บทที่ 16
น้ำแข็งละลาย
หลังจากลั่วปิงเหอหมดสติ พลังสะกดข่มก็สูญสิ้น พวกผีดิบตาบอดที่ถอยหายไปในความมือเมื่อครู่ก็เริ่มอาละวาดอีกครั้ง ล้อมวงเข้ามาทำเสียงฮือๆ
เสิ่นชิงชิวมือหนึ่งประคองลั่วปิงเหอที่หมดสติคอพับคออ่อน อีกมือหนึ่งถือกระบี่ซิวหย่า สะบัดแรงๆทีหนึ่ง ตัวกระบี่ก็ดีดออกจากฝัก ทรงอานุภาพประหนึ่งลูกธนู ครั้งแรกก็แทงทะลุทีเดียวสิบกว่าตัว อย่างไรก็ตามเนื่องด้วยคมกระบี่วาววับเจิดจ้ามาก พอแสงสีเขียวของเทียนปราณมรณะสะท้อนจับที่ตัวกระบี่ก็ยิ่งเจิดจ้าเข้าไปใหญ่ ผีดิบตาบอกที่ไวต่อแสงอยู่แล้ว ทั้งยังหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ครั้งที่สองจึงไม่เป็นผล
เสิ่นชิงชิวเพิ่งเรียกกระบี่กลับคืนลงฝักข้างเอว แขนผอมแห้งสองสามข้างก็ยื่นมาใกล้ขนาดที่ว่าอีกนิดเดียวก็จะควักลูกตาลั่วปิงเหออยู่แล้ว เขาฟาดฝ่ามือออกไปทีหนึ่ง ทำเอาผีดิบตาบอดไม่รักดีตนนั้นหัวกะโหลกแตกกระจายทันที
การฟาดฝ่ามือออกไปถึงจะได้ผลดี แต่ไม่อาจใช้ได้คลอดเวลาเพราะสิ้นเปลืองพลังทิพย์มากเกินไป ใช้ไปสักพัก็จะหมดสิ้นไม่เหลือหลอ ประกอบกับตอนนี้พลังทิพย์ของเสิ่นชิงชิวอยู่ในสภาพเหมือนโทรศัพท์มือถือที่เหลือแบตเตอรี่แค่สองขีด ไม่อาจใช้ได้ดังใจหมายเหมือนก่อน
หลังจากฟาดออกไปยี่สิบกว่าครั้งก็รู้สึกว่าถึงตัวเองจะใจสู้ ทว่าร่างกายไม่เอาด้วยแล้ว ผีดิบตาบอดเบียดเสียดเยียดยัดกันอยู่ในทางเดินสุสาน เขาได้แต่เตะออกไปทีละตัว อมนุษย์โขยงนี้แม้ชั้นต่ำแต่ฟาดเท่าไหร่ก็ไม่หมดไม่สิ้น แถมเขายังต้องประคองลั่วปิงเหอที่สลบไม่รู้เรื่องไว้ด้วย ระหว่างที่ตุปัดตุเป๋ มีช่วงหนึ่งเขากอดไว้ไม่มั่น หัวของลั่วปิงเหอก็โขกเข้ากับผนังหินอีกโป๊กหนึ่งดังลั่น ได้ยินแล้วยังรู้สึกเจ็บแทน เสิ่นชิงชิวไม่สบายใจเลยใช้มือรองที่ท้ายทอยเพื่อคลำดำ เหมือนจะโนเป็นซาลาเปาลูกโตเลยทีเดียว ทั้งไข้ขึ้นทั้งโดนกระแทก หวังว่าคงไม่โดนโขกจนเอ๋อไปล่ะ
ไอ้ผีขี้ตื้อพวกนี้ ขืนรั้งอยู่ที่ทางเดินในสุสานที่เต็มไปด้วยเทียนปราณมรณะต่อ รังแต่จะยิ่งชักนำให้พวกผีดิบตาบอดดาหน้ากันเข้ามาไม่หยุด
เขาเปลี่ยนท่าใหม่ เอาแขนข้างหนึ่งของลั่วปิงเหอพาดไว้ที่บ่า ก้าวพรวดๆไปข้างหน้า ผีดิบตาบอดที่ตามหลังมาถูกทิ้งห่างอยู่หลายจั้ง แต่ขณะที่เขาจ้ำเท้าไปนั้น ลมหายใจก็ถี่กระชั้นตามไปด้วย เทียนปราณมรณะเลยยิ่งลุกพึ่บไม่หยุด ทำเอาพวกเขาหมดหนทางหลบแล้วจริงๆ ต่อให้ผีดิบตาบอดตามมาไม่ทัน แต่ก็ไม่อาจสลัดได้หลุด พวกมันแห่ตามมาไม่ลดละ จนกระทั่งเลี้ยวผ่านห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง
นี่เป็นห้องสำหรับจัดเตรียมพิธี ข้างในมีโลงระเกะระกะวางไว้ไม่เป็นระเบียบ บางโลงฝาพลิกหงายอยู่กับพื้น ดูไม่น่าเกรงขามแม้แต่น้อย
เสิ่นชิงชิวรีบลากตัวลั่วปิงเหอเข้าไปทันที เขามองสำรวจโลงศพไปทีละใบ บางโลงมีศพตายซากในท่วงท่าประหลาดนอนอยู่ บางโลงข้างในว่างเปล่า
เสียงฮือจากด้านนอกดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เงาดำบนพื้นลากยาวสับสน
เสิ่นชิงชิวเห็นสถานการณ์คับขันเต็มที จึงกระโจนลงโลงหินโดยพลัน ความจริงเขาตั้งใจจะยัดลั่วปิงเหอไว้ในโลงอีกใบ แต่ไม่มีเวลาแล้ว คนทั้งสองจึงอยู่ในสภาพกอดกันเป็นก้อนกลม กลิ้งเข้าไปในโลงหินโดยพร้อมเพรียงกัน
ถึงก้นโลงจะบุด้วยผ้านุ่ม แต่เสิ่นชิงชิวก็ยังกระเทือนไปทั้งตัวจนเห็นดาว ลั่วปิงเหออยู่บน เสิ่นชิงชิวอยู่ล่าง เขาถูกน้ำหนักตัวของลั่วปิงเหอกดทับจนแทบหายใจไม่ออก
ไอ้เด็กคนนี้มันกินอะไรเข้าไป! เห็นผอมๆทำไมถึงได้หนักขนาดนี้!
ฝาโลงยังเปิดอ้าไว้เกือบครึ่ง เสิ่นชิงชิวกำลังจะเอื้อมมือออกไปปิด แสงสีเขียวด้านนอกพลันวาบขึ้นรางๆ เหนือศีรษะปรากฏเงาร่างงองุ้มขึ้นเต็มไปหมด
ผีดิบตาบอดมันเข้ามากันแล้ว
พวกมันเดินข้ามาในห้องพร้อมกับเสียงฮือๆเป็นระยะ และยังมีเสียงเล็บขุดพื้นผิวโลงด้านนอกด้วย ได้ยินแล้วขนลุกขนพองเลยทีเดียว
หากจะมีพื้นที่ตรงไหนที่ไม่มีเทียนปราณมรณะซุกซ่อนอยู่ก็ต้องเป็นในโลงนี่แหละ ขอเพียงไม่มีแหล่งกำเนิดแสง ดวงตามืดบอดของพวกมันก็ไม่สามารถจับการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้
เสิ่นชิงชิวไม่ลนลาน นอนหงายหน้าขึ้นโดยมีลั่วปิงเหอนอนคว่ำทับอยู่บนร่าง ศีรษะซุกอยู่กับไหล่เขา ไอร้อนผ่าวแผ่มาถึงซอกคอ ร้อนจนแทบทานทน แม่แต่เขายังจวนทนไม่ไหว ลั่วปิงเหอคงต้องทรมานยิ่งกว่าเขาเป็นแน่
ลั่วปิงเหอมือเย็นหัวร้อนพอดี งั้นใช้มือลั่วปิงเหอแนบหน้าผากเพื่อลดอุณหภูมิให้ตัวเขาเลยดีกว่า เสิ่นชิงชิวคิดว่าความคิดนี้ช่างดีนัก ขณะกำลังจะคว้าข้อมือลั่วปิงเหอขึ้นมาก็มีอันต้องตัวแข็งทื่อ
ตอนนี้ห้านิ้วที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกและเล็บยาวเฟื้อยโผล่มาอยู่เหนือโลงแล้ว
ทำมถึงสำรวจซะละเอียดซอกซอนขนาดนี้ล่ะ ไหนบอกว่าผีดินตาบอดไอคิวต่ำมากไง ไหนบอกว่าของที่ไม่ส่องแสงมันก็จไม่สนใจไง
แล้วสิ่นชิงชิวก็พลันค้นพบว่าที่ข้างแก้มของตนมีบางสิ่งบางอย่างเปล่งแสงสีแดงอยู่มัวๆ
เขาเหล่ตามองแวบหนึ่ง แม้ลั่วปิงเหอจะหลับตาอยู่ ทว่าตรามารฟ้าบนหน้าผากปรากฏโฉมออกมาเรียบร้อยแล้ว ตราประทับสีแดงบนหน้าผากวับแวมตามจังหวะการหายใจ แสงสีแดงจึงติดๆดับๆให้เห็น
ถึงเขาจะรู้ดีว่าตราบาปนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าสายเลือดนี้สืบทอดมาจากเทพตกสวรรค์ แต่ไม่จำเป็นต้องเตะตาขนาดนี้ก็ได้ไหม ดูแล้วเหมือนตอนที่อุลตร้าแมนปราบสัตว์ประหลาดมากกว่า ตอนท้ายที่พลังงานไม่พอทีไรก็จะเปล่งแสงแฟลชวูบวาบแบบนี้แหละ
เขาไม่สามารถชักมือมาปิดไอ้ตราประทับเฮงซวยนี่ได้ แต่แล้วเกิดความคิดหนึ่งขึ้น โดยไม่ทันไตร่ตรองเขากดมุมปากเข้ากับหน้าผากที่เรืองแสงนั่นทันที
แบบนี้มันเหมือนกำลังจูบหน้าผากลั่วปิงเหอเลยนี่หว่า แต่นี่มันเวลาคับขัน ไม่ต้องสนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนี้หรอก เอาชีวิตให้รอดสำคัญกว่า
มือผอมบางซึ่งเล็บเขรอะฝุ่นและยังมีขนติดอยู่หร็อมแหร็มควานเข้ามาในโลงหินอย่างเชื่องช้า มันยื่นคลำไปทั่ว พื้นที่ภายในโลงใบนี้ค่อนข้างคับแคบทว่าก้นลึก ขอเพียงขอบเขตการควานของมันอยู่แค่ระดับนี้ไปเรื่อยๆ ยังไงก็ควานไม่ถึงพวกเขาสองคนที่ก้นโลงแน่นอน
แต่มือข้างนี้กลับยังควานต่อไม่เลิกราเสียที ยิ่งมันควานต่ำลงมามากขึ้น ใจของเสิ่นชิงชิวก็ยิ่งขึ้นไปแขวนค้างสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นทีว่าอีกไม่ช้าคงควานมาถึงหลังของลั่วปิงเหอแน่ เขากัดฟันกรอด ชักมือซ้ายที่ถูกกดทันจนจะเป็นตะคริวอยู่รอมร่อมาควานหาพื้นที่บนแผ่นหลังของลั่วปิงเหอตรงที่ยังมีสภาพดี แล้วกดหลังฝ่ายนั้นให้แนบลงมาอีก
ร่างกายของลั่วปิงเหอจึงแนบสนิทกับร่างเขาโดยไม่มีส่วนใดเว้นว่างเลย ก่อนนี้ยังพอมีช่องว่างอยู่เล็กน้อย ตอนนี้คนทั้งคู่แทบฝังร่างเป็นเนื้อเดียวกัน อกแนบอก ท้องแนบท้อง
ความจริงท้องน้อยควรเป็นตำแหน่งที่อ่อนนุ่มที่สุดในร่างกายคน ทว่าท้องของเสิ่นชิงชิวที่ถูกท้องน้อยของลั่วปิงเหอกดอยู่กลับรู้สึกเจ็บ ยิ่งกดลงมายิ่งมั่นใจว่ากล้ามเนื้อหน้าท้องของอีกฝ่ายคงมีสักแปดมัดแน่ แข็งจนเจ็บไปหมดแล้ว
มือข้างนั้นหยุดป้วนเปี้ยนที่หลังลั่วปิงเหอแล้ว แต่ดันเปลี่ยไปป้วนเปี้ยนที่อื่นต่อ
พอเห็นว่ามันกำลังจะแตะน่องลั่วปิงเหอแล้ว เสิ่นชิงชิวจึงตัดสินใจเดี๋ยวนั้น กางขาออกทันที ให้ขาซ้ายของลั่วปิงเหอแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างขาสองข้างของเขา
ที่ว่างระหว่างสองคนซึ่งเดิมทีก็น้อยนิดเต็มทีแล้ว ตอนนี้เลยแทบไม่เหลือแล้วจริงๆ
มือข้างนั้นควานกึกๆกักๆอยู่ครึ่งค่อนวันไม่เจออะไร จึงค่อยๆหดกลับไป
รอจนพวกผีดิบตาบอดงึมงำ ถอยออกไปจากห้องเก็บศพ ยกโขยงกันออกไปลาดตระเวนที่อื่นต่อ เสิ่นชิงชิวจึงค่อยผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก
สภาพของเขาในตอนนี้ดูไม่ได้เลย หากมีใครโผล่หัวเข้ามาดู เป็นต้องคิดว่าเสิ่นชิงชิวหื่นสุดๆ กอดลั่วปิงเหอแน่นไม่ยอมปล่อย พยายามจะบดเบียดฝ่ายนั้นเข้ามาแนบตัวอะไรแบบนี้ ขณะที่เขากำลังจะประคองลั่วปิงเหอให้ลุกขึ้นนั่งนั่นเอง จู่ๆในห้องก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน
“วางใจตอนนี้เร็วไปหน่อยนะ”
เสียงชราภาพนี้แฝงแววเหน็บแนมอยู่ในที เสิ่นชิงชิวคว้ากระบี่ซิวหย่าทันที พลิกกายจับลั่วปิงเหอไปอยู่ด้านล่าง ส่วนตัวเองลุกขึ้นนั่ง ยกกระบี่ขึ้นขวางหน้า เตรียมระวังเต็มที่ “ผู้ใด!”
พวกผีดินตาบอดไปกันไกลแล้ว ห้องนี้จึงว่างโล่ง มีแต่โลงหินเย็นยะเยียบเท่านั้น
อย่าบอกนะว่ามีศพคืนชีพอยู่ในโลงใบไหนอีก เมื่อกี้เขามองดูแล้ว ศพส่วนใหญ่ในนี้แห้งแล้วทั้งนั้น
เสียงนั้นกล่าวอีกว่า “หากผู้อาวุโสเช่นข้าไม่ต้องการให้เจ้าเห็น ต่อให้เจ้าพลิกหาไปทั่วทั้งสุสานศักดิ์สิทธิ์ ก็อย่าหมายว่าจะได้เห็นเด็ดขาด”
พอได้ฟัง เสิ่นชิงชิวพลันพบว่าเสียงนี้ฟังคุ้นหูมาก เขาต้องเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนแน่ๆ ทั้งไม่ใช่แค่ประโยคเดียวด้วย ราวกับมีแสงวาบเข้ามาในหัว เขาเก็บกระบี่คืนลงฝักทันที กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นผู้อาวุโสมารฝันก็ไม่จำเป็นต้องทำหลบๆซ่อนๆแล้ว”
สิ้นเสียง ชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางห้องในเครื่องแต่งกายหรูหรา ดวงตาคมปลาบราวกับเหยี่ยว ชายชราผู้นั้นนั่งอยู่บนฝาโลงหินใบหนึ่ง กำลังมองเสิ่นชิงชิวอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้ากลับยังจำผู้อาวุโสเช่นข้าได้นะ”
เสิ่นชิวชิวกล่าวว่า “เมื่อผู้อาวุโสมารฝันปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าข้า เช่นนั้นข้าต้องกำลังฝันอยู่เป็นแน่”
ก่อนหน้านี้มารฝันปรากฏกายในห้วงฝันได้ในสภาพหมอกสีดำกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับแปลงร่างเป็นคนได้แล้ว ดูท่าว่าพออาศัยร่างกายของลั่วปิงเหอก็คืนสภาพได้ไม่เลว เมื่อเห็นผู้มาเป็นคุณปู่ที่ยังไงก็ยืนอยู่ข้างเดียวกับลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวก็วางใจขึ้นมา
มารฝันแค่นเสียง “แต่สภาพของพวกเจ้าสองคนที่กำลังเข้าตาจนอยู่ในตอนนี้ กลับหาใช่ความฝันไม่”
เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “ผู้อาวุโสมารฝันโปรดช่วยเหลือด้วยการเข้าไปในความฝันของลั่วปิงเหอ แล้วปลุกเขาให้ตื่นได้หรือไม่”
มารฝันกล่าวว่า “ปลุกไม่ตื่นหรอก”
“หา” เสิ่นชิงชิวร้อนใจ งั้นที่ทำมาก็เสียเปล่าน่ะซิ เพราะเหตุใด”
หรือสมองของลั่วปิงเหอจะไหม้ไปแล้ว
มารฝันกล่าวเรียบเรื่อยว่า “เข้าไปไม่ได้ ตอนนี้ดวงจิตของเจ้าหนูนี่ปั่นป่วน มีแต่ความว่างเปล่าและหมอกหนา จมดิ่งอยู่ในความฝัน เรียกยังไงก็ไม่ตื่น ผู้อาวุโสเช่นข้าเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ในห้วงฝันของคนสองประเภท หนึ่งในนั้นคือคนป่วยหนักใกล้ตาย”
ไอ้ที่จะพูดต่อจากนี้คงไม่ใช่อะไรดีๆแน่ ในเมื่อประเภทแรกคือคนป่วยหนักแล้ว ประเภทที่สองคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้วมั้ง เสิ่นชิงชิวถามอย่างอดทน “แล้วประเภทที่สองล่ะ”
“คนเสียสติ”
“…”
มารฝันพูดเองเออเองเสร็จสรรพ “สมน้ำหน้ามันแล้ว ตลอดห้าปีที่ผ่านมา เจ้าหนูนี่กลางวันสิ้นเปลืองพลังงานทำพิธีเรียกวิญญาณ ตกกลางคืนก็เข่นฆ่าสังหารผู้คนในห้วงฝันที่ตัวเองสร้างขึ้น ผู้อาวุโสเช่นข้าเคยบอกมันนานแล้ว ทำเช่นนี้รังแต่จะเป็นการทำลายดวงจิตตัวเอง มันก็ไม่สนใจ ไม่ช้าก็เร็วต้องลงเอยเช่นวันนี้ สองสามวันมานี่เพื่อคงสภาพร่างที่สร้างจากหญ้าน้ำค้าง หมดเปลืองพลังทิพย์ไปตั้งไม่รู้เท่าไหร ไอ้กระบี่มารเล่มนั้นยิ่งเล็งหาโอกาสอาละวาดอยู่ มิหนำซ้ำยังรั้นจะฝ่าทำลายสุสานศักดิ์สิทธิ์ จนเจอเข้ากับผู้สืบสายโลหิตมารฟ้าที่มีพรสวรรค์สูงส่งและร้ายกาจที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย”
เสิ่นชิงชิวกำกระบี่ซิวหย่าในมือแน่นจนรู้สึกเจ็บ เขาหันกลับไปมองลั่วปิงเหอที่นอนหมดสติอยู่ในโลงหินแวบหนึ่ง ก่อนถามว่า “…ผู้อาวุโลไม่มีวิธีปลุกให้เขาตื่นเลยหรือ”
“ข้าหมดปัญญาจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวกำหมัด กลับลงไปนอนเงียบๆ
มารฝันถลึงตา “เจ้าจะทำอะไรน่ะ”
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “นอนหลับ รอให้ตัวเองตื่น”
เส้นเอ็นเขียวๆบนหน้าผากมารฝันปูดโปน “เจ้ากล้าไม่สนใจผู้อาวุโสเช่นข้าหรือ”
เสิ่นชิงชิวหลับตาพูด “ในเมื่อผู้อาวุโสบอกว่าหมดปัญญา ข้าย่อมทำได้แค่รอให้ตัวเองตื่นจะได้คุ้มครองเขาออกไป”
มารฝันแค่นเสียง “สุสานศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ต้องห้ามซึ่งเต็มไปด้วยอันตรายอย่างยิ่งยวด แล้วไหนยังจะมีมารเจ้าปัญหาสองตนนั่นรอพวกเจ้าอยู่ อาศัยเจ้าคนเดียว คุ้มครองมันไม่ไหวหรอก”
มารฝันกล่าวได้ถูกต้อง ถูกต้องอย่างที่สุด
เสิ่นชิงชิวลืมตา ถอนใจอีกรอบ “แต่ยามนี้นอกจากข้าที่เป็นซือจุนของเขาแล้ว ยังจะมีใครคุ้มครอง หรือกล้าพูดว่าสามารถคุ้มครองลั่วปิงเหอได้อีกเล่า”
ทุกอย่างสุมประเดประดังเข้ามาไม่ขาดสาย ทำเอาเสิ่นชิงชิวจิตใจสับสนปั่นป่วน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาแจ่มกระจ่างในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปล่อยให้ลั่วปิงเหอตายอยู่ในนี้เด็ดขาด
มารฝันกล่าวประชดประชัน “ผ่านมาหลายปีในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่าเจ้าหนูนี่มันเป็นศิษย์ และเจ้าเป็นซือจุนของมันแล้วหรือ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หลายปีแล้วจริงๆนั่นแหละ”
เขายังรอให้มารฝันกระแนะกระแหนต่อ แต่ผู้อาวุโสกลับดันถอนหายใจแทนซะงั้น และเอ่ยต่อ “หากเจ้าหนูมันตื่นขึ้นมาได้ แล้วได้ฟังประโยคนี้ของเจ้าเข้า ไม่รู้จะดีใจสักเพียงไหน”
ปู่ ปู่ช่วยอย่างทำเสียงห่อเหี่ยวขนาดนี้ได้ไหม
เสิ่นชิงชิวหน้าผากเต็มไปด้วยขีดดำเรียงแถวกัน อะไรคือ ‘หากตื่นขึ้นมาได้’ น้ำเสียงที่เหมือนเป็นตายไม่อาจคาดเดาชะตากรรมแบบนี้ยิ่งพาให้เขาใจคอไม่ดีเข้าไปใหญ่
จู่ๆมารฝันก็ตะโกนขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว “เห็นๆอยู่ว่าข้าต่างหากที่เป็นอาจารย์ของเจ้าเด็กคนนี้ สอนมันไปตั้งเท่าไร ไหนจะความสามารถระดับหยั่งรู้ดินฟ้า ไหนจะวิชาควบคุมจิตใจผู้คน แต่มันก็ไม่ยอมเรียกข้าเป็นอาจารย์ เรียกแต่ ‘ผู้อาวุโสๆ’ อยู่นั่นแหละ ที่เจ้าสอนมันก็แค่หมัดมวยธรรมดาสามัญ และวิชาบำเพ็ญฌานอันตื้นเขิน แต่มันกลับเองแต่วิ่งตามหลังเจ้า ร้องห่มร้องไห้เรียกเจ้าว่าซือจุนอยู่คนเดียว น่าโมโหนัก!”
มารฝันสุมความโกรธไว้แน่นอกอยู่นานแล้ว ยิ่งเมื่อเห็นสองคนนี้นอนอยู่ในโลงใบเดียวกันยิ่งขัดหูหัดตาหนักจนดวงตาแก่ๆแทบบอด จึงบ่นด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง
เสิ่นชิงชิวเองก็ไม่พอใจเหมือนกันนั่นแหละ ลำพังด่าวิชากระบี่ของชางฉยงซานว่าเป็นหมัดมวยธรรมดาก็ยอมรับไม่ได้แล้ว ขณะกำลังจะเหน็บคืนบ้าง มารฝันกลับเอามือไพล่หลังเดินไปเดินมากล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “หากตอนนั้นในห้วงฝันถือโอกาสกำจัดเจ้าไปเสียโดยไม่ให้รู้ตัว วันนี้ก็จะไม่เกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้หรอก ความจริงแล้วเจ้าหนูมันมีพรสวรรค์มีอนาคตอันยิ่งใหญ่รออยู่ แต่พอเจอเจ้าก็โง่งมงายเสียจนน่าโมโห แล้วยังดันจะทำเป็นวางมาดเย็นชาต่อหน้าเจ้า ข้าว่านะ ถ้าไม่ฆ่าทิ้งก็จับเจ้าขึงพืดไปเสียเลยก็หมดเรื่อง จะต้องทำเรื่องให้มันวุ่นวายอย่างนี้ทำไม ปรารถนาจะตัดใจแต่ก็คอยแต่จะใจอ่อน ใคร่จะพูดแต่ก็ไม่ยอมพูด ทำเอาคนอื่นเห็นแล้วมีน้ำไปด้วย”
เสิ่นชิงชิวอยากเอามือปิดหูจริงๆ หรือไม่ก็เย็บปากมารฝันไปซะเลย เขาชำเลืองมองหน้าลั่วปิงเหอที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆแวบหนึ่ง ในสมองพลันผุดภาพตอนที่ฝ่ายนั้นน้ำตานองหน้า เลยรีบเบินสายตากลับมาทันทีกล่าวอย่างเหลืออดว่า “คำพูดเหล่านี้ของผู้อาวุโสเอามาพูดใส่หน้าข้าไม่ค่อยเหมาะกระมัง ด่าเสร็จแล้วหรือยัง หากว่าด่าเสร็จแล้ว ช่วยปลุกข้าตื่นได้หรือไม่”
มารฝันยังคงโมโหอยู่ “ตื่น? ตื่นแล้วเจ้าก็ไม่รู้จะออกไปอย่างไรอยู่ดี ทางเข้าที่ตีฝ่าเข้ามาก็ปิดไปแล้วด้วย”
เสิ่นชิงชิวกล่าว “ไม่แน่ว่าจะเปิดใหม่อีกไม่ได้นี่ ผู้อาวุโสพอจะกรุณาบอกข้าได้หรือไม่ว่าลั่วปิงเหอใช้แรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์ทำลายอาคมเข้ามาจากทางไหน”
สายตาเขาจับยังกระบี่ซินหมัวที่อยู่ข้างเอวลั่วปิงเหอ อาคมตรงทางเข้าที่ถูกตีฝ่าเข้ามาน่าจะยังคงอ่อนแออยู่ ใช้กระบี่ซินหมัวกรีดผ่าเข้ามาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ไม่แน่ว่าอาจใช้เปิดได้อีกเป็นครั้งที่สอง มารฝันมองตามสายตาของเขาก็เข้าใจทันที แต่ไม่ยึดถือเป็นจริงเป็นจังนัก “กระบี่นี้มันอาจไม่ยอมให้เจ้าใช้น่ะซิ”
ประเด็นนี้เสิ่นชิงชิวเองก็รู้อยู่ เขาลอบขบฟัน เค้นเสียงต่ำแล้วกล่าว “ในเมื่อไม่มีวิธีอื่น ก็ได้แต่ลองดูสักตั้ง”
เมื่อตื่นขึ้นมาเขายังคงนอนอยู่ในโลงหิน ลั่วปิงเหอนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่บนร่างเขา ถูกเขากอดไว้อย่างแน่นหนา
ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดปีศาจเฒ่ามารฝันผู้นั้นก็ยอมปล่อยเขาออกมา ขณะที่เสิ่นชิงชิวกำลังจะยันกายลุกขึ้นนั่ง ทันใดนั้นที่ขาขวาก็รู้สึกเหมือนไปโดนอะไรบางอย่างเข้า เจ้าสิ่งแข็งๆนั่นทิ่มต้นขาด้านในของเขาอยู่พอดี
ตอนแรกเสิ่นชิงชิวนึกว่าเป็นด้ามกระบี่ จึงยื่นมือออกไปผลักโดยไม่คิดอะไร แต่พอแตะโดน ข้อความจากระบบก็โผล่พรวดมาทันที
[โย่~~~ค่าความฟินเพิ่มขึ้น 1,000 คะแนน (^q^)~~~!!! ขอแสดงความยินดีกับความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ทางกาย!!!]
เสิ่นชิงชิวตัวแข็งทื่อ กลายเป็นผีดิบตากแห้งไปชั่วขณะ
‘ความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ทางกาย’ คืออะไร!!!
เขาก้มมองดูอีกครั้ง ไอ้ที่คิดว่ามันเป็นด้ามกระบี่ ความจริงแล้วเป็นไอ้นั่น!
เสาค้ำสวรรค์!!!!!!!!!!
เสาค้ำสวรรค์ตั้งโด่เลย!!!!!!!!!!
เสิ่นชิงชิวถึงกับเกิดความคิดอยากฆ่าคนแล้วฆ่าตัวตายตามไปด้วยเดี๋ยวนั้น
หลังจากสับสนวุ่นวายใจไปครู่หนึ่ง เขาก็ตบๆหน้าตัวเอง คิดอย่างปลอบใจว่าในสุสานศักดิ์สิทธิ์มืดมากไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เป็นไปได้ว่าตอนนี้ข้างนอกอาจเช้าแล้วก็ได้ นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นธรรมชาติของผู้ชายตอนเช้าๆไง
เดี๋ยวมันก็จะหายไปเองใช่ไหม ปกติก็เป็นแบบนี้แหละ ถูกต้องแล้ว
แต่ปล่อยไว้แบบนี้ จะน่าสงสารไปหน่อยไหม
ต่อให้น่าสงสารขนาดไหนก็ช่วยไม่ได้ สถานการณ์แบบนี้ช่วยกันไม่ได้หรอกใช่ม้าย!!!
ใช่แล้ว! ยังไงก็ไม่ใช่หน้าที่ของซือจุนอยู่แล้วที่ต้องช่วยลูกศิษย์ดับไฟ ต่อให้มันเป็นไฟที่เขาไปแตะให้มันลุกพึ่บขึ้นมาเองก็เหอะ
เสิ่นชิงชิวรีบฉุดลั่วปิงเหอขึ้นมา ทาบมือกับแผ่นอกฝ่ายนั้นทีหนึ่ง ถ่ายพลังทิพย์เข้าไปสองสามสาย ถึงจะน้อยนิดจนเข้าขั้นแล้งแค้น แต่ตอนนี้เขาเองก็ถ่ายพลังให้ใครได้ไม่มากนัก ถ่ายได้เท่าไหร่ก็เท่านั้นแล้วกัน ส่วนอย่างอื่นเขาไม่รู้ไม่เห็น ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!
พอออกจากโลงหินเขาก็ฉุดๆลากลั่วปิงเหอด้วยความทุลักทุเลไปตาม ‘ทิศตะวันออกจนสุดทาง’ ตามที่มารฝันแนะนำ เดินไปได้สักพัก ผนังรอบๆทางเดินในสุสานก็เริ่มชื้นแฉะ พื้นใต้ฝ่าเท้าค่อนข้างลื่น ตะไคร่เขียวขึ้นหน้า จะยืนให้มั่นยังยัง เสิ่นชิงชิวลดความเร็วลงเพื่อไม่ให้ลื่นล้ม
เมื่อเดินต่อไปไม่เพียงตะไคร่เขียวๆ พวกวัชพืชและไม้พุ่มก็มีขึ้นรกเรื้อเช่นกัน ทางเดินในสุสานค่อยๆกว้างขึ้น สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงต่ำ ไม่ใช่เจอแค่พื้นลื่น ยังต้องเจอกับรากไม้แก่ที่เกะกะพันแข้งพันขา ทำเอาสะดุดเป็นระยะ แมลงบินผ่าน
เสียงนกร้องขับขาน ความสูงของเพดานสีน้ำเงินเข้มพลันเพิ่มขึ้นกะทันหัน ผลึกแก้วขาวใสที่ฝังเพดานส่องประกายระยิบระยับแวววาว มองแวบแรกดูเหมือนท้องฟ้ายามราตรีเลยทีเดียว
สภาพรอบข้างอาจดูแล้วชวนให้หลงนึกว่าอยู่ในป่า แต่ความจริงแล้วพวกเขายังไม่ได้ออกจากสุสานศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่เดินมาถึงห้องพิเศษห้องหนึ่งในสุสานศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ห้องแต่ละห้องในสุสานศักดิ์สิทธิ์ล้วนเป็นห้องที่ชนชั้นผู้นำแต่ละรุ่นออกแบบด้วยตัวเองตอนยังมีชีวิตอยู่ พิสดารพันลึก สารพัดแบบสารพัดแนว ก็เหมือนคอนโดฯสักหลังนั่นแหละ ห้องสร้างเสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้ตกแต่ง พอจะเข้าอยู่เจ้าของก็ตกแต่งเอาเองตามแบบที่ชอบ ใครเชี่ยวชาญเรื่องกลไกก็เน้นหนักไปที่พวกค่ายกลพิสดาร ใครที่คุ้นเคยกับสัตว์มารก็เลี้ยงพวกสัตว์ประหลาดไว้คอยเฝ้ายาม ใครเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรก็ปลูกดอกไม้พิษ หญ้าแปลกๆเอาไว้เต็ม
เจ้าของห้องนี้จะต้องเป็นประเภทหลังสุดแน่ ต้นไม้ใบหญ้าพวกนี้ดูธรรมดาสามัญไม่มีอะไรแปลกพิสดาร แต่ยังไงเสิ่นชิวชิวก็ไม่คิดจะสัมผัสโดนเด็ดขาด เขาถอดเสื้อตัวนอกมาคลุมหัวพวกเขาสองคนไว้ กระชับมือที่โอบเอวลั่วปิงเหอให้แน่นเข้า ค่อยๆเดินทีละก้าวด้วยความระมัดระวัง
ใบหญ้าขยับเล็กน้อย
ทันใดนั้นเสียงแหลมสูงก็แหวกฝ่าอากาศมาพร้อมกับลำแสงสีขาวเย็นยะเยือกสายหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวดีดนิ้มมือข้างซ้าย กระบี่ซิวหย่าที่ข้างเอวตอบรับด้วยการดีดออกจากฝักเดี๋ยวนั้น กระบี่สองเล่มปะทะกันเป็นรูปกากบาทเสียงดังเคร้ง พลังของทั้งสองฝ่ายมิได้ย่อหย่อนกว่ากันเลย
ทางนี้ยังไม่ทันคลี่คลาย ลำแสงสีขาวสายที่สองก็ตามมาติดๆ อย่างรวดเร็ว แต่คราวนี้พุ่งเข้าใส่ลำคอลั่งปิงเหอโดยตรง กระบี่ซิวหย่ากำลังปะทะกับกระบี่เล่มแรกอยู่ ไม่อาจเรียกกลับมา ทั้งยิ่งไม่อาจเหวี่ยงลั่วปิงเหอออกไปได้ เดี๋ยวไปโดนต้นไม้ใบหญ้าพวกนั้นเข้าก็จบเห่กันพอดี
ด้วยอารามเร่งรีบเสิ่นชิงชิวเอนตัวเล็กน้อย ยกแขนขึ้นรับกระบี่ด้วยมือเปล่าเอาดื้อๆ
คมกระบี่บาดฝ่ามือเป็นแผลอ้า แต่ถูกเขาคว้าไว้มั่น ไม่ยอมให้ขยับเขยื้อนแม้สักครึ่งส่วน เลือดไม่ได้หยาดลงมาเป็นหยดๆ หากแต่กระเซ็นพุ่งออกมาเลยทีเดียว ตามเสื้อผ้าของเสิ่นชิงชิวและใบไม้ใบหญ้าเขียวครึ้มที่พื้นกลายเป็นสีแดงฉานในชั่วพริบตา
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตอนนั้นที่ลั่วปิงเหอรับกระบี่ด้วยมือเปล่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดแค่ไหน
แสงสีแดงวาบเข้าใส่ดวงตาของเสิ่นชิงชิว เขารีบเงยหน้าขึ้น รูม่านตาหดเล็กลงฉับพลัน
คาดไม่ถึงจริงๆ ‘ปลาน้อยสองตัว’ ที่เทียนหลางจวินพูดหมายถึงสองคนนี้นี่เอง
คนสองคนเดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ใบหนา
พูดให้ถูก ต้องบอกว่าเป็นคนหนึ่งคนเดินออกมา ส่วนอีกคนนั้นถูกเข็นมาในรถเข็นคันเล็กๆ ที่ดูเหมือนวีลแชร์
คนที่ยืนอยู่เป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย เอวเล็กคอด อึ๋มล่างอึ๋มบนแบบนาฬิกาทราย ส่วนอีกคนนั้น นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น ส่วนที่ต่ำกว่าคอลงไปมีผ้าห่มขนสัตว์เนื้อหยาบห่อไว้มิดชิด แต่เมื่อดูจากศีรษะที่โผล่พ้นผ้าห่มมานั้น ไม่ใช่คนแปลกหน้าของเสิ่นชิงชิวเลยสักนิด
กระบี่เล่มนั้นยังคงพุ่งตรงเข้ามาด้วยพละกำลังรุนแรง เสิ่นชิงชิวจึงต้องคว้ามันไว้ให้มั่น คมกระบี่แทบตัดมือเขาขาดครึ่งเลยทีเดียว
สีหน้าเสิ่นชิงชิวไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทั้งยังแสร้งหัวเราะกล่าวว่า “แม่นางชิว กงจู่ผู้เฒ่า ไม่ได้พบกันเสียนาน หวังว่าคงสบายดีนะ”
ชิวไห่ถังถลึงตาใส่เขา ศีรษะของกงจู่เฒ่าขยับเล็กน้อย กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นเห็นข้าแล้วคิดว่าสบายดีไหมล่ะ”
ที่ว่าไม่ได้พบกันเสียนาน หวังว่าคงสบายดีก็เป็นแค่การทักทายตามมารยาทเท่านั้นเอง เสิ่นชิงชิวยิ้มแห้ง
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว เขาพบว่า ‘สบายดีไปม’ เอามาใช้ตอนนี้มันกลายเป็นประโยคเยาะเย้ยเสียดสีกันเกินไปหน่อยจริงๆ กงจู่เฒ่าที่เมื่อก่อนเป็นบุคคลระดับผู้นำของสำนักเซียน ไม่ว่าจะตอนแรกพบในงานชุมนุมเซียน หรือจะเป็นตอนที่จากันอย่างไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ที่เมืองจินหลัน กิริยาท่าทางล้วนไม่มีที่ติ แต่กงจู่เฒ่าในยามนี้หนวดเคราขาวสะอาดที่เคยได้รับการดูแลอย่างดีชนิดไม่มีกระดิกแม้แต่เส้นเดียว เวลานี้สกปรกรกรุงรัง หน้าตาดูแก่หง่อมราวกับเพิ่งลุกออกมาจากหลุม รอยย่นบนใบหน้าเบียดกันแน่นยิ่งกว่าเปลือกต้นไม้แก่ด้านหลังนั่นอีก
กงจู่เฒ่ากล่าวเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้าคงแปลกใจสินะว่าทำไมข้าถึงได้เปลี่ยนแปลงมาอยู่ในสภาพนี้”
เสิ่นชิงชิวนึก ถ้าพูดว่าไม่แปลกใจลุงจะปล่อยผมไปดีๆไหมล่ะ แต่ปากกลับตอบไปว่า “ผู้น้อยได้ยินว่ากงจู่เร้นกายออกพเนจรไปทั่ว”
กงจู่เฒ่าหัวเราะหึๆ “เร้นกายออกพเนจรหรือ เจ้าชื่อจริงๆหรือ วังฮ่วนฮวาทั้งวัง ผู้ฝึกวิชาเซียนทั้งโลก มีสักกี่คนเล่าที่เชื่อ ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ นี่ต้องถามลูกศิษย์คนดีของเจ้าแล้ว”
ถึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ดูท่าว่าพวกเขาคงต้องการคิดบัญชีกับลั่วปิงเหอแน่ เสิ่นชิงชิวสีหน้าไม่เปลี่ยน ดันลั่วปิงเหอไปแอบไว้ด้านหลัง พยายามเอาตัวบังไว้เท่าที่จะทำได้
ชิวไห่ถังกล่าวอย่างเจ็บแค้น “เสิ่นจิ่ว ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว ต่อให้เจ้ากลายเป็นเถ้าถ่านข้าก็ยังจำเจ้าได้ ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าที่เจ้าระเบิดพลังทิพย์ฆ่าตัวตายที่เมืองฮวาเยวี่ย ต้องเป็นการตบตาอย่างแน่นอน ฆ่าตัวตายเพื่อชดเชยความผิดอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ เจ้าจะเป็นคนเช่นนั้นไปได้อย่างไร ตอนที่ข้าเห็นเจ้าแวบเดียวในถ้ำของนางมารนั่น ข้าก็รู้แล้ว เจ้าไม่มีทางตายแน่”
เธอจำได้แต่กายเนื้อของฉัน แต่ดันจำวิญญาณฉันไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไรวะ เสิ่นชิงชิวคิดอย่างเซ็งๆ
วันนั้นตอนที่ถูกจับขังอยู่ในถ้ำฉื้ออวิ๋นของซาหัวหลิง เสิ่นชิงชิวช่วยทุกคนออกมา ได้พบกับนางเพียงแวบเดียว กลับเป็นการสุกิดให้นางสงสัย คอยเฝ้าสังเกตนับแต่นั้นมา กระทั่งตอนที่เขากลับไปชางฉยงซานแล้วถูกลั่วปิงเหอพาตัวมา ชิวไห่ถังก็ข้ามพื้นที่ชายแดนติดตามมาตลอดทางจนถึงภพมาร
ลั่วปิงเหอต้องจับแรดดำงูเหลือมวงพระจันทร์จำนวนมากมาทำลายเขตอาคมของสุสานศักดิ์สิทธิ์ ยุ่งวุ่นวายเต็มที ไม่มีสมาธิ ไม่ทนระวังป้องกัน เลยไม่ได้สังเกตว่ามีคนลอบตามหลังมาด้วย สรุปแล้วความแค้นของผู้หญิงไม่อาจดูเบาได้เลยจริงๆ
แต่การที่สองคนนี้ร่วมมือกันกลับเป็นสิ่งที่เสิ่นชิงชิวไม่เคยนึกฝันมาก่อน ทั้งไม่รู้ว่าพวกเขาสมคบกันตั้งแต่ตอนไหน
พอนึกถึงว่า ‘ตอนไหน’ เสิ่นชิงชิวพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ กล่าวถามขึ้น “ตอนนั้นจู่ๆ แม่นางชิวก็ออกโรงที่เมืองจินหลัน ตรงนี้ก็เป็นความดีความชอบของกงจู่เฒ่าด้วยหรือไม่”
ในเมื่อจู๋จือหลางปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ดังนั้นต้องเป็นคนอื่นที่ผลักดันอยู่เบื้องหลังแล้ว ไม่งั้นอาศัยกำลังสำนักปลาซิวปลาสร้อยของชิวไห่ถัง นางจะมีโอกาสเสนอหน้ามาได้ยังไงล่ะ
กงจู่เฒ่าของวังฮ่วนฮวาหัวเราะหยัน ไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ในอากาศมีปุยสีขาวเล็กๆ เหมือนดอกแดนดิไลออนลอยละล่องผ่านหน้าไป เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ผู้แซ่เสิ่นถามตัวเองแล้ว หาได้เคยล่วงเกินท่านกงจู่ผู้เฒ่าไม่…”
กงจู่เฒ่ากล่าวว่า “เรื่องมาถึงปานนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรต่อไปแล้ว”
เขากล่าวเสียงแหบแห้งเหมือนมีเสมหะก้อนใหญ่ค้างอยู่ในลำคอ “ตอนนั้นที่ลั่วปิงเหอเข้ามาอยู่ในวังฮ่วนฮวาของข้า ข้าทุ่มแทจิตใจฟูมฟักเขา คิดจะยกย่องเขาเป็นใหญ่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขากลับไม่ยอมกราบข้าเป็นอาจารย์ ยิ่งไม่ยอมแต่งงานกับลูกสาวข้า ในใจเขากลับมีแต่เจ้า ข้าย่อมตรวจสอบเรื่องราวของเจ้ายอดเขาเสิ่นอย่างละเอียด จะดูซิว่าเป็นบุคคลวิเศษวิโสปานไหนกัน นึกไม่ถึงว่าข้ากลับได้รู้เรื่องเก่าๆมากมาย สายสนกลในเกี่ยวกับตัวเจ้าข้าสืบมาจนหมด อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร เจ้าเคยทำอะไรมาก่อน เข้ามาเป็นศิษย์ของชางฉยงซานได้อย่างไร นับเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยสีสันโดยแท้ ต่อให้ไม่มีเรื่องคนเพาะเมล็ดพันธุ์ คุกน้ำก็เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว ใครจะรู้ว่ากลับมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ข้าเลยไม่ต้องเปลืองแรง”
พูดแบบนี้ท่าทางแปลกๆ ของศิษย์วังฮ่วนฮวาที่มีต่อเสิ่นชิงชิวในตอนนั้น ที่แท้แล้วไม่ใช่การชี้นำของลั่วปิงเหอ แต่เป็นเพราะกงจู่เฒ่าจงใจเสี้ยมนี่เอง เสิ่นชิงชิวอดหันไปมองลั่วปิงเหอแวบหนึ่งไม่ได้ ถ้าเจ้าเด็กคนนี้รู้จักคิดพลิกแพลงสักหน่อย ยอมกราบคนอื่นเป็นอาจารย์ ก็คงไม่เกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขนาดนี้หรอก แต่เรื่องยึดติดและดื้อด้านฝังหัวนี่เขาก็บ่นอะไรไม่ได้
เขาได้แต่ถอนใจกล่าวว่า “ศิษย์น้อยติดค้างน้ำใจของกงจู่อย่างใหญ่หลวง แต่สองกระบี่เมื่อครู่ เห็นชัดว่าตั้งใจพุ่งเป้าไปที่เขา ช่างตรงกันข้ามกับคำพูดนัก”
กงจู่เฒ่ากล่าวว่า “ตอนนั้นก็คือตอนนั้น แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกัน เจ้ายอดเขาโปรดหลีกให้พ้นทาง ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะลงเอยอย่างไร ข้าเพียงต้องการจะสะสางหนี้กับเจ้าเด็กคนนี้ก็เท่านั้น”
เสิ่นชิงชิวถาม “หากข้าหลีกทางให้ ท่านก็จะฆ่าเขาคนเดียว ไม่มายุ่งกับข้าใช่หรือไม่”
ชิวไห่ถังหัวเราะหยัน “เขาไม่ยุ่งกับเจ้า แต่ตรงนี้ยังมีข้าอีกคนอยู่ดี”
ความจริงพลังต่อสู้ของนางต่ำต้อยเสียจนไม่จำเป็นต้องใส่ใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้นับว่าเป็นปัญหาอยู่บ้าง
กงจู่เฒ่ากล่าวว่า “เดรัจฉานผู้นี้ไม่สำนึกบุญคุณ ทำร้ายข้าถึงขั้นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารเขาให้ตายใต้คมดาบให้ได้”
เสิ่นชิงชิวกล่าว “หากเขาไม่สำนึกบุญคุณจริงๆ คงไม่ละเว้นชีวิตลูกสาวท่านกับตัวท่านหรอก ตัดไม้ต้องถอนรากถอนโคน หลักการข้อนี้เขารู้ดียิ่งกว่าท่านกับข้าเสียอีก”
ตีให้ตายเขาก็ไม่นึกไม่ฝันเด็ดขาดว่าจะมีวันที่เขาอธิบายแก้ต่างให้ลั่วปิงเหอด้วย
ได้ฟังดังนี้กงจู่เฒ่าก็หัวเราะเสียงประหลาด ชิวไห่ถังกระชากผ้าห่มเนื้อหยาบที่คลุมร่างเขาออกทันที
เสิ่นชิงชิวลมหายใจสะดุด
ใต้ผ้าห่ม มีเพียงร่างกายเป็นแท่งสี่เหลี่ยม แขนขาทั้งสี่กุดหายหมดสิ้น
นึกไม่ถึงว่ากงจู่เฒ่าจะถูกหั่นจนเหลือแต่ตัวกุดๆไปแล้ว
ประมุกแห่งยุคผู้หนึ่ง กลายเป็นคนไม่ใช่คน ผีไม่ใช่ผี ซุกตัวอยู่ในเก้าอี้ล้อเข็นผุๆพังๆที่แสนจะโกโรโกโส ขยับได้แต่หัวเท่านั้น จุดจบที่เดิมเป็นของเสิ่นชิงชิว โดนย้ายไปแปะที่ร่างกงจู่เฒ่าเสียแล้ว
ความแค้นนี้ใหญ่หลวงนัก ใช่ว่าคำพูดโน้มน้าวสวยๆหรืออ้างพระอ้างเจ้าว่าต้องเมตตาเพียงไม่กี่คำก็จะสามารถแก้ปัญหาได้
กงจู่เฒ่าหัวเราะหยัน “ฝีมือลูกศิษย์คนดีของเจ้านั่นแหละ เห็นแล้วใช่หรือไม่ เขาทำแบบนี้สู้ฆ่าทิ้งตัดรากถอนโคนไปเลยดีกว่า”
เสิ่นชิงชิวเห็นด้วยอย่างมาก ทำไมไม่ฆ่าให้ตายๆไปเลยให้รู้แล้วรู้รอดนะ
ปลาน้อยสองตัวนี้ ตัวหนึ่งอยากฆ่าลั่วปิงเหอ ตัวหนึ่งอยากฆ่าเสิ่นชิงชิว ชิวไห่ถังพลังฝึกปรือไม่เท่าไหร่ ต้องการคนที่จะให้ความช่วยเหลือ ต่อให้กงจู่เฒ่าตกต่ำ แต่ฝีมือก็เหนือกว่านางมาก อูฐผอมโซยังไงก็ยังตัวโตกว่าม้า จะดีจะเลวก็เคยเป็นถึงหัวหน้าสำนัก แขนขาขาดด้วนเคลื่อนไหวไม่ได้ ทว่าพลังทิพย์ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย แบบนี้แหละที่เขาเรียก ชายหญิงจับคู่กันทำงานแล้วจะไม่เหนื่อย คนตาบอดแบกคนพิการก็ไปด้วยกันได้
เสิ่นชิงชิวหักกระบี่ที่รับไว้เมื่อครู่ด้วยมือเปล่าแล้วขว้างไปในพงหญ้า สายตาจับจ้องสองคนตรงหน้าเขม็ง
ความจริงแล้วเขาน่าจะลองเดิมพันสักตั้ง
แม้ดัชนีทองคำของลั่วปิงเหอใช้ไม่ได้ผลตอนเผชิญหน้ากับเทียนหลางจวินซึ่งเป็นตัวละครที่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย แต่กงจู่เฒ่ายังไงก็เป็นตัวละครที่อยู่ในขอบเขตของนิยายดั้งเดิม ลองเอากฎร่างทองคำไม่มีวันบุบสลายของพระเอกมาใช้กับฝ่ายนั้นก็น่าจะได้ผลอยู่ เขาจะลองปล่อยมือไม่เข้าไปยุ่งยังได้ เหมือนตอนด่านเมืองซวงหูที่เขาขุดหลุมหลอกฆ่ามารถลักหนังเตี๋ยเอ๋อร์ คราวนี้ก็ปล่อยให้กงจู่เฒ่าไปเล่นงานลั่วปิงเหอบ้าง แล้วดูซิว่าสุดท้ายแล้วใครจะตกหลุมใครกันแน่
กงจู่เฒ่าถามช้าๆว่า “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะหลีกหรือไม่หลีก”
เสิ่นชิงชิวเอาแขนลง เลือดที่มือหยุดพุ่งแล้ว ตอนนี้จึงเริ่มหยดติ๋งๆแทน
เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงเรียบเรื่อยไม่แสดงอารมณ์ “กงจู่บอกว่าเข้าเป็นศิษย์คนดีของข้า ท่านว่าข้าจะหลีกให้ท่านหรือไม่เล่า”
ทำไงได้ ตอนนี้กับตอนนั้นมันไม่เหมือนกันแล้วนี่นา
ไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมตัวเองให้มองดูเฉยๆไม่สนใจใยดี ปล่อยให้คนอื่นมาเล่นงานลั่วปิงเหอโดยอาศัยกฎร่างทองคำไม่บุบสลายของพระเอกเพื่อจะได้ดูว่าใครจะชนะเดิมพันได้หรอก
มาถึงป่านนี้ ถ้าเขายังเอาชีวิตลั่วปิงเหอไปเสี่ยงได้อย่างสบายอกสบายใจอีกล่ะก็ เขาคงกลายเป็นผู้ร้ายสารเลวเหมือนในนิยายดั้งเดิมไปจริงๆแล้ว
ทันใดนั้นกงจู่เฒ่าพลันถลึงตาใส่เขา ตวาดออกมาหลายคำเสียงดังลั่น
กงจู่เฒ่าไม่มีแขนขา เลยใช้วิธีแฝงพลังทิพย์ไว้ในเสียงตะโกนเพื่อโจมตี ทุกครั้งที่ตะโกนทีหนึ่ง เสิ่นชิงชิวจะรู้สึกว่ามีพลังปราณคมกล้าขุมหนึ่งฟันลึกเข้ามาราวกับขวานจาม อานุภาพไม่ด้อยไปกว่าฟาดโจมตีด้วยมือเลย ต้นไม้ต้นหญ้าสั่นไหวรุนแรง ใบไม้ใบหญ้าปลิวว่อน เสิ่นชิงชิวใช้มือขวาที่ยังคงมีเลือดไหลกุมปลอกกระบี่เข้าต้านรับสองสามที
แรงสั่นสะเทือนทำให้แผลที่ฝ่ามือปวดแสบมาก ถึงอย่างนั้นเสิ่นชิงชิวก็ไม่กล้าเปลี่ยนมือ เพราะหากไม่ใช้มือซ้ายกอดลั่วปิงเหอไว้ก็เกรงว่าอาจจะทำเขากระเด็นหลุดไป
ต่อให้ถูกเฉือนจนเหลือแต่ร่างกุดๆ กงจู่เฒ่าก็ไม่ได้อ่อนแอลงไปเลยแม้แต่น้อย มิน่าล่ะชิวไห่ถังถึงต้องอาศัยกงจู่เฒ่าเป็นที่เพิ่ง ขณะกำลังคิดมาถึงตรงนี้ อยู่ๆกงจู่เฒ่าก็กู้ร้องเสียงยาว ปลอกกระบี่ซิวหย่ามีเสียงแตกร้าวเบาๆ ในที่สุดก็ยันไว้ไม่อยู่ พลังแรงกล้าขุมหนึ่งจู่โจมเข้ามา เสิ่นชิงชิวล้มหงายไปข้างหลัง เขาพลิกตัวก่อนล้มถึงพื้น เอาตัวเองเป็นเบากันกระแทกไม่ให้ลั่วปิงเหอล้มฟาดพื้นเลยถูกทับจนเห็นดาว
ในที่สุดกงจู่เฒ่าก็หยุดตะโกน ชิวไห่ถังเข็นเขาเข้ามาใกล้ๆ ก่อนหยุดพักหายใจครู่หนึ่ง มองดูเสิ่นชิงชิวกอดลั่วปิงเหอเอาไว้ “เจ้ากลับคอยปกป้องเขาไว้จริงๆ”
ชิวไห่ถังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เสแสร้ง เสแสร้งทั้งเพ คนผู้นี้มันช่าง… เจ้าทำเช่นนี้ให้ใครดูกัน”
กงจู่เฒ่าถาม “ทำไมถึงไม่ใช้พลังทิพย์สู้กลับ”
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “ก็มันแห้งเหือดหมดแล้วน่ะซิ”
ปุยสีขาวเล็กละเอียดปุยแล้วปุยเล่าปลิวผ่าน จวนเจียนจะมาโดยแก้มซีดขาวของลั่วปิงเหออยู่รอมร่อ เสิ่นชิงชิวเป่าเบาๆ ปุยสีขาวก็ลอยเฉไปทางอื่น กงจู่เฒ่านึกว่านี่คือท่าทางยอมรับชะตากรรมรอเวลาตายของเขาก็ไม่สนใจอีก สายตาเบนไปจับใบหน้าที่ตาหลับพริ้มอยู่ของลั่วปิงเหอ
สีหน้าคลุ้มคลั่งแหกปากตะโกนไม่หยุดเมื่อครู่มลายหายเกลี้ยงเปลี่ยนเป็นเซื่องซึมแทน
เสิ่นชิงชิวใบ้กิน “…”
สีหน้าแบบนี้…ท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว
กงจู่เฒ่าจับจ้องอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนระบายลมหายใจ “ยิ่งเวลาหลับก็ยิ่งเหมือนมาก ยิ่งตอนที่ทำหน้าเย็นชาด้วยแล้ว”
แววตาโลมเลียของเขามองไล่ไปตามใบหน้าของลั่วปิงเหอขึ้นๆลงๆ นี่ถ้าเขามีมือคงยื่นไปลูบแล้ว
เสิ่นชิงชิวขนลุกขนพอง กอดศีรษะลั่วปิงเหอแน่นเข้าโดยไม่รู้ตัว แล้วซุกไว้ในอ้อมอก
สภาพของพวกเขาสองคนในตอนนี้คือลั่วปิงเหอซุกอยู่กับร่างของเสิ่นชิงชิว ศีรษะซุกอยู่ที่แผ่นอกเขา
เสิ่นชิงชิวกดเสียงต่ำ “ท่านมองให้ดีๆนี่มิใช่ซูซีเหยียน”
ชื่อนี้ปลุกสติกงจู่เต่า เขากล่าวอย่างดุดันว่า “ทำไมถึงไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า ทำไมถึงไม่เชื่อฟังกัน ข้าไม่ดีต่อเจ้าหรือ เจ้ามิใช่ต้องการวังฮ่วนฮวา ต้องการได้ตำแหน่งนี้ของข้าหรือ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้มาแต่เล็กแล้ว หากเชื่อฟังข้าแต่โดยดี ทำไมข้าจะไม่ยกให้เข้า พวกเจ้าทั้งคู่ล้วนเป็นพวกไม่สำนึกบุญคุณทั้งคู่ พวกเจ้ามันเนรคุณ!”
จากนั้นก็ด่าฟ้าด่าดิน ใช้คำที่โหดร้ายที่สุดสาปแช่งเทียนหลางจวินและเสิ่นชิงชิว ตะโกนด่าว่าพวกเจ้าเนรคุณหลายสิบหิน แต่แล้วท่าทางเขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมีเมตตาอีกครั้ง “ซีเหยียน เจ้ามานี่ ซือจุนจะให้อะไรเจ้า ดื่มเสีย…”
กงจู่เฒ่าเลอะเลือนไปแล้ว น้ำลายไหลย้อยลงมาจากมุมปาก ชิวไห่ถังแอบถอยไปข้างหลังด้วยสีหน้ารังเกียจ
เสิ่นชิงชิวเดาได้ทันทีว่าอะไรเป็นอะไรเลยยิ่งรู้สึกผือดผะอมมากขึ้น
มิน่ากงจู่เฒ่าถึงได้ดีต่อลั่วปิงเหออย่างน่าประหลาดมาตลอด มิน่าล่ะ ทั้งๆที่ซูซีเหยียนเป็นศิษย์ที่เขารักมากที่สุด นางกลับไม่อาลัยอาวรณ์ต่อวังฮ่วนฮวาแม้แต่น้อย นึกจะทรยศสำนักก็ทรยศดื้อๆ เดินหน้าไม่เหลียวหลังไปผูกสมัครรักใคร่กับชายหนุ่มของเผ่ามาร
‘ความรัก’ เช่นนี้ก็คือความรักของตาแก่หัวงูนั่นเอง ที่กงจู่เฒ่าโปรดปราดลั่วปิงเหอต้องเป็นเพราะเห็นเงาของศิษย์รักในอดีตจากตัวลั่วปิงเหอ จึงเอาความปรารถนาอันผิดปกติที่คิดอยากครอบครองซูซีเหยียนถ่ายโอนมาที่ตัวลั่วปิงเหอด้วย เพ้อฝันจะเลี้ยงดูให้เป็นตุ๊กตาหัวอ่อนว่าง่าย ได้เห็นเขาในสภาพสติฟั่นเฟือนเช่นนี้ น่ากลัวว่าไม่ได้ต้องการแค่ให้ลั่วปิงเหอรับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดวังฮ่วนฮวาอย่างเดียวแล้ว คำว่า ‘เชื่อฟัง’ จะต้องมีความหมายเกินกว่าความหมายตามตัวอักษรแน่
มิน่าลั่วปิงเหอถึงได้จับเขามาหั่นเป็นเนื้อหมู
เสิ่นชิงชิวเอามือประคองท้ายทอยลั่วปิงเหอ กดให้ใบหน้าเขาซุกอยู่กับซอกแขนตน ไม่ยอมให้กงจู่เฒ่าได้ลวนลามด้วยสายตาต่อ ก่อนกล่าวอย่างทนไม่ไหวว่า “พอได้แล้ว”
เมื่อไม่เห็นใบหน้านั้นกล้ามเนื้อบนใบหน้าของกงจู่เฒ่าก็ห่อเหี่ยวกระตุกเป็นระยะอย่างกับเป็นตะคริว ดวงตาฉายแววอาฆาตแค้ส พลันอ้าปากกว้าง
แต่เขาไม่ได้ตะโกนออกมา ลูกตาสองข้างถลน ทั้งตัวพลันแข็งทื่อเป็นประติมากรรมหินไปแล้ว
เสิ่นชิงชิวกลั้นหายใจ ในลำคอของกงจู่เฒ่ามีเสียงขลุกๆ ดวงตาเหลือกขาว เส้นเลือดฝอยแผ่ซ่านขึ้นมาถี่ยิบ ทว่าขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ฮ่าๆๆๆๆๆ
เอาแล้วไง
นึกว่าฉันโง่เป็นพ่อพระที่โดนตีแล้วไม่รู้จักโต้ตอบเหรอ
คิดว่าฉันต้องแบกคนไว้อีกคนเลยไม่ไม่แรงตอบโต้เหรอ
ชิวไห่ถังถามอย่างเสียขวัญ “เกิดอะไรขึ้น”
นางทำท่าจะชักกระบี่
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “แม่นางชิว ขอแนะนำเจ้าสักประโยค อย่าได้ชักกระบี่เด็ดขาด และอย่าได้บุ่มบ่ามใช้พลังทิพย์ นอกเสียจากว่าเจ้าอยากเป็นเหมือนเขา”
ชิวไห่ถังหมุนตัวเดินไปตรงหน้ากงจู่เฒ่าด้วยความสงสัย จากนั้นก็ร้องกรี๊ด
ตามรอยย่นถี่ยิบบนใบหน้าชราภาพของกงจู่เฒ่า มีตุ่มเนื้อเขียวๆผุดขึ้นมาจนทั่ว ดูท่าทางจะเจ็บปวดมาก ไม่เพียงไม่อาจขยับตัว กระทั่งจะพูดยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ
ชิวไห่ถังถามเสียงสั่น “เสิ่นจิ่ว จะ…เจ้าทำอะไรเขา”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่อย่าลืมว่า ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสุสานของคนอื่นเขา พวกเจ้านึกว่าเผ่ามารจะไม่มีกลไกอะไรไว้ปกป้องเลยรึ”
ปุยสีขาวที่ลอยอยู่ในอากาศ มองดูเหมือนดอกแดนดิไลออน ความจริงแล้วเป็นพืชชนิดหนึ่งของเผ่ามาร มีชื่อว่า ‘ใยไหมอารมณ์’
พืชชนิดนี้จะงอกบนร่างของสิ่งมีชีวิต อีกทั้งยังชอบผู้ที่ปล่อยพลังออกมาเป็นพิเศษ เมื่อใช้ปราณทิพย์หรือปราณมารจะเป็นการชักนำเมล็ดไปเพราะบนร่างคนผู้นั้น นี่คือสาเหตุว่าทำไมเมื่อครู่เสิ่นชิงชิวถึงได้พยายามใช้มือเปล่าเข้าสู้ แทบไม่ใช้พลังทิพย์เลย
เมื่อใยไหมอารมณ์เข้าสู่ร่างกายจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แค่คันนิดหน่อย มันใช้เลือดเนื้อเป็นดิน แต่พองอกเป็นต้นอ่อนก็จะแทงทะลุผิวออกมา ทุกครั้งที่มันสูงขึ้นหนึ่งชุ่นจะเจ็บปวดราวกับถูกขูดเลือดขูดเนื้อ นอกจากนี้ ยิ่งใช้พลังทิพย์มันจะยิ่งงอกงามได้เร็วขึ้น หากกล้าใช้พลังฟาดออกไปก็จะยิ่งงอกใหม่พึ่บพั่บ พริบตาเดียวก็แตกหน่อเป็นตุ่มๆ
เมื่อคู่กงจู่เฒ่าใช้เสียงคำรามเข้าต่อสู้มาตลอด ชีพจรทิพย์โคจรมารวมตัวอยู่ที่ศีรษะและลำคอ ตอนนี้ตุ่มเลยงอกขึ้นมาเต็มหน้าเขา ในช่องปากและลำคอจะต้องเต็มไปด้วยวัตถุแปลกปลอมเรียบร้อยแล้วเป็นแน่ ตุ่มเนื้อเหล่านี้มีก้านสั้นๆ ผิวนอกของมันปกคลุมด้วยขนอ่อนและเส้นเลือด รากนั้นหยั่งลึกลงไปใต้ชั้นผิวหนังและเลื้อยยาวจนเชื่อมต่อพันแน่นกับเส้นประสาท
เสิ่นชิงชิวเดาะลิ้น “กงจู่อย่าได้ตะโกนอีกเป็นอันขาด หากไม่แล้วใยไหมอารมณ์จะยิ่งเจริญงอกงาม แล้วขึ้นไปงอกในสมอง เช่นนั้นก็หมดทางรอดแล้ว
นี่เป็นภาพที่ทั้งน่าขยะแขยงและน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ชิวไห่ถังตัวสั่นเอามือปิดปาก แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ตาเหลือกสลบเหมือดไปเดี๋ยวนั้น
คนหนึ่งขยับตัวไม่ได้ อีกคนหมดสติไปละ ชนะขาด!
เสิ่นชิงชิวระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ประคองลั่วปิงเหอลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก
กงจู่เฒ่าหน้าขึงตึง กล่าวอู้อี้ “อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันหรอก”
กว่าเขาจะกล่าวคำเหล่านี้ออกมาได้ก็เจ็บจนหน้าเหยเก ตุ่มเนื้อบนใบหน้าสั่นกระตุกตาม
เสิ่นชิงชิวทำเสียงอือ จากแขนขวาไปถึงหัวไหล่ ลึกลงไปถึงเนื้อใน เสิ่นชิงชิวก็กำลังเจ็บปวดจนเจียนประสาทกินเลยทีเดียว
ตอนที่เขารับกระบี่สองเล่มนั้น จำใจต้องใช้พลังทิพย์เช่นกันและตอนนี้มันก็งอกแล้ว
แต่…ยังดี อย่างน้อย…ในที่สุดลั่วปิงเหอก็ปลอดภัยแล้ว
เห็นเสิ่นชิงชิวกึ่งลากกึ่งแบกลั่วปิงเหอทำท่าจะจากไป กงจู่เฒ่าทำเสียงอื๊อๆในลำคอ อารามร้อนใจเลยร่วงลงมาจากเก้าอี้ล้อเข็น ร่างกายที่ไม่มีแขนขากระดืบไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้อย่างยากลำบากทีละนิด ดูเป็นภาพที่ทั้งน่าพรั่นพรึงและน่าเวทนาอย่างยิ่ง
กงจู่เฒ่าร้องอู้อี้ “อย่าไป…อย่าไป ห้ามไป…”
เสิ่นชิงชิวจ้ำเท้าให้เร็วขึ้น ไม่คาดคิดว่าจู่ๆแววตาของกงจู่เฒ่าก็ดุดันขึ้นมา เปล่งเสียงคำรามจากลำคอ
เขาถึงกับยอมเสี่ยงเอาชีวิตเข้าแลกแค่ขอให้ได้โจมตี!
เสิ่นชิงชิวไม่เข้าใจ ว่าที่กงจู่เฒ่าห้ามคือไม่อยากให้พวกตนไปหรือไม่อยากให้ลั่วปิงเหอมีชีวิตรอดกันแน่ เขาใช้ปลอกกระบี่ที่มีรอยร้าวเข้าต้านรับไว้อีกครั้ง ทำเอามือขวาสั่นสะเทือนไปถึงตุ่มเนื้อที่งอกขึ้นมา เจ็บแสนสาหัสจนเจียนขาดใจเลยทีเดียว แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่ยอมทิ้งลั่วปิงเหอ ด้วยความที่เจ็บมากจนเลือดลมปั่นป่วน เขาถลึงตามองกงจู่เฆ่า แววตาทอประกายสังหารขึ้นมาฉับพลัน
เมื่อครู่กงจู่เฒ่าคำรามไปครั้งหนึ่ง ตุ่มเนื้อก็แตกหน่อขึ้นมาอีกไม่น้อย ถึงขนาดว่ามีบางตุ่มแตกหน่อออกมาจากหางตาด้วย เขาเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดูคล้ายเนื้อหมูชิ้นยาวๆชิ้นหนึ่ง กลิ่งสองสามตลบไปตามพื้นจนถึงข้างกายชิวไห่ถัง ตะโกนกรอกหูนางว่า “เจ้ามิใช่อยากฆ่าเสิ่นชิงชิวหรอกหรือ เขาอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไรเล่า มัวนอนอยู่ทำไม รีบลูกขึ้นมาซิ ฆ่าเขาซะ ฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือ”
ชิวไห่ถังถูกกงจู่เฒ่าตะโกนใส่จนค่อยๆฟื้นขึ้นมา แวบแรกที่นางเห็นคือใบหน้าแก่ๆเหมือนเปลือกส้มตากแห้ง บนหน้ายังมีสิ่งประหลาดงอกขึ้นเต็ม ทั้งเป็นหลุมเป็นบ่อถี่ยิบโชกเลือด ชวนสยดสยองจนขวัญกระเจิง จึงกรีดร้องไม่หยุด ชูกระบี่ขึ้นฟาดมั่วซั่ว
เสิ่นชิงชิวกลัวนางบุ่มบ่ามใช้พลังทิพย์จนทำให้ใยไหมอารมณ์งอกขึ้นตามตัว เลยตะโกนว่า “ใจเย็นก่อน”
กงจู่เฒ่าทำเสียงประหลาด “เร็วเข้าซิ เร็วเข้า เจ้ามิใช้ขอให้ข้าช่วยจัดการเขามาตลอดเลยหรอกหรือ ตอนนี้เขากำลังจะยันไม่ไหวอยูแล้ว รีบลงมือเร็วเข้า”
ชิวไห่ถังหันมามองเสิ่นชิงชิวเต็มา จึงค่อยๆได้สติกลับคืนมา สองมือสั่นระริก สายตาไม่หันเหไปทางอื่นอีก พูดอย่างแฟร์ๆแล้ว เสิ่นชิงชิวไม่มีความแค้นอะไรกับชิวไห่ถัง อีกทั้งจะว่าไปนางก็เป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำของเสิ่นชิงชิวตัวออริจินอลด้วยซ้ำ แต่ถ้านางเข้ามาขวางทาง เขาก็จำเป็นต้องลงมือแล้ว
ที่ผิดคาดคือชิวไห่ถังไม่ได้มีทีท่าเหมือนอยากฆ่าแบบไม่เกรงกลัวใครหน้าไหน ซ้ำเอาแต่เบิกตามองเสิ่นชิงชิวอย่างเหม่อลอย พอย้ายไปมองลั่วปิงเหอในอ้อมกอดเขา นางไม่เพียงไม่เดินเข้าหา หากแต่ถอยหลังไปสองสามก้าวเสียด้วยซ้ำ
ริมฝีปากนางสั่นระริก “เป็นไปไม่ได้…เป็นไปไม่ได้…โกหก! โกหกทั้งเพ ใม่ใช่พี่ชายข้านะ พี่ชายข้าไม่ผิด ไม่ใช่พี่ชายข้า เจ้าโกหก”
เป็นอะไรไปล่ะนี่
นางทั้งร้องไห้ทั้งตะโกน “ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ทำไมข้าต้องทรมานมาตลอดหลายปีนี้ด้วย”
เสิ่นชิงชิวงง ชิวไห่ถังหมดสติไปแค่แป๊บเดียว พอฟื้นขึ้นมาทำไมถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนแบบนี้เลยล่ะ
หรือช่วงที่สลบดันเห็นบางสิ่งบางอย่างที่รับไม่ได้ในฝันมา เลยหวาดกลัวจนเสียสติไปแล้ว
เสิ่นชิงชิวนึกรู้ว่าเรื่องนี้มีเลศนัย จึงกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าอย่าได้ขบับตัวมั่วซั่ว”
กงจู่เฒ่าตะโกน “เจ้ามัวรออะไรอยู่อีก”
ชิวไห่ถังสูญสิ้นสติรู้คิดไปแล้ว เอามือกุมหัว กรีดร้องเสียงแหลมใส่เสิ่นชิงชิว “ตกลงเจ้าคิดอย่างไรกับข้ากันแน่ เกลียดข้า? สงสารข้า? ต้องการให้ข้าอยู่อย่างทรมานไปชั่วชีวิต? เหตุใดไม่ฆ่าข้าเสียเลย? ทำไมถึงไม่ฆ่าข้า!?”
เสิ่นชิงชิวถูกเสียงตะโกนของนางทำจนมึน ชิวไห่ถังฉวยจังหวะนี้รีบวิ่งเตลิดหนีไป เขาตะโกนตามหลัง “กลับมาก่อน วิ่งมั่วซั่วในสุสานศักดิ์สิทธิ์มีแต่ตายสถานเดียวนะ”
แต่นางวิ่งไปไกลแล้ว และเขาก็ไม่ว่างพอจะวิ่งตามไปเสียด้วย เสิ่นชิงชิวทั้งหดหู่ทั้งใจหาย ไม่รู้จริงๆว่ารู้สึกยังไงกันแน่
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไว้อาลัยให้นางเงียบๆแล้วมุ่งหน้าต่อ
กงจู่เฒ่าเห็นนางวิ่งไปไกลแล้ว ส่วนเสิ่นชิงชิวก็จ้ำเท้าห่างออกไปเรื่องๆ ในที่สุดความหวังก็ดับสูญ ชายชรานอนคว่ำหน้ากับพื้นอย่างเหม่อลอย แต่จู่ๆก็ซุกหัวเข้าไปกัดใบหญ้าคำหนึ่ง
เขาเคี้ยวหญ้าไปหัวเราะไป ยิ่งหัวเราะตุ่มเนื้อบนศีรษะก็ยิ่งงอกถี่เร็วขึ้น ชั่วพริบตาก็ปกคลุมทั่วทั้งศีรษะ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
เสิ่นชิงชิวเหมือนจะได้ยินเสียงแปลกๆของกะโหลกกับเนื้อเยื่อในสมองถูกบด
กงจู่เฒ่าหายใจครืดคราดอีกสองสามที วางศีรษะหนักอึ้งลงกับพื้น จากนั้นก็ยกไม่ขึ้นอีกเลย
ประมุขแห่งยุคผู้หนึ่งกลับต้องมาตายอย่างน่าสังเวชเช่นนี้ ช่างพาให้คนต้องทอดถอนใจจริงๆ
เสิ่นชิงชิวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงที่ฟังว่างเปล่าเลื่อนลอยก็ดังขึ้นข้างหูเหมือนดังมาจากทุกทิศทุกทาง
เทียนหลางจวินกล่าวกลั้วหัวเราะ “เจ้ายอดเขาเสิ่นเล่นซ่อนหาเก่งจริงๆ มิสู้ลองเดาดูว่าพวกเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไร”
เสิ่นชิงชิวคลำที่ขาเจอเข้ากับสิ่งแปลกปลอมขยุ้มหนึ่ง เหงื่อเย็นๆผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก ไหลลงมาเป็นหยาดหยด ใยไหมอารมณ์แล่นไปตามเส้นชีพจรลงไปที่ขาแล้ว
เทียนหลางจวินส่งเสียงมาอีกครั้ง “มุ่งหน้าไปทางตะวันออก คงคิดจะไปให้ถึงปากทางที่ถูกทลายเข้ามาเพื่อหนีออกไปจากสุสานศักดิ์สิทธิ์หรือ”
ตานี่ดันรู้ตำแหน่งเขาอีกแน่ะ เสิ่นชิงชิวนึกผวาอยู่ในใจ ก้มมองดูขาตัวเอง หากปล่อยให้ใยไหมอารมณ์หยั่งรากขึ้นจนเต็มขาล่ะก็ ถึงตอนนั้นคิดจะไปก็ไปไม่ได้แล้ว เขากัดฟัน มองลั่วปิงเหอแวบหนึ่ง ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นฉีกชายเสื้อออกมา จับตุ่มเนื้อทั้งกระจุกไว้แล้วกระชากอย่างแรง
เขารู้สึกเหมือนในสมองขาวโพลงไปหลายสิบวิ เจ็บเหมือนถูกกระชากเนื้อหลุดทั้งแถบเลยทีเดียว
เสิ่นชิงชิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆหลายที สติค่อยๆแจ่มใสขึ้นจึงพบว่าเสียงหายใจของตนเองนั้น ฟังแล้วเหมือนเสียงสะอื้นไม่ผิด
ตอนนี้กระทั่งจะเช็ดหน้าเขายังทำไม่ไหว ทำไงได้ เชี่ยเอ๊ย…แม่งเจ็บสุดๆเลย
แต่แม้เลือดยังไหลโกรกเป็นสาย อย่างน้อยๆเขาก็เดินต่อได้แล้ว ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกอยู่เลยว่าลั่วปิงเหอช่างดูน่าอนาถนัก ใครจะไปนึกว่าสภาพของเขาในตอนนี้อนาถยิ่งกว่าหลายเท่า
เทียนหลางจวินรู้ตำแหน่งเขา จะต้องตามมาทางนี้แน่ หากพาลั่วปิงเหอเดินต่อไปทางตะวันออกก็ต้องจ๊ะเอ๋กับสองลุงหลานนั่นแน่นอน
เสิ่นชิงชิวออกจากห้องที่เหมือนป่าดงดิบ จากนั้นทะลุผ่านอีกหลายห้อง เขารีบเข้าไปหาโลงหินที่ยังพอจแห้งสะอาดใบหนึ่ง เอามือประคองศีรษะลั่วปิงเหอวไว้แล้วค่อยๆวางร่างกายฝ่ายนั้นลงไปอย่างระมัดระวัง ลองเอาหลังมือแตะหน้าผากดู พบว่ามันยังร้อนลวกอยู่ แต่ตราประทับที่หว่างคิ้วกลับยิ่งแดงเจิดจ้ามากขึ้น
เสิ่นชิงชิวเอากระบี่ซินหมัววางไว้ใต้มือลั่วปิงเหอ สำรวมสติให้มั่นแล้วค่อยๆปิดฝาโลง
เทียนหลางจวินเดินนำหน้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อย โดยมีจู๋จือหลางตามหลังมาติดๆ พอเลี้ยงมุมตรงทางเดินหินก็เจอเสิ่นชิงชิวกุมกระบี่ซิวหย่ายืนอยู่ใจกลางห้องๆหนึ่ง กำลังมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาประหนึ่งว่าคอยพวกเขาอยู่นานแล้ว
เสื้อเขียวของเสิ่นชิงชิวถูกอาบย้อมเป็นสีแดงไปครึ่งหนึ่ง มือขวามีเลือดไหลมาตามคราบเลือดแห้งกรัง ริมฝีปากซีดขาวแทบเป็นสีเดียวกับหน้า
เทียนหลางจวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “ไม่เจอกันประเดี๋ยวเดียว ไฉนเจ้ายอดเขาเสิ่นถึงได้มีสารรูปเช่นนี้เล่า”
เสิ่นชิงชิวมองดูเขา เห็นๆอยู่ว่าเทียนหลางจวินถูกเสาลาวากลืนเข้าไปตอนอยู่ที่ตำหนักโกรธา แต่ตอนนี้ร่างกายของเทียนหลางจวินกลับไม่มีกระทั่งกลิ่นควันด้วยซ้ำ อย่างมากตรงชายเสื้อก็ไหม้ไปนิดเดียวเท่านั้น
อย่างนี้ก็มีด้วย!!!
เทียนหลางจวินถามเขาว่า “ศิษย์รักของเจ้ายอดเขาเสิ่นล่ะ”
เสิ่นชิงชิวตอบ “ออกไปแล้ว”
เทียนหลางจวินกล่าวยิ้มๆ “เจ้ายอดเขาเสิ่นยังอยู่ที่นี่ เขาจะไปได้อย่างไร”
เสิ่นชิงชิวก็ยิ้มให้เขาบ้าง ยิ้มกันไปยิ้มกันมา จู่ๆเทียนหลางจวินก็ยิ้มไม่ออก เพราะเขาค้นพบว่าตนก้าวขาไม่ได้เสียแล้ว
เทียนหลางจวินก้มหน้ามอง จากเท้าขึ้นมาถึงเอวถูกผลึกน้ำแข็งอันแกร่งหนาห่อหุ้มจนทั่วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และตอนนี้กำลังลามขึ้นมาที่ลำตัวเขา สภาพของจู๋จือหลางแย่งยิ่งกว่าเขาอีก ขาสองข้างและแขนหนึ่งข้างถูกน้ำแข็งจับจนแข็งเป๊ก
เทียนหลางจวินจึงค่อยสังเกตว่าในห้องนี้หนาวจับจิตเลยทีเดียว เขากล่าวอย่างมั่นใจ “ตระกูลโม่เป่ย”
ห้องนี้ก็คือห้องเก็บศพที่ปู่ของโม่เป่ยจวินสร้างมากับมือนั่นเอง สายเลือดของพวกเขามีความเชี่ยวชาญในการบังคับน้ำแข็ง เวทน้ำแข็งอยู่เหนือผู้ใดในเผ่ามาร ไม่มีใครเทียม สุสานที่อยู่ด้านหลังเสิ่นชิงชิวนี้ย่อมเอาเวทน้ำแข็งมาใช้เช่นกัน
ในสุสานศักดิ์สิทธิ์ทุกหนทุกแห่งล้วนมีไอเทมและพื้นที่ให้เขาเอามาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้องให้เขาออกแรงต่อสู้เลย ยังไงก็มีของที่เขาสามารถเอามาใช้รับมือคู่ต่อสู้ได้เสมอ
เสิ่นชิงชิวจำได้ ในนิยายดั้งเดิมได้บรรยายเอาไว้ว่าหากมีของที่อุณหภูมิสูงกว่าอากาศภายในห้องนี้ สิ่งนั้นจะโดนข่ายมนตร์เยือกแข็งแปรสภาพให้กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งไปทันที แข็งอยู่ประมาณสองสามวัน ตัวก็จะแตกร้าวกลายเป็นสะเก็ดน้ำแข็งไป ดังนั้นก่อนเข้ามาในห้องนี้เขาจึงได้เดินชีพจรทิพย์ไว้ทั่วร่างเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกายให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเหตุนี้หน้าเขาถึงได้ดูซีดจัด
ช่วงเวลานี้น้ำแข็งได้ไต่ขึ้นมาถึงแผ่นอกเทียนหลางจวินแล้ว สีหน้าเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ปราณมารในมืออวลตลบ ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจทำลายผลึกน้ำแข็งที่ห่อหุ้มกำปั้น กระนั้น ต่อให้แช่แข็งเขาไม่ได้ตลอดไป อย่างน้อยยังพอถ่วงเวลาได้อยู่
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ดูเหมือนข้าจะไม่ได้คิดไปเองจริงๆ เจ้ายอดเขาเสิ่นรู้จักพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าข้าเป็นอย่างดี แทบกล่าวได้ว่าราวกับฝ่ามือตนเองทีเดียว”
เสิ่นชิงชิวไม่พูดไม่จา โบกมือให้พวกเขาแล้วหมุนกายจากไป
เทียนหลางจวินปรายตามองจู๋จือหลางแวบหนึ่ง กล่าวอย่างแช่มช้าว่า “ข้าเคยบอกแล้ว หากเจ้าต้องการจะพาเจ้ายอดเขาเสิ่นมาภพมาร ต้องเอาให้แน่ใจว่าเขาจะไม่มาทำให้พวกเราเสียเรื่อง ควรต้องทำอย่างไร เจ้ารู้แล้วนะ”
จู๋จือหลางกล่าวเสียงแผ่ว “บ่าวทราบแล้วขอรับ”
ได้ฟังสองประโยคนี้ เสิ่นชิงชิวพลันรู้สึกว่าเขาอาจหลงลืมหรือละเลยอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆไป
จู๋จือหลางกล่าว “เสิ่นเซียนซือ ต้องขอโทษท่านแล้ว”
ห้ามเลยนะ ห้ามเด็ดขาด ขนาดนายรู้สึกขอบใจฉัน ยังทำซะฉันอนาถขนาดนี้ หากนายรู้สึกผิดกับฉัน ฉันยังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเรอะ
ขณะกำลังคิดเช่นนี้เสิ่นชิงชิวที่ตอนแรกยังดีๆอยู่ พลัน! ตัวเซวูบจนต้องเกาะผนังหินเอาไว้
เขารู้สึกว่าอะไรบางอย่างในท้องกำลังดิ้นดุกดิก แล้วไต้ไปตามเส้นชีพจรทั่วร่าง ความรู้สึกนี้มันช่างคุ้นเคยจนน่ากลัว เสิ่นชิงชิวเกือบร้องด่าเช็ดแม่ ออกมาเดี๋ยวนั้น
ตอนนี้ลั่วปิงเหอหลับปุ๋ยอยู่ในโลง งวดนี้ที่ร่างกายเขาปั่นป่วนขึ้นมาก็ต้องเป็นเลือดของคนอื่นเท่านั้นแล้ว
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “เจ้ายอดเขาเสิ่นไม่น่าจะดื่มเป็นครั้งแรก ทำไมถึงยังไม่ชินอีกเล่า”
เสิ่นชิงชิวพยายามฝืนอาการคลื่นไส้จะอาเจียน “…พวกเจ้าเอาให้ข้าดื่มตอนไหน”
เทียนหลางจวินกล่าวเสียงเย้า “เจ้ายอดเขาเสิ่นอย่าลืมซิ ร่างเซียนของเจ้าอยู่ในมือพวกข้ามิใช่เวลาสั้นๆเลย พวกข้าทำอะไรได้ตั้งมากมายเชียวนะ”
มิน่าถึงรู้ตำแหน่งของเขาได้อย่างง่ายดาย เสิ่นชิงชิวชะงักแล้วเดินหน้าต่อ ยิ่งเดินก็ยิ่งปวดในท้องราวกับมีอะไรมาบิด แต่ความเร็วของเขาก็ไม่ได้ลดลงกลับเร่งขึ้นด้วยซ้ำ ที่เขายังเดินได้เร็ว สาเหตุหนึ่งก็มาจากเขามีความสามารถในการอดทนต่อความเจ็บปวดเพิ่มขึ้น อีกอย่างคือเขารู้ดีว่าจะมายอมแพ้เอาตอนนี้ไม่ได้
ฉวยจังหวะที่สองคนนั้นกำลังถูกแช่แข็ง ยังพอมีโอกาสหนีได้อยู่ หากรอให้พวกเขาละลายน้ำแข็งได้สำเร็จ คิดจะถ่วงเวลาอีกก็ลำบากแล้ว
แม้ในใจจะรู้ถึงผลดีผลเสียอย่างกระจ่าง แต่ยิ่งเดินเร็วจู๋จือหลางก็ยิ่งเร่งเร้ากู่โลหิตในกายเขารุนแรงยิ่งขึ้น เสิ่นชิงชิวหันกลับไปถลึงตาใส่อย่างอดไม่อยู่ หน็อย บอกว่าอยากตอบแทนบุญคุณ ก็คือให้กู่โลหิตมันเอาท้องฉันเป็นที่ฟักไข่อยู่กันเป็นครอบครัวสุขสันต์งั้นรึ
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “เช่นนี้เขายังเดินไปได้ไกลขนาดนี้ เจ้ายอดเขาเสิ่นจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวผิดมนุษย์มนาโดยแท้ หรือพูดได้ว่าเพื่อลูกชายข้าแล้ว กระทั่งชีวิตก็ไม่ต้องการแล้วอย่างนั้นหรือ”
ทันใดนั้นจู๋จือหลางกล่าวอย่างไม่ได้ศัพท์ “จวินซั่ง ข้า…บ่าวควบคุมไม่อยู่แล้ว”
พูดยังไม่ทันขาดคำเสิ่นชิงชิวพลันรู้สึกว่าความเจ็บปวดที่ท้องสลายไปกะทันหัน ร่างกายเบาขึ้น จึงรีบออกวิ่งทันที
เทียนหลางจวินเห็นเขาอยู่ๆก็วิ่งได้ขึ้นมา เลยกล่าวอย่างประหลาดใจ “เลือดของเจ้ามิใช่ควบคุมเขาได้หรอกหรือ”
จู๋จือหลางเองก็ไม่เข้าใจ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ควบคุมได้นะขอรับ แต่ตอนนี้ไม่ทราบทำไมถึงควบคุมไม่อยู่แล้ว”
ในหูเสิ่นชิงชิวมีเสียงหึ่งๆได้ยินอะไรไม่ชัด มองอะไรก็ไม่แจ่มแจ้งคิดว่ายังไงก็ต้องเอาตัวลั่วปิงเหอไปส่งให้ถึงปากทางเข้าแล้วโยนออกไปให้ได้ เขาวิ่งเหยาะๆโดยเกาะไปตามผนัง แต่แล้วก็ไม่รู้ไปเตะโดนอะไรเข้าจนตัวโอนเอนไปนิดหนึ่ง ฝืนยันมาได้นานขนาดนี้ ร่างกายเขาใกล้จะถึงขีดจำกัดเต็มทีแล้ว จวนเจียนจะล้มมิล้มแหล่ และแล้วเข่าก็อ่อนยวบ คราวนี้เขาไม่ได้ล้มลงไปเพราะถูกมือข้างหนึ่งคว้าเอาไว้มั่น กึ่งประคองกึ่งอุ้มขึ้นมา
เสิ่นชิงชิววิงเวียนจนหูตาลาย พยายามเพ่งมอง
ทางเดินมืดสลัวเขาจึงเห็นไม่ค่อยชัดนัก ทว่ากลับสามารถมองเห็นแววตาที่ลุกเรืองด้วยความโกรธได้ชัดเจน รวมทั้งตราบาปที่เปล่งแสงสีแดงฉานนั่นด้วย
เทียนหลางจวินกับจู๋จือหลางกลายเป็นน้ำแข็งจากเท้าถึงหัวแล้ว ไอสีดำลอยวนเวียนอยู่รอบๆบริเวณที่สองประติมากรรมน้ำแข็งตั้งอยู่
ลั่วปิงเหอสาวเท้าเข้ามาในห้อง ไอน้ำแข็งสีขาวลอยขึ้นมาเป็นสายจากรองเท้าสีดำของเขา แต่ถูกเขากระทืบแตกอย่างไม่ยี่หระแม้แต่น้อย เขาฟาดฝ่ามือไปที่รูปปั้นน้ำแข็งทั้งสองนั่น ก่อให้เกิดรอยร้าวที่ผลึกน้ำแข็งเป็นลายคดเคี้ยวยาว
เสิ่นชิงชิวกึ่งๆเอนพิงผนังหินไว้ กล่าวว่า “ไม่มีประโยชน์หรอก ผลึกน้ำแข็งที่จับตัวขึ้นรูปแล้ว ไม่มีทางแตกง่ายปานนั้น อีกทั้งเจ้าตีไปเช่นนี้อย่างไรก็ฟาดไม่โดนตัวพวกเขาหรอก สู้ฉวยโอกาสที่พวกเขากำลังถูกผนึกรีบหนีออกจากสุสานศักดิ์สิทธิ์ดีกว่า”
ลั่วปิงเหอหมุนกายเดินมาหาเขาทันที
พอได้เห็นลั่วปิงเหอ เสิ่นชิงชิวก็ทั้งตกใจทั้งดีใจ เดิมตนตั้งใจว่าจะกลับไปรับเขาที่โลงหิน แต่ไม่นึกว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาเองเรียบร้อบแล้ว เกือบโพล่งถามออกไปอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่กลับพบว่าลั่วปิงเหอดูเหมือนจะโกรธมาก
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเข้ม “มิใช่บอกท่านแล้วหรอกหรือว่าอย่าได้ตามพวกเขาไป”
ประโยคนี้แทบเป็นการตวาดเลยทีเดียว
เสิ่นชิงชิวตอนแรกก็มึนงงอยู่แล้ว พอถูกตะคอกใส่หูเต็มๆ ก็ปวดหัวจี๊ดเหมือนโดนคนสาดน้ำเย็นเฉียบใส่ เขาเซ่อไปครู่หนึ่ง แล้วไฟโทสะก็ลุกโชน
เขากล่าวเสียงกระด้างว่า “เจ้าหายดีแล้วรึ”
น้ำเสียงลั่วปิงเหอยังคงไม่ดีนัก “ดีอะไรกันเล่า”
เห็นว่าเขายังคงเสียงดีไม่มีตกก็น่าจะหายดีแล้วนั่นแหละ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับว่าตอบแทนน้ำใจลั่วปิงเหอได้นิดหน่อยแล้ว เสิ่นชิงชิวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”
ว่าแล้วก็หมุนกาย คลำทางสะเปะสะปะเดินออกไป
ความจริงเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี หากอยากออกไปให้พ้นจากสุสานศักดิ์สิทธิ์จำต้องอาศัยกระบี่ซินหมัวกับลั่วปิงเหอ จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ขาดไปหนึ่งก็ได้แต่เร่ร่อนสะเปะสะปะอยู่ในสุสานศักดิ์สิทธิ์นี่ต่อไปเท่านั้น
แต่ว่าคนแก่สู้อุตส่าห์ทุ่มชีวิตลากคนหนุ่มมาตลอดทาง กลับยังมาโดนตะคอกใส่หน้าเสียได้ จะอยู่ต่อก็หมดอารมณ์แล้ว
เขาเดินต่อได้ไม่กี่ก้าว เทียนปราณมรณะบนผนังหินก็ดันลุกพึ่บขึ้นมาอีก แสงเทียนอ่อนจางจับใบหน้าซีกหนึ่งของเขา
ลั่วปิงเหอยื่นมือมาฉุดเขาไว้ทันที “ท่านร้องไห้หรือ”
เสิ่นชิงชิวได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง
เขาร้องไห้หรือ
เขาเนี่ยนะ ร้องไห้
จะเป็นไปได้อย่างไร
เสิ่นชิงชิวยกมือซ้ายขึ้นลูบแก้ม มือที่ยังสภาพดีข้างนี้ประคองลั่วปิงเหอไว้มั่นมาตลอดทาง ตอนนี้จึงค่อยมีโอกาสใช้ทำอย่างอื่นบ้างแล้ว เมื่อยกมือข้างนี้ลูบหน้าก็พบว่าใบหน้าของตัวเองมีน้ำตาอาบนองตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เลย
เสิ่นชิงชิวพลันนึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาตอนที่เขากระชากใยไหมอารมณ์ที่งอกอยู่บนขาจนหนังติดออกมาด้วยนั่นเอง
ดูไม่จืดเลยจริงๆ
ความโกรธในน้ำเสียงลั่วปิงเหอเมื่อครู่สลายไปอย่างไร้ร่องรอย เขากล่าวอย่างลนลาน “จะว่าไปตอนนี้ข้าเหมือนแว่วเสียงซือจุนร้องไห้ ที่แท้เป็นเรื่องจริงหรือนี่”
เสิ่นชิงชิวอายจนโมโห “ร้องเริ้งอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่อง”
พูดจบก็สะบัดมือออกเดินไปทันควัน
ลั่วปิงเหอรีบเข้ามากอดเขาไว้จากด้านหลัง ให้ตายเหอะ! จำเพราะจะต้องมากอดโดนมือขวาของเขาตรงที่ใยไหมอารณ์มันงอกรากพอดีเสียด้วย ถึงเสิ่นชิงชิวอดกลั้นไม่แหกปากร้องได้ แต่ยังคงทำเสียงงื้ดออกมาอยู่ดี
ลั่วปิงเหอรีบคลายแขน ยกมือขวาของเขาขึ้นส่องดูกับแสงเทียน
ยิ่งดูก็ยิ่งตกใจ ตอนนี้บนร่างเสิ่นชิงชิวแทบไม่มีพื้นที่ส่วนไหนดูได้เลย แผลเอย คราบเลือดเอย เหวอะหวะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวชนิดแยกไม่ออก น่าสังเวชจนทนดูไม่ได้เลยทีเดียว
ลั่วปิงเหอจำได้ว่าก่อนที่เขาจะสลบไป เสิ่นชิงชิวยังดีๆอยู่เลย เขากล่าวเสียงสั่น “ทั้งหมดนี้…เพื่อ…ข้า…หรือ”
เสิ่นชิงชิวอยากกระอักออกมาเป็นเลือดเดี๋ยวนั้น ไม่ใช่มั้ง
แต่เขาก็พูดไม่ออก การจะงัดแผลมาอวดเพื่อเรียกบุญคุณน่ะ มันน่าอายนะ เขาทำไม่ได้หรอก จึงได้แต่พูดว่า “มือเจ้า ปล่อยก่อน”
ลั่วปิงเหอรีบเปลี่ยนสีหน้าในพริบตา กล่าวเสียงอ่อนว่า “ไม่ปล่อย ซือจุนอย่าโกรธเลยนะขอรับ ข้าผิดไปแล้ว”
เขาพูดประโยคนี้มากี่ครั้งแล้ว
เสิ่นชิงชิวเอามือปัดทีหนึ่ง รีบเดินเข้าซ ฝีดิบตาบอดมันล้อมเข้ามาแล้ว จะมายืนขวางอยู่ทำไม
ลั่วปิงเหอถูกเขาทำท่าไล่ส่งก็ยิ่งเกาะติดเป็นตังเม แกะยังไงก็ไม่ออก “หรือไม่ซือจุนก็ตีข้าเถอะ จะได้ระบายอารมณ์นะขอรับ”
ใครก็ได้ช่วยจับไอ้สาย M คนนี้ไปขังที!
เขาเดินราวกับจะเหิน คนทั้งคู่เดินไปในสภาพที่ลั่วปิงเหอเกาะติดเสิ่นชิงชิวไปตลอดทาง ทำไมเขาจะไม่เท่าทันลูกไม้ของลั่วปิงเหอ ก็เจ้าศิษย์ตัวดีของเขามันรู้ดีน่ะซิว่าคนอย่างเขาต้องใช้ไม้อ่อน ห้ามใช้ไม้แข็ง ตื้ออยู่ครึ่งค่อนวัน เสิ่นชิงชิวก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เจ้าก็เป็นเช่นนี้ตลอด ร้องห่มร้องไห้สำนึกผิด จนตายก็ไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย มีประโยชน์อะไร”
ลั่วปิงเหอถูกเขาด่าจนน้ำตาจวนไหลออกมาอยู่แล้ว “ข้าเปลี่ยก็ได้แต่ซือจุนอย่าทิ้งข้าไปนะขอรับ”
เห็นท่าทางเขาเหยาะแหยะเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะคำนึงถึงว่าที่ท้ายทอยยังมีรอยปูดที่ตนเป็นคนทำให้เกิดขึ้นละก็ เสิ่นชิงชิวเป็นได้ฟาดเข้าให้ที่หน้าผากเขาสักสองสามป้าบไปแล้ว วิธีการสั่งสอนเลี้ยงดูของตนมีปัญหาใช่ไหม ทำไมถึงเป็นเด็กขี้แยแบบนี้ไปได้ล่ะ ลั่วปิงเหอมารร้ายในคราบมนุษย์เวลาที่ไม่มีใครอยู่ด้วยดันชอบเกาะแขนเสื้อซือจุนร้องห่มร้องไห้ พูดไปใครจะเชื่อ
หนิงอิงอิงยังไม่ขี้แยขนาดนี้เลย
เสิ่นชิงชิวแทบทนไม่ไหวแล้ว “ใครทอดทิ้งเจ้ากัน หา!”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ตอนข้าสิ้นสติไปนั้นยังพอรู้สึกตนอยู่บ้าง จึงพยายามลุกขึ้นมาให้ได้ แต่ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมาอย่างลำบาก กลับพบว่านอนอยู่ในโลงใบหนึ่ง ซือจุนก็ไม่รู้วิ่งไปไหนแล้ว ข้าเลยโมโหจนหน้ามืดไปชั่วขณะ นึกว่าถูกทิ้งแล้ว นึกว่าซือจุนยอมไปกับพวกเขา ไม่ยอมสนใจข้า”
พอฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่า ‘ถูกทิ้ง’ ให้อยู่ในโลงตามลำพังคนเดียว มันก็เป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะโสภาเท่าไหร่จริงๆนั่นแหละ เสิ่นชิงชิวกระแอมทีหนึ่งอย่างรู้สึกผิด
ลั่วปิงเหอกล่าวอีกว่า “เมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ไม่รู้เพราะอะไร ในใจข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ไม่ได้อยากพูดแบบนั้น แต่พออยู่ต่อหน้าซือจุน ข้าก็ควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่เรื่อย ข้ารู้ว่าทำเช่นนี้น่าอายมาก แต่ซือจุนท่านไม่เคยทอดทิ้งข้า และคอยปกป้องข้าไว้ตลอด ที่แท้ข้าไม่ได้ฝันไปเองจริงๆ ข้ามีความสุขมากเลย…”
ใครกันแน่ที่น่าอับอายขายขี้หน้ากว่า
ผู้ชายตัวโตๆสองคนมายืนกอดกันกลม น้ำมูกน้ำตาไหล มันน่าอายทั้งคู่ ดูไม่ได้ทั้งคู่แหละ รู้เปล่า
บางทีคงเป็นเพราะมีความสุขเกินไป พูดไปก็ยิ่งพูดคำที่ไพเราะเลิศหรูไม่ออก ลั่วปิงเหอเลยพูดแต่คำว่า ‘มีความสุข’ กับ ‘ดีใจ’ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นี้ ใบหน้าเสิ่นชิงชิวกระตุกสองครั้ง เขาเอามือนวดขมับ ถอนใจยาว
ช่างเหอะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย แม้แต่มารฝันก็เคยบอกไว้เด็กคนนี้นิสัยผีเข้าผีออก อยู่ต่อหน้าทำอวดเบ่ง ทำตัวเหมือนอันธพาลกากๆ ลับหลังอาจบิดผ้าเช็ดหน้าร้องไห้อยู่ก็ได้ แล้วจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับอีกฝ่ายทำไมกัน
กลับเข้าเรื่อง ตัวเขาเองก็ไร้สาระเหมือนกันนั่นแหละ เมื่อครู่ก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย ทำไมต้องโมโหขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ไม่ต่างอะไรกับเจ้าเด็กโรคประสาทที่แสนจะอาภัพคนนี้เลย ไม่เป็นผู้ใหญ่สักนิด
เขาผ่อนน้ำเสียงลง “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้วจริงๆน่ะหรือ”
ลั่วปิงเหอพยักหน้าทันที “ไม่เป็นไรขอรับ”
เมื่อกี้ไข้ขึ้นสูงขนาดนั้น ตอนนี้สักนิดก็ไม่เป็นไรเลยหรือ เสิ่นชิงชิวนึกแคลงใจ เอามือไปอังหน้าผากลั่วปิงเหอ พบว่าตัวเย็นเรียบลื่นดีมาก เขากำลังจะชักมือกลับ แต่ลั่วปิงเหอเอามือวางทับทันที ไม่ยอมให้เขาชักมือออก ดวงตาใต้สองมือที่ทับซ้อนกันทอประกายระยิบระยับ
สีหน้าแบบนี้ดูคุ้นตาเกินไปแล้ว นี่ไม่ใช่สีหน้าของลั่วปิงเหอผู้สดใสเหมือนแสงตะวัน หนุ่มน้อยที่ดีพร้อมในทุกด้าน ลูกแกะน้อยที่วันๆคอยร้องแบ๊ะๆวิ่งตามหลังเขาที่ชิงจิ้งเฟิงเมื่อครั้งกระนู้นหรอกหรือ
เสิ่นชิงชิวถูกสายตาเช่นนั้นของลั่วปิงเหอจ้องจนหน้าแก่ๆเริ่มเป็นสีระเรื่อ แต่ก็ไม่อาจทำใจแข็งดึงมือกลับได้ หากทำแบบนั้นตอนคนอื่นกำลังมีความสุข ไม่เท่ากับตบหน้ากันเห็นๆหรอกรึ
เขากล่าว “เจ้าไม่เป็นไรเลยสักนิดจริงๆน่ะ ไม่วิงเวียนหรือพลังทิพย์ปราณมารไม่มีอาการโคจรผิดปกติเลยหรือ”
ลั่วปิงเหอตอบว่า “คล่องดีขอรับ คล่องดีมาก คล่องดีกว่าเมื่อก่อนเสียอีก”
ระหว่างที่พูดคุยกันนี้ก็เดินมาจนถึงห้องๆหนึ่งที่อยู่ตรงปีกตะวันออกพอดี
ลั่วปิงเหอชักกระบี่ออกมาแทงเฉียงไปที่ผนังจนเกิดรอยแยกเป็นโพรงสีดำขึ้น แขนที่หักกลับมาดีเหมือนเดิมแล้วอย่างน่าอัศจรรย์ ขาก็ไม่กะเผลกแล้ว คราบเลือดบนหน้าก็เช็ดจนสะอาดเอี่ยม กระบี่ซินหมัวที่ตลอดมาไม่เชื่อฟังก็สงบเสงี่ยมเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ ดัชนีทองคำยังคงเป็นดัชนีทองคำ พระเอกยังเป็นพระเอกอยู่วันยังค่ำ เสิ่นชิงชิวไม่คิดจะพูดอะไรออก โบกมือทำท่า ‘ไปเลยๆ’ แล้วเป็นฝ่ายเดินนำออกไป
นอกสุสานมีแสงสว่างพอควร ลั่วปิงเหอเป็นฝ่ายยื่นมือมาพยังเสิ่นชิงชิว
จะว่าไปพวกเขาสองคนก็ไม่ได้อยู่กันอย่างปรองดองแบบนี้มานานมากจริงๆ
เสิ่นชิงชิวนึกสะท้อนใจ อดมองลั่วปิงเหอไม่ได้ เห็นสีหน้าเขาแจ่มใสสดชื่น ดูจะ ‘คล่องดีมาก’ จริงๆนั่นแหละ เขารึอุตส่าห์ทุ่มสุดชีวิตเข้าปกป้อง ผลปรากฏว่าเจ้าตัวไม่เป็นไรสักนิด นอนหลับไปขนานใหญ่ก็เพื่อเติมเงินให้ดัชนีทองคำนี่เอง [โบกมือบ๊ายบาย]
จู่ๆลั่วปิงเหอก็กล่าวว่า “แต่ว่านอกจากได้ยินเสียงซือจุนร้องไห้แล้ว…”
เสิ่นชิงชิวยิ้มน้อยๆ “หือ เจ้าว่าใครร้องไห้นะ”
ลั่วปิงเหอรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “นอกจากได้ยินเสียงใครบางคนร้องไห้แล้ว ยังมีความรู้สึกแปลกๆบางอย่างด้วยขอรับ”
ได้ฟังดังนั้นเสิ่นชิงชิวก็นึกเป็นห่วงขึ้นมารางๆ ว่าแล้วไหมล่ะ ยังไงมันก็ต้องมีผลตกค้างบ้างละน่า เขาพึมพำถาม “ความรู้สึกอะไรหรือ”
ลั่วปิงเหอส่ายหน้า “บรรยายไม่ถูกขอรับ”
เสิ่นชิวชิวซักว่า “เจ็บหรือไม่”
ลั่วปิงเหอตอบ “ไม่เจ็บขอรับ ออกจะ…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค สีหน้าก็ดูสับสนขึ้นมา มองลงไปที่ร่างกายท่อนล่างของตัวเอง
เสิ่นชิงชิวหมดคำพูด “…”
เสาค้ำสวรรค์หวัดดี! เสาค้ำสวรรค์ไปไกลๆเลย!
หัวข้อนี้ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุป ก็มีอันต้องยุติเสียก่อน เสียงของเทียนหลางจวิจตามมารังควานราวกับวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด
“เจ้ายอดเขาเสิ่น ทำไมถึงจากไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้ล่ะ พวกเจ้าสองคนแทบทลายสุสานของเผ่าข้าลงมากองกับพื้น ก็จะจากไปเช่นนี้ หากไม่ทิ้งอะไรไว้สักหน่อยก็ดูจะเกินไปนะ”
แต่ละคำที่พูดออกมา บอกให้รู้ว่าอยู่ใกล้เข้ามาไม่น้อยแล้ว ไม่ต้องรอนานนักเจ้าของเสียงก็ปรากฏขึ้นในคลองจักษุ เวทน้ำแข็งพันปีที่ตระกูลโม่เป่ยร่ายเอาไว้สามารถเหนี่ยวรั้งสองคนนี้ไว้ได้จนพวกเขาออกมานอกสุสานศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เมื่อครู่ลั่วปิงเหอไม่อาจระเบิดพวกเขาเป็นน้ำแข็งป่นได้ก็นึกขัดใจอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ตามมาเสนอตัวให้ถึงที่กลับสบอารมณ์เป็นที่สุด เขาดัดนิ้วเสียงดังกร๊อบ จ้องหน้าจู๋จือหลาง กล่าวเสียงเคร่ง “พวกเจ้าช่างกล้านักนะ บังอาจป้อนเลือดให้ซือจุนข้ากิน”
จู๋จือหลางเหลือบมองเสิ่นชิงชิวด้วยสีหน้าละอาย เทียนหลางจวินมองลั่วปิงเหอ แล้วกล่าวว่า “นี่ เจ้าไม่อาจใช้สีหน้าเช่นนั้นกล่าววาจาเยี่ยงนี้นะ ทำอย่างกับเจ้าไม่เคยป้อนเลือดให้เจ้ายอดเขาเสิ่นอย่างนั้นแหละ หาไม่แล้วเลือดอีกสายหนึ่งในกายเจ้ายอดเขาเสิ่นมันเป็นของใครกันล่ะ”
ได้ฟังเช่นนั้นลั่วปิงเหอก็คอแข็ง กำมือเป็นหมัดแน่น
เสิ่นชิงชิวยกมือที่กุมกระบี่ซิวหย่าขึ้น
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงต่ำทันที “ซือจุนไม่ต้องลงมือ ข้าคนเดียวก็เอาอยู่”
บอกว่าสู้ก็สู้เลยปราณมารสีดำสามสายซัดโหมขึ้นฟ้าราวกับพายุ
เสิ่นชิงชิวมองดูการต่อสู้อยู่ข้างๆ ยิ่งดูก็ยิ่งรู้ซึ่งถึงความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ของมารกับมนุษย์
พลังในการทำลายล้างช่างแตกต่างอย่างใหญ่หลวงจริงๆ
อีกทั้งลั่วปิงเหอได้เติมเงินอัปเกรดดัชนีทองคำมาเรียบร้อยแล้ว หนึ่งชั่วยามก่อนหน้ายังถูกซ้อมจนไร้เรี่ยวแรงจะตีโต้ ตอนนี้ดูท่าว่าวงแหวนรัศมีแห่งพระเอกก็ยังอยู่บนหัวของลั่วปิงเหออย่างมั่นคงดี
ระหว่างชมการต่อสู้ เหยี่ยวกระดูกสีแดงฉานตัวหนึ่งบินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ ถลาปีกลงมาคอยหาจังหวะฝ่าเข้าไปในวงต่อสู้อยู่
ลั่วปิงเหอคนเดียวต้องรับมือหนึ่งต่อสอง ดูจะไม่สังเกตเห็นเหยี่ยวกระดูกที่ไม่ได้มาด้วยเจตนาดีตัวนั้นเลย แต่เสิ่นชิงชิวเห็นชัดเจน ขณะกำลังจะร้องเตือน เหยี่ยวกระดูกตัวนั้นก็บินดิ่งเข้าหาศีรษะของลั่วปิงเหอแล้ว
ลอบโจมตีหรือ
เสิ่นชิงชิวกระชับกระบี่ซิวหย่าในมือ หรี่ตาเล็ง แล้วขว้างใส่เหยี่ยวตัวนั้นทันที คมกระบี่ขาวพร่างดูราวกับศรกระบี่ พุ่งเข้าเสียบเหยี่ยวกระดูกตัวนั้นปานสายฟ้าแลบ
ยังไม่ทันจะได้ถอนใจอย่างโล่งอก ร่างของเหยี่ยวกระดูกที่ยังไม่ตกลงากลับแตกกระจายเป็นหยดเลือดนับหมื่นนับพันซัดเข้าใส่เสิ่นชิงชิว
ทางฝั่งเทียนหลางจวินหยุดมือกะทันหัน กระโจนออกจากวงต่อสู้หัวเราะลั่น
ลั่วปิงเหอเห็นภาพหยดเลือดสาดกระเซ็นกลางอากาศ สีหน้าพลันตื่นตระหนก
เสิ่นชิงชิวตั้งสติได้ทันที เหยี่ยวกระดูกตัวนั้นที่แท้เป็นเทียนหลางจวินใช้เลือดของตัวเองเสกออกมา เขาทำเป็นสั่งให้เหยี่ยวกระดูกโจมตีลั่วปิงเหอ แต่ความจริงแล้วต้องการชักนำให้เสิ่นชิงชิวยิงมันตกลงมาต่างหาก
ตอนที่พบความจริงเรื่องนี้ เสิ่นชิงชิวก็ถูกฝนโลหิตกระหน่ำตกลงมาเต็มหัวเต็มหูแล้ว
เทียนหลางจวินยิ้มน้อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นกำอากาศอันว่างเปล่า
เสิ่นชิงชิวพลันรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ เหมือนกับถูกฝ่ามือข้างหนึ่งยึดกุมไว้ แล้วบีบอย่างแรงด้วยความสะใน
เลือดปริมาณมหาศาล แม้ว่าเมื่อครู่จะเม้มปากแน่นเพียงใด แต่ในปากก็ยังคงได้กลิ่นสนิมจางๆอยู่ดี
จะมีใครดื่มโลหิตมารฟ้าแทนกระทิงแดงอย่างเขาบ้างไหมนี่ จะมีใครเคยดื่มโลหิตมารฟ้าเข้าไปถึงสามสายอย่างเขาบ้างไหมนี่
(ต้นฉบับใช้คำว่า 红牛 หงหนิว หมายถึง เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อกระทิงแดง)
ดวงตาของลั่วปิงเหอเป็นแดงฉาน แต่เลือดของเทียนหลางจวินอยู่ในกายของเสิ่นชิงชิว เขาจึงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม ด้วยเกรงว่าจะไปเร่งเร้ากู่โลหิตเข้า ได้แต่กัดฟันกรอด “หยุดมือ”
จู๋จือหลางเห็นสีหน้าเสิ่นชิงชิวเดี๋ยวซีดขาวเดี๋ยวคล้ำ ก็กล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “จวินซั่ง โปรดยั้งมือ…”
เทียนหลางจวินยักไหล่ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าสหายน้อยอีกคนจะเอาอย่างไร”
กู่โลหิตสามสายพลุ่งพล่านปั่นป่วนอยู่ในร่างเสิ่นชิงชิว สู้กันอย่างคู่คี่สูสี หนึ่งในนั้น โลหิตของลั่วปิงเหอกำลังปกป้องอวัยวะสำคัญและชีพจรของเสิ่นชิงชิว สยบโลหิตจู๋จือหลางเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ต้องต่อสู้กับโลหิตของเทียนหลางจวินไปด้วยอย่างยากลำบาก ต้องแบ่งสมาธิเป็นสาม หนึ่งคนต้องสู้กับสองคนจึงขัดไม้ขัดมือไปหมอ สุดท้ายคนที่ลงมือได้อย่างเต็มที่กลับเป็นกู่โลหิตของเทียนหลางจวิน เพราะเขาไม่ต้องพะว้าพะวังกับสิ่งใดทั้งสิ้น เขากล่าวต่อลั่วปิงเหอว่า “เจ้าคิดดีแล้วหรือ ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ใครกันแน่ที่จะยันไม่อยู่ก่อน
ความกังวลและอับจนหนทางปรากฏชัดในแววตาของลั่วปิงเหอขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ก้าวถอยไปข้างหลัง “เจ้าถอนตัวก่อนซิ”
เทียนหลางจวินสักนิดก็ไม่มีความคิดที่ว่าผู้ใหญ่จะต้องยอมลงให้ผู้น้อย กลับย้อนว่า “เจ้าถอนตัวก่อนซิ”
ลั่วปิงเหอรีบตกลง “ได้”
เทียนหลางจวินยิ้มแฝงความหมายคลุมเครือ “เป็นอย่างที่คิดจริงๆ…” เขาหันมาทางจู๋จือหลาง “ทำเช่นไรดี ไม่รู้เหตุใด ครั้งข้าเห็นพวกเขาสองคน ในใจกลับหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก”
จู๋จือหลางพยักหน้าเงียบๆ
เสิ่นชิงชิวยอมรับว่าเป็นคนดวงซวย แต่ไม่ได้อยากให้คนอื่นต้องมาซวยตามไปด้วย ที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตคือถูกใช้เป็นเบี้ยสำหรับข่มขู่ คิดให้เขาเป็นตัวละครอ่อนแอที่ต้องกลายมาเป็นตัวถ่วงแบบนี้ สู้ให้เขาตายๆไปเลยดีกว่า เขาฝืนรักษาสีหน้าให้นิ่ง “ท่านคิดจะทรมานข้าอย่างไรก็เชิญตามสบาย ก็เหมือนอย่างที่ท่านพูด ดื่มเข้าไปมากมายปานนี้ สมควรต้องชินแล้ว แต่หากท่านต้องการร่างกายของลั่วปิงเหอ เลิกคิดไปได้เลย ลั่วปิงเหอหากเจ้ายอมทำตามเขา ข้าจะฟาดขม่อมตัวเอง”
ลั่วปิงเหอทั้งโมโหทั้งคับแค้นใจ “ซือจุน!”
เสิ่นชิงชิวตวาด “เจ้าหุบปากไปเลย”
เทียนหลางจวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “ผู้ใดบอกว่าข้าต้องการร่างกายของเขา”
เสิ่นชิงชิวพูดไม่ออก
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “หน้าตาเขาหล่อสู้ข้าไม่ได้ แล้วข้าจะอยากได้ร่างกายเขาไปทำไม”
………
ใครบอกว่าแกหล่อกว่าเขา!
ใครออกใบรับรองให้แก!
ไอ้เซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันเขียนเองกับมือว่าไม่ว่าจะบนสวรรค์บนผืนพิภพ จากอดีตกระทั่งอนาคต ให้อย่างไรลั่วปิงเหอก็หล่อที่สุดแล้วในสามภพ หล่อวัวตายควายล้ม หล่อจนผู้หญิงผู้ชายพากันอิจฉา กินรวบตั้งแต่เด็กยันคนแก่ ลั่วปิงเหอนี่แหละสุดหล่ออันดับหนึ่งในนิยายเล่มนี้แล้ว!
เสิ่นชิงชิวขีดดำเรียงแถวขึ้นเต็มหน้าผาก “เช่นนั้นท่านต้องการอะไรกันแน่”
จู๋จือหลางแจ้วความประสงค์ “จวินซั่งต้องการกระบี่เล่มนั้นของเขา”
เทียนหลางจวินกล่าวว่า “ใช่แล้ว ข้าต้องการมอบของขวัญให้แกภพมนุษย์ ขาดกระบี่เล่มนั้นก็ทำไม่ได้ซิ”
จะเอาดัชนีทองคำของพระเอกเนี่ยนะ ตัววิ่งคำว่า ‘ฝันไปเถอะ’ ‘ช่างไม่เจียมกะลาหัว’ ‘ไม่รู้ที่ตายซะแล้ว’ ผุดขึ้นเต็มสมองเสิ่นชิงชิว แต่แล้วก็เห็นลั่วปิงเหอสะบัดแขนออกไป
จู๋จือหลางยกแขนขึ้นรับ ชั่วอึดใจ การส่งมอบก็เสร็จสิ้น รวดเร็วฉับไว ไม่มีสะดุดแม้แต่น้อย
จู๋จือหลางกลายร่างเป็นงูทันที คาบเสิ่นชิงชิวไว้ในปาก
เทียนหลางจวินกระโจนขึ้นไปอย่างสง่างาม พลางหัวเราะลั่น “เจ้าเชื่อจริงๆน่ะหรือ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
พฤติกรรมเช่นนี้ หน้าด้านไร้ยางอายที่สุด ธาตุแท้ช่างเหมือนกับผู้ใหญ่ที่หลอกให้เด็กส่งของในมือให้ แล้วจากนั้นตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้เอาดื้อๆ
เสิ่นชิงชิวเกิดความรู้สึกว่าลั่วปิงเหอถูกเขารังแกอย่างไม่ยุติธรรม แม้จะมีเขี้ยวขาววับอยู่ใกล้ๆก็อดกล่าวไม่ได้ “ท่านเป็นผู้ใหญ่นะ รู้ตัวหรือไม่”
เทียนหลางจวินนั่งลงบนหัวจู๋จือหลาง กล่าวอย่างสำบัดสำนวนว่า “ข้ารู้แต่ว่าข้าเป็นมาร ศิษย์ของเจ้ายอดเขาเสิ่นน่ากลัวว่าจะอยู่ในภพมนุษย์นานไปหน่อย เลยลืมไปแล้วว่าเผ่าของเราไม่เคยรักษาสัญญา แต่อันที่จริงพวกมนุษย์ส่วนใหญ่ก็ถือว่าวาจาเป็นเพียงลมปากเหมือนกันนั่นแหละ”
สิ้นประโยกสุดท้ายรอยยิ้มของเทียนหลางจวินก็หายวับไปทันตา เบื้องหน้าเสิ่นชิงชิวพลันดำมืด จากนั้นอะไรบางอย่างที่เหมือนถุงใบหนึ่ง สีแดง เปียกๆอุ่นๆก็บีบอัดเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง
เขาถูกจู๋จือหลางกลืนเข้าไปแล้ว