดปานโลหิต งูเหลือมนั้นขดตัวเป็นวง เสียงคำรามของแรดผสมกับเสียงร้องของงูเหลือมดังสนั่นหวั่นไหวชวนหวาดผวา
สีดำ! พระจันทร์! งูเหลือม! แรด! จริงๆด้วย
แรด+สีดำ+งูเหลือม+วงพระจันทร์ ที่แท้แรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์ตัวนี้ถือกำเนิดจากสี่องค์ประกอบทื่อๆนี่เอง สไตล์การตั้งชื่อของไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีนี่เคยเป็นยังไงก็เป็นยังงั้นจริงๆ
จู๋จือหลางรีบเอาตัวเข้ามาบังหน้าเทียนหลางจวินทันทีอย่างรับผิดชอบในหน้าที่ ทั้งขวางหน้าเสิ่นชิงชิวไปด้วยในคราวเดียว
แวบแรกที่เสิ่นชิงชิวเห็นลั่วปิงเหอ ก็หลบฉากไปอยู่หลังจู๋จือหลางโดยไม่รู้ตัว นี่ไม่ใช่เพราะจะหลบลั่วปิงเหอ หากแต่เพราะความละอายใจ ไม่มีหน้าไปมองเขานั่นเอง ยิ่งไม่กล้าคิดด้วยซ้ำว่าตอนที่ลั่วปิงเหอต้องมองตนสิ้นลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งที่สองจะมีความรู้สึกเช่นไร เลยได้แต่ปิดหูปิดตาตัวเองไปตามสัญชาตญาณ ทำเป็นว่าไม่เห็นเสีย ใจจะได้ไม่ปั่นป่วนสับสน
เทียนหลางจวินเลิกคิ้ว ท่าทางเช่นนี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับลั่วปิงเหอมาก “ทุ่มเทจับตัวแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์สองร้อยตัวมาทำลายเขตอาคมของสุสานศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายอดเขาเสิ่น ลูกชายของข้าคนนี้ ช่างดีต่อท่านไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวโต้แย้งไม่ออก ในนิยายดั้งเดิมนี่คือสัตว์มารหายากที่สามารถฉีกฝ่าได้กระทั่งห้วงอเวจี แต่ลั่วปิงเหอกลับสามารถจับพวกมันมาได้ถึงสองร้อยตัวในคราวเดียว เพื่อใช้บุกทะลวงสุสานศักดิ์สิทธิ์
หลังจากฝุ่นควันหายตลบ เสิ่นชิงชิวจึงค่อยเห็นถนัดตาว่าลั่วปิงเหอบุกมาสุสานศักดิ์สิทธิ์เพียงลำพังเท่านั้น
สุสานศักดิ์สิทธิ์เป็นพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่ต้องห้ามด้วย ไม่ว่าจะชาวเผ่ามารคนไหนล้วนเคารพยำเกรง ไม่กล้าล่วงละเมิด นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความเชื่อ ใครก็ไม่กล้าติดตามลั่วปิงเหอเข้ามา เขาจึงต้องมาแต่เพียงลำพัง
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “น่ายกย่องในความหาญกล้ายิ่งนัก เจ้ามาคนเดียวน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่ควรเอาเจ้าปลาน้อยสองตัวเข้ามาด้วย”
สีหน้าลั่วปิงเหออึมครึมยามกระโดดลงจากหัวแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์ สัตว์ใหญ่ยักษ์ตัวนั้นดูราวกับเรี่ยวแรงเหือดหายหมดสิ้น ยันไม่ไหวอีกต่อไป ล้มลงกับพื้นดังโครม ลั่วปิงเหอจับจ้องเสิ่นชิวชิวเขม็ง ดวงตาราวกับดอกไม้ไฟแตกพร่าง สีหน้าทั้งเกรี้ยวกราดและดูเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เสิ่นชิงชิวตระหนักทันที เมื่อกี้ที่เขาหลบแวบไปอยู่หลังจู๋จือหลาง มันต้องดูแล้วเหมือนทำเพราะเกลียดขี้หน้าลั่วปิงเหอเป็นแน่
จะอธิบายตอนนี้ก็สายไปแล้ว ที่ยืนอยู่ตรงนี้น่ะเป็นพ่อของพระเอกที่แม้กระทั่งตัวนักเขียนยังลงตรารับรองว่าสามารถเอาชนะพระเอกได้ในทุกๆด้านเลยนะ ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็ตะโกนว่า “กลับไปเสีย”
ลั่วปิงเหอไม่ตอบ เพียงยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ขว้างกระบี่ซิวหย่าออกมา พอเห็นเสิ่นชิงชิวรับไว้แล้ว จึงค่อยหันหน้าไปมองสองคนที่เหลือในสุสาน กักปราณมารเข้มข้นสองลูกไว้ในมือ เคลื่อนไหวท่าร่างอย่างรวดเร็วแล้วจู่โจมออกไปทันที
มาถึงก็ปะฉะดะเลยรึ
มือซ้ายของลั่วปิงเหอต่อยเข้าที่ท้องน้อยของจู๋จือหลางโดยไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อย ทำเอาอีกฝ่ายกระเด็นออกไป ส่วนมือขวานั้นต่อยเทียนหลางจวิน
เสิ่นชิงชิวเคร่งเครียดกระวนกระวาย จ้องมองไม่ยอมให้คลาดสายตา
เทียนหลางจวินรับหมัดไว้ได้ ก้าวเดียวก็ไม่มีผงะถอย พลิกมือมาปาดไหล่ลั่วปิงเหอเบาๆทีหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวสาบานได้เลยว่าเขาได้ยินเสียงกระดูกหักดังกร็อบมาจากร่างลั่วปิงเหอ
ราวกับจะยืนยันในสิ่งที่เสิ่นชิงชิวได้ยิน ลั่วปิงเหอกะพริบตา อยู่ๆเลือดก็พุ่งทะลักจากปากโดยไม่มีวี่แวว
คาง คอ และแผ่นอกเขาเปราะไปด้วยเลือดสีแดงสด และยังมีที่หยดลงพื้นติ๋งๆอีกด้วย ลั่วปิงเหอเช็ดมุมปาก ดูจะงุนงงอยู่บ้าง
ว่ากันตามจริง เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกทำร้ายจนเลือดตกยางออกมานานแล้ว
ไหน! วะ! กฎ! ที่! บอก! ว่า! พระเอก! มี! ร่าง! ทอง! คำ! ไม่! แตก! ไม่! หัก! ไง!
ไม่เล่นพ่อแต่มาเล่นลูกแทนแล้วรึ!
เทียนหลางจวินแค่ตบไหล่ลั่วปิงเหอเบา ๆ ทีเดียว แขนข้างที่ใช้ตบก็หลุดออกมา เขาขมวดคิ้ว
จู๋จือหลางรีบเก็บขึ้นมาให้ทันที ประคองส่งให้ด้วยสองมือ
ลั่วปิงเหอไม่สนใจจะเช็ดเลือดด้วยซ้ำ นัยน์ตาลุกวาบ ตวัดมือกุมซินหมัวที่สะพายอยู่ข้างหลัง
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “กระบี่ดีนี่ แต่เสียดายที่เอามาใช้มั่วซั่ว”
ลั่วปิงเหอกดเสียงต่ำกล่าวกับเสิ่นชิงชิว “ไปกับข้า”
จู๋จือหลางกล่าวว่า “สายไปแล้ว แรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์สองร้อยตัวนั่นแค่เอามาใช้เปิดเขนอาคมของสุสานศักดิ์สิทธิ์ได้ชั่วคราว พอให้เจ้าเข้ามาได้เท่านั้น”
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเข้ม “เช่นนั้นก็ใช้เลือดของพวกเจ้าสองคนมาสังเวยให้มันเปิดออกอีกครั้งก็แล้วกัน”
ใครจะไปนึกว่ากระบี่ซินหมัวยังไม่ทันออกจากฝักจนหมดก็สอดกลับคืนลงฝักไปอีกครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าเทียนหลางจวินไปอยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่ตอนไหน ใช้นิ้วเดียวกดกระบี่ไว้ในฝัก ไม่ปล่อยให้เขาชักออกมาได้
ทว่าลั่วปิงเหอก็ตั้งตัวได้เร็วมากหมุนตัวไปโจมตีทันที นึกไม่ถึงว่าต่อให้รวดเร็วขนาดไหน ทุกครั้งซินหมัวกลับออกมาได้อย่างมากแค่สามชุ่นแล้วถูกกดกลับลงไปใหม่ทันที เป็นเช่นนี้อยู่สองสามรอบ
เทียนหลางจวินเหมือนหมดความสนใจจะเล่นสนุกกับเขาแล้ว ไม่สนใจซินหมัวอีก หากแต่พลิกฝ่ามือกลับไปที่ขม่อมเขาแทน
ลั่วปิงเหอเบิกตากว้างทันใด ปราณมารเข้มข้นสีม่วงคล้ำตลบหนึ่งลอยวนรอบๆบริเวรขม่อมเขา
เทียนหลางจวินยกมือขึ้น มองดูใบหน้าขาวผุดผ่องปานหิมะของลั่วปิงเหอ พิจารณาอย่างไม่ลำเอียง “เหมือนแม่เขา”
เสียงเย็นเยือกดังขึ้นข้างๆ “ดวงตาเหมือนท่าน”
เทียนหลางจวินค่อยๆหันไปมอง กระบี่ซิวหย่าวาวบับแผ่รังสีเย็นยะเยียบ พาดขวางอยู่ที่คอจู๋จือหลาง
เสิ่นชิงชิวกล่าวยิ้มๆ “ลูกน้องที่ดีปานนี้ หลานชายที่รู้ใจปานนี้ หากเสียไปไม่คุ้มหรอก เทียนหลางจวนจะพิจารณาสักหน่อยไหม”
จู๋จือหลางกล่าวเสียงเบา “จวินซั่ง บ่าวเผอเรอไปครู่เดียวเท่านั้น”
ขนาดแค่ ‘เผอเรอไปครู่เดียว’ ยังจัดการยากขนาดนี้ เสิ่นชิงชิวต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงสุดสังขารทีเดียวถึงสยบเขาได้ จู๋จือหลางผู้นี้ขนาดตอนไม่แปลงร่างเป็นงูก็ลื่นซะจนจับแทบไม่อยู่พอๆกัน
เทียนหลางจวินกล่าวเสียงเรียบเรื่อยว่า “จู๋จือหลางออกจะโง่งมอยู่บ้าง ทั้งยังจิตใจเปราะบาง ท่านทำเช่นนี้ต่อเขา เขาจะหัวใจสลายเอานะ”
จู๋จือหลางกล่าวเสียงแผ่ว “จวินซั่ง ข้า…ข้าไม่ได้โง่…”
เสิ่นชิงชิวกล่าวทีเล่นทีจริง “จิตใจข้าไม่เปราะบางสักนิด แต่ท่านทำเช่นนี้ต่อลูกศิษย์ข้า ข้าก็หัวใจสลายเช่นกัน ท่านปล่อยลูกศิษย์ข้า ข้าก็จะปล่อยหลานชายท่าน เป็นอย่างไร”
เทียนหลางจวินแบมือ “เกรงว่าข้าจะไม่ได้โอกาสนี้น่ะซิ”
ฝ่ามือของเสิ่นชิงชิวชื้นไปด้วยเหงื่อ แต่เสียงกลับสงบนิ่งอย่างมาก “ข้ากำลังจะให้โอกาสนี้แก่ท่านไงล่ะ”
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ข้าหมายถึงว่าจู๋จือหลางจะไม่ให้โอกาสข้าต่างหากเล่า”
ไม่ทันขาดคำ จู๋จือหลางก็เป็นฝ่ายเอาตัวพุ่งเข้าหาปลายกระบี่ของเสิ่นชิงชิวเสียเอง!
การพุ่งอย่างแรงนี้ เป็นการพุ่งโดยไม่คิดชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำเพื่อตบตาแม้แต่น้อย
เสิ่นชิงชิวตกใจ ชักกระบี่ออกโดยไม่รู้ตัว เพียงชั่วอึดใจที่ปลายกระบี่เบนออก จู๋จือหลางก็ฉวยจังหวะนี้สลัดหลุดวาบกลับไปอยู่ข้างกายเทียนหลางจวินทันที
เทียนหลางจวินทำหน้า ‘เห็นไหมเล่า’ กล่าวยิ้มๆ “ข้าบอกท่านแล้ว จู๋จือหลางออกจะโง่งมอยู่บ้าง หากใช้เขามาข่มขู่ข้า เขาก็จะยอมตายเสียเอง เจ้ายอดเขาเสิ่นอย่าได้ดูเบาเขาเด็ดขาด”
เสิ่นชิงชิวอยากกระอักเลือดนัก ในฐานะตัวประกันกล่าวได้ว่าจู๋จือหลางไม่มีราคาค่างวดอะไรเลยจริงๆ ไม่เพียงจัดการยาก กว่าจะจับตัวได้ก็ไม่ง่าย ทั้งไม่ช่วยให้เกิดความภูมิใจในความสำเร็จสักนิด
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ในเมื่อหลานชายข้าได้รับความกระทบกระเทือนใจ สมควรทวงคืนเอากับร่างของลูกศิษย์เจ้ายอดเขาเสิ่นแล้ว” พูดพลางงอห้านิ้วเข้าหากัน
ลั่วปิงเหอแค่นเสียงทีหนึ่ง หางตามีเลือดไหลออกมา แต่ยังคงเพียรกลอกตามาทางเสิ่นชิงชิวอย่างยากลำบาก
ลั่วปิงเหอข่มเลือดในปาก พยายามกล่าว “…ไป…ไปที่ไนก็ได้…อย่าอยู่ที่นี่!”
เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ขว้างกระบี่ซิวหย่าไปข้างหน้า แสงขาววาบราวกับสายฟ้าพุ่งเข้าแทงเทียนหลางจวิน
อีกฝ่ายเพียงเบนศีรษะเล็กน้อย ปลายกระบี่ก็เฉียดผ่านแก้มพุ่งเข้าไปปักภาพวาดบนผนังเสียงดังเคร้ง
เทียนหลางจวินเอ่ยว่า “ไม่ค่อยแม่นเท่าใดนะ”
เสิ่นชิงชิวค่อยๆชักมือกลับมา มุมปากยกโค้งขึ้น “แม่นมากต่างหาก ใจกลางเป้าพอดี”
เทียนหลางจวินชะงักเล็กน้อย หันขวับไปมองทันที เห็นเพียงกระบี่ซิวหย่าปักฉึกเข้าที่ดวงตาข้างหนึ่งบนใบหน้าของสตรีในภาพที่กำลังยิ้มน้อยๆ ความจริงดวงตานี้เป็นอัญมณีที่ฝังไว้ บัดนี้แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงจากผนังหินลงมาเปล่งประกายระยิบระยับอยู่ที่พื้น
หญิงผู้นั้นเห็นอยู่ว่าเป็นเพียงแค่ใบหน้าที่วาดไว้บนผนัง ทว่ามุมปากค่อยๆยกโค้งขึ้นเรื่อยๆ จนดูคล้ายกำลังหัวเราะอย่างมีความสุข มุมปากที่ฉีกยิ้มไปจนเกือบถึงใบหูดูราวกับผู้หญิงที่แสยะยิ้มกว้างจนปากฉีก
จู่ๆเสียงหัวเราะแหลมสูงสุดจะบรรยายของผู้หญิงดังขึ้น
เสียงหัวเราะนี้ดังออกมาจากปากของผู้หญิงบนภาพวาด
ตำหนักสุกสันต์มีกลไลป้องกันขโมยอยู่ บนผนังที่ฝังอัญมณีไว้เต็มพรืด ขอเพียงท่านแกะออกมาสักก้อน ก็จะถูกคลื่นเสียงของนางมารแห่งตำหนักสุขสันต์สังหารจนตายทั้งเป็น
เสียงหัวเราะนี้มีผลต่อเผ่ามารโดยเฉพาะ ยังไงซะวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อเอาไว้ป้องกันคนของเผ่ามารที่ลอบเข้ามาขโมยของในสุสานนั่นเอง เพราะพวกมนุษย์ทั่วไปก็คงไม่มีใครว่างจัดจนไม่มีอะไรจะทำหรือขวัญกล้าพอที่จะเข้ามาปล้นสุสานอยู่แล้ว
หลังจากได้ยินเสียงนี้หัวใจกับสมองจะปั่นป่วนคลุ้มคลั่งไม่หยุด ปวดแสบปวดร้อนเป็นระลอกชนิดฟ้าดินหมุนพลิกกลับ หูตาพร่าลาย
จู๋จือหลางทนไม่ไหวยกมือขึ้นปิดหู
เทียนหลางจวินก็เอามือข้างหนึ่งบีบขมับ
เสิ่นชิงชิวเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ฉวยจังหวะในชั่วพริบตานี้ ยกมือซ้ายขึ้น กระบี่ซิวหย่าตอบรับด้วยการกลับคืนฝักเดี๋ยวนั้น ขณะที่มือขวาคว้าตัวลั่วปิงเหอได้ก็ออกวิ่งทันที
พอโผเข้าไปในห้องสุสานห้องหนึ่งได้ สิ่งแรกที่เสิ่นชิงชิวทำคือดึงกลไลประตูลงมาปิดตาย! เสียงก้อนหินขนาดใหญ่ยักษ์ร่วงพื้นโครม ฝุ้นฟุ้งตลบ เขาหาเจอแต่กลไกปิดประตู แต่กลไกเปิดประตูกลับหาไม่เจอ แต่เปิดไม่ออกได้เป็นดีที่สุด เขาเพิ่งคิดเช่นนี้อย่างวางใจ พอหันไปมองก็แทบเข่าทรุดลงไปเดี๋ยวนั้น
มือข้างหนึ่งของจู๋จือหลางถูกเขาจับไว้แน่น อีกฝ่ายกำลังยืนมองเขาตาปริบๆ
นี่เขาทำเชี่ยอะไรลงไป ดันทิ้งลูกที่กำลังถูกพ่อทารุณกรรมอยู่ฝ่ายเดียวไว้ในตำหนักสุขสันต์ซะงั้น เขาทำพลาดไปแล้วจังเบ้อเร่อ ข้างในนั้นกำลังจะเกิดอาชญากรรมอยู่แล้วนะ
เสิ่นชิงชิวสะบัดมือหมุนกายหมายฟาดประตูหิน แต่จู๋จือหลางคว้าตัวเขาไว้ “เสิ่นเซียนซือ ท่านอย่ากลับเข้าไปเลย อยู่ต่อหน้าจวินซั่ง ลั่วปิงเหอไม่มีทางชนะหรอก”
เสิ่นชิงชิวอยากเป็นลม ใกล้กันขนาดนี้ ทำไมถึงคว้าผิดคนได้วะ นี่ต้องโทษเสียงหัวเราะของผู้หญิงบนผนังที่มีอานุภาพรุนแรงเกินไป ภายใต้แสงสีเขียวสลัวมัว แถมทั้งสามคนก็ดันใส่ชุดดำที่แทบหาความต่างไม่เจออีก เพราะเป็นญาติกันเลยชอบอะไรคล้ายกันอย่างนั้นรึ
จู๋จือหลางกล่าวว่า “มิใช่เสิ่นเซียนซือคว้าผิดคนหรอก ข้าเป็นคนสับเปลี่ยนมือที่ท่านคว้าไว้เอง”
เสิ่นชิงชิวฟาดประตูหินทีหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว “ที่จริงข้าคิดจะไปกับลั่วปิงเหอหรอกนะ”
จู๋จือหลางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “เสิ่นเซียนซือ ท่านกับเขามิใช่…กันไปแล้วหรอกหรือ”
“…” พูดกับคนพวกนี้ไม่รู้เรื่องจริงๆ
เสิ่นชิงชิวยกมือขึ้นเป็นเชิงให้เขาปิดปาก หมุนกายเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆก็รู้สึกว่าพื้นใต้เท่าไม่ราบเรียบ จู๋จือหลางเดินตามมา เขารีบทำมือเป็นเชิงห้าม
“อย่าขยับ”
ใบหน้าใหญ่ยักษ์ของสตรีแผ่เต็มพื้นด้านหน้าตำหนัก และพวกเขากำลังเหยียบอยู่บนหูของใบหน้านี้
ใบหน้านี้ดูไม่เหมือนกับใบหน้าสตรีของตำหนักสุขสันต์ ปราศจากความงดงามอ่อนหวาน หากแต่เกรี้ยวกราดดุดัน เบ้าตาพองโปน ตาหยีจมูกบาน เรียกได้ว่าอัปลักษณ์สุดๆ ไม่ต่างอะไรกับนางยักษ์ขมูขี
เสิ่นชิงชิวกล่าวเตือน “อย่าเหยียบหน้า”
จู๋จือหลางจนคำพูด “…”
บนพื้นตรงนี้ทั้งหมดก็เป็นใบหน้าทั้งหน้าแล้ว ไม่ให้เหยียบแล้วจะไปเหยียบที่ไหน…
สุขสันต์ โกรธา จาบัลย์ สามตำหนักนี้อยู่เรียงกัน หลังจากฝ่านตำหนักสุขสันต์มาแล้ว ที่อยู่ติดกันก็คือ ‘ตำหนักโกรธา’ นั่นเอง
ในนิยายดั้งเดิมตอนที่ลั่วปิงเหอเที่ยวชม(ยกเค้า) สุสานศักดิ์สิทธิ์ ยามฝ่าด่านนี้ เขาใช้วิธีเหยียบลงบนตำแหน่งบางตำแหน่ง แต่เสียดายที่เสิ่นชิงชิวจำไม่ได้ว่าเขาเหยียบลงบนตำแหน่งไหน หากไม่ระวังให้ดีแล้วเหยียบพลาด กลไกป้องกันขโมยจะทำงานทันที จะท่องกระบี่ก็ไม่ได้อีก ขอแค่ผ่านใบหน้านี้ไปในแนวตั้ง ก็ถือว่าเหยียบเหมือนกัน
พูดง่ายๆคือ เวลาถูกคนเหยียบหน้าก็ต้องโกรธอยู่แล้วใช่ไหม นี่แหละถึงได้ ‘โกรธา’
ที่เขากล้าเข้ามาในนี้ เพราะนึกว่าที่คว้าตัวมาได้คือลั่วปิงเหอ ฝ่ายนั้นจะต้องรู้ตำแหน่งที่ต้องเหยียบแน่ ใครจะไปรู้ว่างูมันจะลื่นปรี๊ดขนาดนี้ แผล็บเดียวก็เปลี่ยนตัวได้แล้ว
พื้นผิวร้อนขึ้นเรื่อยๆ แก้มของสตรีบนพื้นก่อนนี้ก็เป็นสีแดงอยู่แล้ว บัดนี้ค่อยๆแดงก่ำจนกลายเป็นสีเลือดหมู
เสิ่นชิงชิวที่ยอบกายลงลองทดสอบอุณหภูมิก็ต้องชักือกลับแทบไม่ทัน พื้นตอนนี้ร้อนลวกราวกับถ่าน คนที่ยืนอยู่ก็เป็นเนื้อบนกระทะเหล็กร้อนๆนั่นเอง เกรงว่าตอนนี้พวกเขาคงเผลอเหยียบลงไปบนหน้าไม่รู้กี่ก้าวแล้ว
เสิ่นชิงชิวถอยหลัง พยายามไปอยู่ชิดขอบให้มากที่สุด
ทันใดนั้นของเหลวสีแดงเจือประกายสีทองก็ฉีดพุ่งออกมาจากพื้นราวกับน้ำพุ
จู๋จือหลางกลับคืนร่างเดิมทันควัน กลายเป็นงูเกล็ดสีเขียวดวงตาสีเหลืองทองวาววับ ขดตัวอยู่กับพื้น จากนั้นยกลำตัวตั้งตรง ชูหัวส่งเสียงฟ่อสูงขนาดคนสี่คนยืนต่อกันเห็นจะได้ เขาม้วนเอาเสิ่นชิงชิวเข้าไปอยู่ในเกราะที่เป็นเกร็ดหน้า เขี้ยวขาววับอยู่ห่างจากหัวกบาลของเสิ่นชิงชิวแค่เส้นยาแดงผ่าแปด ยามที่ดวงตาสีเหลืองทองคู่โตจ้องมองมาในระยะประชิดยิ่งดูแปลกตาเป็นที่สุด
เทียนหลางจวินพูดถูก จู๋จือหลางออกจะโง่งมอยู่บ้างจริงๆ คราวก่อนที่โดนเขารมด้วยสุราสยงหวงจนหมดสภาพนี่ไม่รู้จักจำรึไง เมื่อกี้ถูกเขาเอากระบี่จ่อคอก็ไม่ยักเข็ด แล้วพอมาเจอสถานการณ์แบบนี้ก็ยังคิดปกป้องเขาจนถึงที่สุดอีก ทำเอาเสิ่นชิงชิวละอายขึ้นมาเลยทีเดียว
ทันใดนั้นเกิดเสียงดังกึกก้อง ผนังด้านหนึ่งของตำหนักโกรธาพังครืนลงมา
ท่ามกลางควันโขมง เทียนหลางจวินสะบัดข้อมือพลางย่ำมาตามเศษซากหินระเกะระกะก้าวเข้ามาภายในตำหนักโกรธา ก่อนเอ่ย “ไม่รู้ข้าคิดไปเองหรือไม่ เจ้ายอดเขาเสิ่นดูจะคุ้นเคยกับสุสานศักดิ์สิทธิ์ดีกว่าข้าเสียอีก”
จู๋จือหลางแปลงร่างกลับเป็นคน ร้องเสียงหลง “จวินซั่ง อย่าเข้ามาขอรับ”
เทียนหลางจวินยังไม่ทันทำหน้าเป็นเชิงถามด้วยซ้ำ ก็เหยียบลงบนใบหน้าของสตรีผู้นี้ไปแล้วเจ็ดแปดก้าว
เสิ่นชิงชิวและจู๋จือหลางพูดไม่ออก “…”
แท่งลาวาขนาดสี่คนโอบพวยพุ่งขึ้นฟ้า เทียนหลางจวินถูกเปลวไฟกลืนหายไปชั่วพริบตา
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสิ่นชิงชิวหัวเราะในใจอย่างบ้าคลั่ง ใครใช้ให้แกไม่ฟังคนพูดให้จบล่ะ ใครใช้ให้แกทำร้ายลูกตัวเองล่ะ ไอ้ขี้เก๊ก เก๊กเข้าไปให้เต็มที่ เก๊กนักต้องเจอดีแบบนี้แหละ!
แต่ต่อมาก็ต้องกลืนเสียงหัวเราะในใจลงไป ลั่วปิงเหอเดินตุปัดตุเป๋ตามหลังมาติดๆจากตำหนักสุขสันต์ และถลันเข้ามาตรงนี้เช่นกัน แขนข้างหนึ่งของเขาห้องต่องแต่ง ดูท่าจะหัก เลือดไหลจากศีรษะมาตามพื้นเป็นทาง ดวงตาข้างหนึ่งลืมไม่ขึ้นไปแล้ว
อนาถมาก อนาถเสียยิ่งกว่าตอนโดนเสิ่นชิงชิวออริจินอลซ้อมตอนที่เข้าเพิ่งมาโลกนี้ใหม่ๆด้วยซ้ำ ร่างกายของลั่วปิงเหอนี่มันยังไงกัน ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงชอบใช้ความรุนแรงมาสั่งสอนกันนัก ไม่ได้มาจากไป่จั้นเฟิงกันซะหน่อย
จู๋จือหลางมัวแต่วิ่งวุ่นหัวปั่นอยู่กับเสาเพลิงแท่นนั้นเกินกว่าจะมาสนใจผู้อื่น
ลั่วปิงเหอพิจารณาสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตำหนักแล้วก้มมองพื้นอีกครั้ง กระโดดลงจากซากกองหิน เพียงชั่ววูบก็เดินออกมาห้าหกก้าวถึงตรงหน้าเสิ่นชิงชิว
ไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลย ไรวะ เขามองทีเดียวก็รู้เลยเหรอว่าต้องเดินยังไงถึงไม่ชักนำกลไกให้ทำงาน
ลั่วปิงเหอราวกับล่วงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงกล่าวรวบรัดสั้นๆ “เดินตามตำแหน่งชีพจรบนหน้า”
ระหว่างนั้นพวกเขาก็เดินทะลุตำหนักโกรธาเข้ามาอีกชั้นหนึ่งแล้ว ตอนที่ประตูกลที่ทำจากหินร่วงลงมา เสิ่นชิงชิวอดมองลั่วปิงเหอให้ถนัดตาไม่ได้ เอาให้แน่ใจว่าคราวนี้ไม่ผิดฝาผิดตัวอีก
เสิ่นชิงชิวยืนอยู่ขอบๆตำหนัก ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ
นางมารผู้เป็นเจ้าของตำหนักจาบัลย์ประทับมั่นอยู่สูงเหนือศีรษะ เมื่อเงิยหน้าขึ้นมองก็เจอเข้ากับใบหน้าสตรีที่หัวคิ้วขมวดมุ่น จมลึกอยู่ในความโศกศัลย์อาดูร พอสำเหนียกได้ว่ามีผู้บุกรุก ใบหน้านั้นก็ลืมตาขึ้นฉับพลัน องคาพยพบนหน้าย่นยู่ สีหน้ายิ่งดูเศร้าระทมขึ้นไปอีก แรกเริ่มเป็นหยดน้ำไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาทั้งสองก่อน ไม่นานนักก็กลายเป็นฝนตกซู่ลงมาจากทั่วทั้งเพดาน
เขากำลังจะร้องเตือนว่าฝนที่ตกมานี้คือน้ำเหลืองจากซากศพ อย่าให้โดนตัว
ลั่วปิงเหอก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังให้เขา ก่อนพาพวกเขาทั้งคู่ตรงฝ่าออกไป
เสิ่นชิงชิวเผลอไปครู่เดียวก็ถูกพาตัวฝ่าด่านไปอย่างเร็วจี๋เช่นนี้แล้ว
เส้นทางที่ลั่วปิงเหอในนิยายดั้งเดิมเดินฝ่าสุสานเป็นเส้นทางที่ต้องใช้ทักษะวิชาขั้นสูง แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไมวิธีที่เขาใช้กลับง่ายและหยาบเกินไปหน่อย
ด่านสามตำหนักสุขสันต์-โกรธา-จาบัลย์ เขียนออกมาเป็นความยาวถึงสองแสนตัวอักษร เวลานี้ถูกเปลี่ยนจนเหลือความยาวไม่ถึงหนึ่งบทด้วยมั้ง ด่านตำหนักจาบัลย์ที่ลากยาวไปตั้งสิบบทกว่าจะจบ ตอนนี้เป็นไงล่ะ สามบรรทัดยังไม่ถึงด้วยซ้ำ
ระบบเข้ามาติ๊งข้อความ [หั่นเนื้อหาส่วนที่เป็นน้ำออกให้เนื้อเรื่องกระชับขึ้น เพิ่มค่า B 100 คะแนน]
กระชับไปมั้ย!
หลังทั้งคู่รอดพ้นจากตำหนักทั้งสามแล้ว ก็เป็นทางเดินในสุสานอันเงียบและมืดสนิท พอห่างจากตำหนักจาบัลย์ได้ระยะหนึ่ง เปลวไฟสีเขียวก็ค่อยๆ สว่างเรืองขึ้นทีละแถวไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
กลไกป้องกันขโมยของสุสานศักดิ์สิทธิ์มีอยู่แทบทุกหนแห่ง โรคจิตวิปริตสิ้นดี เทียนปราณมรณะที่มีให้เกลื่อนไปทุกที่ราวกับผลิตโดยไม่ต้องใช้ต้นทุน
ผีดิบตาบอดซึ่งเดิมทีตระเวนอยู่ตามทางเดินในสุสานเรียงเข้ามากันเป็นสาย แต่พอลั่วปิงเหอแค่ยกมือข้างหนึ่งด้วยสีหน้ากระด้าง เย็นชาและเหลืออดเท่านั้นแหละ พวกมันก็หัวซุกหัวซุนถอยกลับเข้าไปในความมืด ลำคอเปล่งเสียงครางฟืดฟาดอย่างไม่ยินยอม
ลั่วปิงเหอไม่มองเสิ่นชิงชิวสักแวบก็ชักมือกลับ แล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ”
เสิ่นชิงชิวสังเกตว่าหน้าของลั่วปิงเหอเป็นสีแดงจัด เมื่อยู่ภายใต้แสงเทียนเขียวอื๋อก็ดูสะดุดตาอย่างมาก ไม่ใช่เพราะกำลังขัดเขินแน่นอน ก่อนหน้านี้ทุกครั้งที่ลั่วปิงเหอจับตัวเสิ่นชิงชิวได้จะจ้องหน้าเขาอย่างแน่วแน่ ผิดกับครั้งนี้ที่ไม่ยอมมองเลย ทุกครั้งที่เผลอสบตาเขาก็จะเบนหลบ ใช้มือซ้ายข้างที่หักเช็ดเลือดที่หางตาโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่แน่ใจว่าลั่วปิงเหอถูกพิษหรือถูกซ้อมจนเลือดคั่งในสมองกันแน่ แต่เห็นฝีเท้าลั่วปิงเหอยังมั่นคงดีอยู่ ไม่คล้ายเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ขณะกำลังจะอ้าปากถามไถ่อาการ จู่ๆลั่วปิงเหอก็ถามขึ้นว่า “ร่างนี้ปราณทิพย์ไหลเวียนดีหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวคาดไม่ถึงว่าเขาจะถามเช่นนี้เป็นประโยคแรก ก็ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “เป็นปกติดี”
ดูเหมือนว่าทุกครั้งที่ตกอยู่ในความเงียบ ผู้ที่ทำลายความเงียบขึ้นก่อนล้วนเป็นลั่วปิงเหอ เขานึกขึ้นมาได้ว่าชีพจรทิพย์ของร่างนี้เป็นลั่วปิงเหอที่ทุ่มเทเวลาถึงห้าปีค่อยๆซ่อมแซมทีละนิดจนกลับมาเหมือนเก่า
ลั่วปิงเหอพยักหน้า
“ดีแล้ว อีกร่างหนึ่งนั้น ข้าเผ้ารักษาได้ไม่กี่วัน ในที่สุดก็เหี่ยวแห้ง หากว่าร่างนี้เกิดปัญหาขึ้นอีกคงแย่แน่”
ร่างที่สร้างขึ้นจากหญ้าน้ำค้างนั้นทันทีที่วิญญาณออกจากร่างเพียงชั่วอึดใจก็จะเหี่ยวแห้งเน่าเปื่อยหมดสิ้น ลั่วปิงเหอกลับยังสามารถประคองไว้ได้หลายวัน ไม่รู้ต้องสิ้นเปลืองพลังทิพย์ไปอย่างไร้ประโยชน์แค่ไหน หลังจากนั้นยังกล้าลุยเดี่ยวเข้ามาในสุสานศักดิ์สิทธิ์นี่อีก
เสิ่นชิงชิวจุกแน่นในอก ความคิดสับสนวุ่นวายไม่สงบ พยายามหาหัวข้อมาสนทนา เมื่อกี้เทียนหลางจวินเหมือนจะพูดไว้ว่า ‘ลั่วปิงเหอพาลูกปลาน้อยสองตัวมาด้วย’ เสิ่นชิงชิวเลยถามว่า “เจ้าพาใครมาด้วยหรือ”
ในที่สุดลั่วปิงเหอก็หันมามองเขา ตอบว่า “ข้ามาคนเดียว”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่งแล้วพูด “สองคนเมื่อครู่นี้ไม่ใช่ตัวดีอะไร ถึงซือจุนไม่อยากอยู่กับข้าที่โน่น อย่างไรข้าก็หวังว่าท่านจะไม่ไปกับพวกเขา”
ฟังแล้วดูเหมือนไม่ใช่ครั้งแรกที่ลั่วปิงเหอปะทะกับสองคนนั้น เสิ่นชิงชิวถามว่า “เจ้าเคยเจอพวกเขามาก่อนหรือ”
ลั่วปิงเหอกล่าวเรียบๆ “ก่อนหน้านี้เจองูตัวนั้นที่แดนใต้ ประมือกันอยู่สองสามครั้งเกือบพลาดท่าไปเหมือนกัน อีกคนหนึ่งไม่เคยพบมาก่อน แต่ข้าสู้เขาไม่ได้”
จู๋จือหลางมาจากแดนใต้ ย่อมเพ่นพ่านแถวนั้นบ่อยอยู่แล้ว เทียนหลางจวินบอกไว้ว่าโรคระบาดที่เมืองจินหลันความจริงแล้วเป็นการทำเพื่อแก้ปัญหาเรื่องอาหารทางใต้ขาดแคลน การที่ลั่วปิงเหอเคยประมือกับจู๋จือหลางที่พื้นที่ทางใต้ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
แต่ดูเหมือนว่าจู๋จือหลางจะไม่เคยแนะนำตนเองต่อลั่วปิงเหอ ทั้งไม่เห็นเขาเป็นนายน้อย เทียนหลางจวินเองก็เหมือนไม่คิดจะให้เขารู้เช่นกัน
ดูแล้ว พ่อแท้ๆ กับญาติผู้พี่ไม่มีความคิดจะยอมรับเขาเป็นญาติเลยสักนิด
ฝีเท้าของลั่วปิงเหอแม้ยังเดินได้อย่างมั่นคง แต่พอมองออกว่าปัดเป๋เป็นระยะ ทว่าลำตัวยังคงตั้งตรงอยู่โดยไม่แม้แต่จะเกาะผนังไว้ ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาเสิ่นชิงชิวจนก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง หลังจากอิดออดลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจได้ในที่สุด เดินขึ้นหน้าไปก้าวหนึ่ง ขณะกำลังจะเข้าไปประคองลั่วปิงเหอ แสงแทนก็พลันกะพริบวูบ
ทางเดินในสุสานมืดสนิท ลั่วปิงเหอเอนตัวมาหาเขา
คราวนี้ลั่วปิงเหอไม่ได้กอดเขาไว้ ทั้งไม่ได้ลงไม้ลงมือ หากแต่ล้มลงมาทับเขาไว้ทั้งตัว จากนั้นแน่นิ่งไม่ขยับอีกเลย
กรำศึกมาครึ่งค่อนวัน สภาพของเสิ่นชิงชิวเองก็เหน็ดเหนื่อยถึงขีดสุดแล้ว ไม่สามารถรับน้ำหนักตัวของสองคนได้ จึงเซไปปะทะผนังดังโครม
ลั่วปิงเหอนอนคว่ำพังพาบอยู่บนร่างเขา หัวโขกผนังเสียงดังสนั่น ทำเอาเสิ่นชิงชิวได้ยินแล้วใจสั่น เสียวฟันขึ้นมาเลยทีเดียว
เขารีบลุกขึ้นยืน พลิกมือไปประคองลั่วปิงเหอเอาไว้ ลูบตามเนื้อตัวเบาๆจนมาถึงแผ่นหลัง เสื้อผ้าด้านหลังของลั่วปิงเหอขาดวิ่น เป็นเพราะถูกฝนน้ำเหลืองจากศพในตำหนักจาบัลย์หยดใส่ เมื่อสำรวจตามผิวหนังต่อไปอีกก็รู้สึกแปลกๆ คล้ายจะมีเนื้อเน่าด้วย ดูท่าว่าจะเริ่มส่งกลิ่นแล้ว
ยังไงฝนน้ำเหลืองก็ไม่ใช่ของดีอะไรอยู่แล้ว
ยามที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ตามนิสัยของเสิ่นชิงชิวนั้นเวลาปลุกคนเพศเดียวกันมักตบบ้องหูสองข้างก่อนเป็นอย่างแรก แต่เวลานี้ยังไม่ทันยื่นมือออกไปก็รู้สึกว่าทำไม่ลงแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นตบเบาๆที่แก้มลั่วปิงเหอสองที เสียงก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว “ลั่วปิงเหอ ลั่วปิงเหอ”
ลั่วปิงเหอหลับตานิ่งไม่ไหวติง กระทั่งขนตาก็ไม่ขยับ หน้ายิ่งแดงจัดผิดปกติ
เสิ่นชิงชิวยื่นมือไปแตะหน้าผากและแก้มร้อนจี๋ราวกับไฟลวก
ทว่าร่างของลั่วปิงเหอไม่เคยปรากฏคำว่า ‘เป็นไข้’ ต่อให้ในช่วงเวลาที่ตกทุกข์ได้ยากก็เป็นอยู่ไม่นาน ไม่ถึงขั้นหมดสติแบบนี้ เขาแตะๆที่มืออีกครั้งพบว่ามันเย็นเฉียบ ร่างกายฝ่ายนั้นราวกับว่าหัวอยู่ในเตาอบ ลำตัวอยู่ในอุโมงค์น้ำแข็ง
เสิ่นชิงชิววางมือข้างหนึ่งที่ท้ายทอยของลั่วปิงเหอ ลูบบริเวณที่โขกโดนผนังหิน
“ปิงเหอ ได้ยินหรือไม่”
ไม่มีเสียงตอบ
เสิ่นชิงชิวลองคำนวณดู เพื่อรักษากายเนื้อจากหญ้าน้ำค้าไม่ให้แห้เหี่ยว ลั่วปิงเหอต้องสิ้นเปลืองพลังทิพย์ไปหลายวัน สุดท้ายก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ ซ้ำยังทุ่มสุดตัวไปจับแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์มาอีก พอเข้าสุสานศักดิ์สิทธิ์มาได้แล้ว ก็ถูกเทียนหลางจวินซ้อมยกแรกก่อน ต่อมาถูกคลื่นเสียงในตำหนักกระแทกใส่ ตามมาด้วยถูกเทียนหลางจวินซ้อมอีกยกหนึ่ง สุดท้ายก็โดยฝนน้ำเหลืองต้องร่าง
ให้ตีลังกาคิดยังไงก็ต้องไม่ใช่แค่ ‘มีไข้’ แน่นอน