ตอนที่ 110 การเคลื่อนไหวที่น่ากลัว
เวลาเย็น…หลัวเฟิงกำลังเดินอยู่บนถนน เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ถนนเส้นนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยนักเรียนหนุ่มสาวเต็มไปหมด
“ฮัลโหล” หลัวเฟิงต่อสายหาสวีซิน “นี่ฉันเอง หลัวเฟิง!”
เมื่อคืนที่ผ่านมาหลัวเฟิงกับสวีซินคุยวีดีโอแชทกันค่อนข้างนาน เขาบอกเธอว่าจะมาพบเธอที่นี่วันนี้
“แยกชุนหว่าน? สี่แยก? ได้ๆ เดี๋ยวรอที่นั่นนะ”
หลัวเฟิงวางสายแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังสี่แยกที่ชื่อว่าแยกชุนหว่าน บรรยากาศแถวนี้ค่อนข้างดี หลัวเฟิงยืนพิงป้ายบนถนนตรงนั้นแล้วรออย่างเงียบๆ ในตอนนั้นเอง เขาก็อดจะคิดถึงเรื่องที่พี่ชายของสวีซินเคยพูดเอาไว้ไม่ได้ สิ่งที่เขาพูดมันยังก้องอยู่ในหัวของหลัวเฟิง
“เป็นเพราะสถานะของเราจริงๆ ในตอนแรกที่เราได้พบกับพี่ชายของสวีซิน…สวีกัง เขาดูถูกเราและบอกให้เราอยู่ห่างๆ น้องสาวเขา จากมุมมองของเขา เราเป็นแค่นักสู้หน้าใหม่ซึ่งยังไม่ดีพอสำหรับน้องสาวเขา! เด็กหนุ่มลูกครึ่งคนนั้น หลี่เวย ก็ยังคิดว่าเราเป็นแค่ไอ้กุ้งแห้ง ถ้าเราเป็นเทพสงครามหรือเป็นลูกของเทพสงคราม เขาคงไม่กล้าแม้แต่จะแตะตัวเราะ”
แน่นอน ถึงแม้ว่าคุณชายหลี่เวยจะอนุญาตให้ลูกน้องฆ่าหลัวเฟิง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องมาจบชีวิตไปเสียเอง
“ถ้าเรากลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าเทพสงคราม ถ้าเรามีพลังเทียบเท่าผู้ตรวจการจู อีแร้งกับแมงป่องพิษจะยังกล้าตั้งค่าหัวเราอยู่ไหม?”
คนเรามีสถานะต่างกันก็ย่อมมีวัฏจักรที่ต่างกัน
ในมหาวิทยาลัย ในแวดวงนักศึกษา ต่อให้นักสู้หรือคนรวยจะถูกถือว่าเป็นชนชั้นสูง แต่เมื่อมองดูทั้งในนครเจียงหนาน นักสู้ระดับเทพสงครามขั้นต้นถึงจะเป็นคนดังที่แท้จริง!
ถ้ามองทั่วทั้งโลก เทพสงครามผู้ทรงพลังอย่าง สารวัตร ของสำนักขีดสุดก็คงเป็นอะไรที่สามารถเขย่าทั้งโลกได้
และสิ่งมีชีวิตที่เหนือเทพสงครามอย่างผู้ตรงการจูล่ะ ผู้ตรวจการที่ยืนอยู่บนยอดของสำนักขีดสุด ผู้ซึ่งถูกซูฮกจากเหล่าประเทศมหาอำนาจ และพวกตระกูลใหญ่ๆ ก็คงจะเป็นแค่เรื่องเด็กๆ สำหรับเขา เรื่องเงินเป็นเรื่องเล็กกับเขามากๆ
“สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าเทพสงคราม ในโลกนี้ก็หาได้ยากนัก เป้าหมายของเราตอนนี้คือจะต้องกลายเป็นนักอ่านจิตระดับเทพสงครามขั้นสูงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้! เมื่อสำเร็จ เราก็ไม่ต้องกลัวอีแร้งและแมงป่องพิษอีกแล้ว!”
เพื่อให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนาและให้ได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ เขาจะต้องยกสถานะตัวเองขึ้นให้ได้!
………….
ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยเจียงหนาน
“สวีซิน ไม่ไปกินข้าวเย็นกับพวกเราเหรอ?” เพื่อนสาวสองสามคนเอ่ยถามสวีซินที่กำลังยิ้มและโบกมือ “ฉันมีธุระน่ะ เย็นนี้ฉันจะไปกินข้าวข้างนอก”
หลังจากที่พูด สวีซินก็มุ่งหน้าไปยังสี่แยกชุนหว่านที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูของมหาวิทยาลัยเพื่อพบกับหลัวเฟิง ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ในสายตาของเพื่อนสาวของเธอด้วย
“หือ?” เด็กสาวตาโตคนหนึ่งยกมือถือที่ดูจะราคาแพงขึ้นมาและส่องไปยังสี่แยกชุนหว่าน
“ดูๆๆ นั่นแฟนของสวีซิน” เด็กสาวตาโตพูดขึ้นขณะที่ส่องมือถือไปทางสี่แยกนั้น ถึงแม้ว่าสี่แยกชุนหว่านจะอยู่ห่างออกไปราว 500 เมตรจากประตูมหาวิทยาลัย ไกลเกินกว่าที่สายตาของคนธรรมดาจะมองเห็นได้ชัด แต่ความสามารถของมือถือรุ่นใหม่นี้มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
มือถือสามารถถ่ายรูปและวีดีโอได้ มือถือของเด็กสาวคนนั้นสามารถบันทึกใบหน้าคนแม้จะอยู่ห่างออกไปถึง 1,000 เมตรได้เลยทีเดียว
“โอ๊ะ จริงๆ ด้วย” เด็กสาวอีกคนเข้ามามองดูอยู่ข้างๆ “ดูเหมือนจะหล่อเหลาเอาการทีเดียว”
“บ้าจริง ฉันลืมของไว้ที่ห้องเรียน พวกเธอไปก่อนนะ เดี๋ยวฉันตามไป” เด็กสาวตาโตทำทีวิ่งเข้าไปในมหาวิทยาลัย พอไปถึงมุมหนึ่งที่ไม่มีใครเห็นเธอก็ควักมือถือออกมาแล้วกดส่งวีดีโอที่เพิ่งถ่ายได้เมื่อสักครู่ออกไปทันที
………
ในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตัวมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมกำลังนอนอยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าจะมีสาวสวยในชุดเสื้อคลุมกำลังนวดเฟ้นเขาอยู่ และสาวสวยอีกคนกำลังนวดที่ฝ่าเท้าของเขาเบาๆ และกำลังคุยกะหนุงกะหนิงกับเขาอยู่ด้วย ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล” เด็กหนุ่มหยิบมือถือขึ้นมา
“คุณชายหวัง สวีซินเพิ่งจะออกไปดินเนอร์กับผู้ชายที่ฉันไม่รู้จัก ฉันส่งวีดีโอไปให้แล้วค่ะ”
“โอ้” เด็กหนุ่มคิ้วขมวด “อืม เธอทำดีมาก”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็เปิดวีดีโอและมองดูใกล้ๆ ภาพของหลัวเฟิงและสวีซินนั้นชัดมากๆ เด็กหนุ่มคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย “หลัวเฟิงเหรอ? ใครจะไปนึกว่าหลัวเฟิงนั่นมันจะถ่อมาหาสวีซินถึงมหาวิทยาลัยแบบนี้ ดูท่าจะสนิทสนมกับสวีซินไม่ใช่เล่นๆ ซะแล้ว!”
“พวกเธอลงไปก่อน” เด็กหนุ่มโบกมือ “บอกอาอันให้มานี่ด้วย”
“ค่ะ คุณชาย”
สองสาวหลบไปอย่างว่าง่าย อึดใจต่อมา ชายในชุดสูทเรียบร้อยก็เข้ามาและโค้งคำนับ “คุณชาย”
“อาอัน” เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาขมวดคิ้ว “สวีซินเพิ่งจะออกไปดินเนอร์กับหลัวเฟิง”
“หลัวเฟิง?” อาอันหัวหน้าพ่อบ้านรู้สึกประหลาดใจ เขารู้ดีว่า คุณชายหวังซิงผิง คนนี้ย้ายมาจากเกียวโตมามหาวิทยาลัยเจียงหนานก็เพราะต้องการมาอยู่ใกล้กับคนที่เขาหมายตามากขึ้น และข้อมูลของคนใกล้ชิดของสวีซินก็ถูกบันทึกไว้หมดแล้ว กระทั่งข้อมูลของหลัวเฟิงก็ด้วย ไม่เพียงแต่เพื่อนสาว 3 คนของสวีซินที่ถูกซื้อตัวเอาไว้แล้ว! แต่ยังมีอีกราวๆ 100 คน ในมหาวิทยาลัยเจียงหนานที่เป็นคนของคุณชายคนนี้อีกด้วย
“ขัดขวางพวกเขาอย่าให้คบกันได้” หวังซิงผิงกล่าวเยือกเย็น “มันก็แค่นักสู้ อาอัน ผมมอบงานนี้ให้อานะ อย่างแรกเลยไปหามาก่อนว่าคืนนี้พวกเขาไปดินเนอร์กันที่ไหน ผมคงไม่ต้องบอกย้ำใช่ไหม? ทำลายความรักของพวกเขาซะ!”
หัวหน้าพ่อบ้านอาอันพยักหน้าพลางกล่าวคำรับ “ผมจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้ครับ!”
“ดี” หวังซิงผิงโบกมือให้ หัวหน้าพ่อบ้านถอนห่างออกไปทันที
ครู่ต่อมา…ในโรงแรมหรูอีกแห่ง หัวหน้าพ่อบ้านอาอันขณะนี้กำลังมองไปยังเด็กสาว 2 คนที่เดินมาหา เด็กสาว 2 คนนี้หน้าตาน่ารักน่าชังทีเดียวแถมยังท่าทางเย้ายวนไม่ใช่เล่นอีกด้วย
“เป้าหมายของพวกเธอก็คือเขา!” หัวหน้าพ่อบ้านอาอันชี้ไปที่หน้าจอมือถือที่กำลังฉายภาพหลัวเฟิงและสวีซินหราอยู่ “เขาชื่อหลัวเฟิง มาจากหยางโจวแห่งนครเจียงหนาน เบอร์โทรของเขาคือ…บันทึกข้อมูลและเบอร์ของเขาไว้ซะ”
“ค่ะ” สองสาวจิ้มลิ้มพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“นี่คือแผน…ฟังให้ดี” ขณะที่พูด หัวหน้าพ่อบ้านก็เคาะที่แป้นโน๊ตบุ๊คของเขาที่มีแผนการถูกเตรียมไว้อย่างดี สองสาวมองดูข้อมูลแล้วก็หันมามองหน้ากัน
“เข้าใจแล้วค่ะ อาอัน”
“ดี ตอนนี้หลัวเฟิงอยู่ที่ร้านอาหารอี้นั่ว ไปเถอะ” หัวหน้าพ่อบ้านสั่งการ เขามองดูสองสาวนั้นเดินออกไปและหันมามองแผนซึ่งแสดงอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊ค เขาก็อดส่ายหน้าไม่ได้ “หลัวเฟิง นายคงจะเป็นนักสู้ที่ต้องทำงานหนักทีเดียว แต่น่าเสียดายคุณชายของเราต้องตาสวีซิน เพราะงั้น นายคงต้องหมดสิทธิ์ที่จะได้ใกล้ชิดกับเธอแล้วล่ะ”
…………..
อี้นั่วเป็นร้านอาหารที่ค่อนข้างมีสไตล์ซึ่งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเจียงหนาน ดนตรีที่บรรเลงพลิ้วไหวดั่งสายน้ำยิ่งทำให้บรรยากาศของที่นี่น่าดื่มด่ำขึ้นไปอีก
หลัวเฟิงและสวีซินนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง เทียนหลายเล่มส่องสว่างเรืองๆ อยู่บนโต๊ะ มันคือ ดินเนอร์ใต้แสงเทียน ที่พูดถึงกัน เป็นเพราะความต้องการของหลัวเฟิงและสวีซิน ที่นั่งรอบๆ พวกเขาจึงว่างเปล่า ไม่มีใครมารบกวนพวกเขา
“นายจะไปจริงๆ เหรอ?” สวีซินเม้มปาก “อืม นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนาย ฉันได้ยินว่าตราบใดที่นายยังฝึกอยู่ที่ค่ายนั่น นายก็จะกลายเป็นเทพสงครามได้ในซักวันอย่างไม่มีปัญหา…ว่าที่เทพสงคราม ฉันขอแสดงความยินดีกับนายล่วงหน้าเลย”
เธอกล่าวพลางยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ในแก้วนั้นคือไวน์แดงซึ่งมีแอลกอฮอล์น้อยมากๆ
“ขอบใจ” หลัวเฟิงยิ้มให้พลางยกแก้วดื่มเช่นกัน
หลังจากจิบไปเล็กน้อย หลัวเฟิงกับสวีซินก็เริ่มคุยกัน พวกเขาคุยกันเรื่องครอบครัวของกันและกัน ทั้งสองสนทนากันอย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งได้คุยกันแบบนี้ แต่พวกเขาก็ดูเป็นคู่รักทีเดียว ติดอยู่เพียงอย่างเดียวคือพวกเขายังไม่ได้เกินเลยกันไปถึงขั้นนั้นเท่านั้น
“นี่เธอ ไหนได้ยินว่าเมื่อคืนนี้เธอเจอทีเด็ดไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิเธอ จะว่าไป…ประสบการณ์ฉันก็ผ่านมาเยอะน่ะนะเรื่องผู้ชายเนี่ย แต่ว่าคนเมื่อคืนนี้น่ะสิ…มหัศจรรย์ที่สุด…อี๊ๆ แค่คิดถึงเขาใจก็เต้นตูมตามเลยล่ะ เดี๋ยวฉันว่าจะลองติดต่อเขาให้มาเล่นด้วยกันอีกซักสองสามวันน่าจะดี”
“เธอมีเบอร์โทรเขาเหรอ?”
ตอนที่เขานอนหลับ ฉันใช้มือถือเขาโทรเข้าเบอร์ฉันและบันทึกเอาไว้น่ะ”
เสียงสองสาวกระซิบกระซาบกันอยู่ที่โต๊ะข้างๆ ถัดจากที่หลัวเฟิงและสวีซินนั่งอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ร้านอาหารแห่งนี้ค่อนข้างเงียบ ฉะนั้น หลัวเฟิงและสวีซินจึงได้ยินเสียงสนทนานั้นอย่างชัดเจน ทั้งสองต่างก็มองหน้ากันอย่างขันๆ พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะมาได้ยินคนคุยกันเรื่องนี้อยู่ที่นี่
หลัวเฟิงและสวีซินคุยกันต่อไปเรื่อยๆ
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” ในที่สุดสองสาวนั่นก็ลุกขึ้น
ทันใดนั้นเอง หนึ่งในสองสาวนั่นก็เดินผ่านมาทางหลัวเฟิงและทำทีถอยหลังไปสองก้าว เธอมองดูหน้าเขาและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดูประหลาดใจ “เอ่อ? ฉันไม่คิดว่าจะเป็นคุณ ฉันรู้สึกคุ้นตอนที่มองอยู่ด้านหลัง แต่มันค่อนข้างมืดฉันเลยเห็นไม่ชัด ตอนนี้ฉันเห็นคุณแล้ว ใช่คุณจริงๆ ด้วย ว้าว…บังเอิญอะไรขนาดนี้ที่ได้มาพบคุณสองวันติดๆ กัน”
“นี่เธอ เขาเป็นใครเหรอ?” หญิงสาวอีกคนหนึ่งทำทีถามขึ้นอย่างสงสัย
“สองวันติด? นี่คุณ ผมว่าผมไม่เคยพบคุณมาก่อนนะ” หลัวเฟิงกล่าวพลางมองหน้าสองสาวที่อยู่ตรงหน้าเขา “จำคนผิดแล้วล่ะครับ”
“เอ๋” หญิงสาวมองให้ละเอียดทีหนึ่งแล้วหันมองสวีซินข้างๆ ก่อนจะรีบพูด “จำผิดจริงด้วย ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
สวีซินคิ้วขมวดขณะที่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ เธอรู้สึกเกลียดเรื่องแบบนี้มาก…และเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเธอยิ่งกระตุ้นความสงสัยเธอย่างมาก หลัวเฟิงไปเล่นสนุกกับผู้หญิงคนนี้มาก่อนเหรอ? นักสู้มักจะต่อสู้บนเส้นความเป็นความตาย ฉะนั้น จึงค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ที่พวกเขาจะโปรยเงินเพื่อซื้อสาวๆ มาบำเรอ แต่ไรมาสวีซินคิดว่าหลัวเฟิงไม่ใช่คนประเภทนั้น แต่ตอนนี้เธอกลับมาเห็นสิ่งนี้กับตาตัวเอง…