ตอนที่ 116 หอเจียงหนาน
“ซ่า…ซ่า…!” หยาดฝนกระหน่ำใส่ร่มในมือของทั้งสองราวกับฝูงห่ามดติดปีก
หลัวเฟิงถือร่มขณะที่เดินอยู่ข้างๆ หยางฮุย หลังจากเดินข้ามสะพานพวกเขาก็มาถึงตึกอันซับซ้อนหลังหนึ่ง หยางฮุยชี้นิ้วไปยังที่ที่ไม่ไกล “หลัวเฟิง ที่เห็นอยู่นั่นคือหอเจียงหนาน หอเจียงหนานตอนนี้มีนักเรียนอยู่แล้ว 2 คน นายจะเป็นนักเรียนคนที่ 3 ของหอเจียงหนานนั่น”
“หอเจียงหนาน?” หัวใจของหลัวเฟิงเต้นตึกตัก เขาอดถามไม่ได้ว่า “อาจารย์ครับ ทำไมมันถึงถูกเรียกชื่อเหมือนนครเจียงหนานล่ะครับ?”
เพราะเขากลายเป็นนักเรียนของทางค่ายฝึกอย่างเป็นทางการแล้ว หยางฮุยก็เป็นหนึ่งในอาจารย์ในค่ายฝึกนี้เช่นกัน ดังนั้นหลัวเฟิงจึงเรียกหยางฮุยว่า ‘อาจารย์’
“ฮ่าๆ ก็ตั้งตามชื่อนครนี่แหละ หอเจียงหนานมีนักเรียนอาศัยอยู่แล้ว 2 คน และทั้งคู่ต่างก็มาจากนครเจียงหนาน แต่พวกเขามาก่อนนาย” หยางฮุยแผ่วเสียงลงแล้วกล่าวอย่างมีลับลมคมใน “ฉันจะบอกอะไรให้นะ ในตอนนี้ หนึ่งในนักเรียน 2 คนที่อยู่ในหอเจียงหนานมีชื่อว่าฉื่อเจียง! เขาทรงพลังสุดๆ แม้แต่ฉันเองยังไม่คิดจะประมือกับเขา ถ้านายตีสนิทกับเขาได้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์กับนายมากทีเดียว”
“อาจารย์ครับ ขนาดอาจารย์ยังไม่มั่นใจว่าจะสู้กับเขาไหวเลยหรือครับ?” หลัวเฟิงทึ่ง
หยางฮุยเป็นถึงเทพสงครามขั้นกลาง!
“ใช่” หยางฮุยพยักหน้า “ฉื่อเจียงคนนี้ติดอยู่อันดับท็อปไฟว์ ซึ่งนักเรียนในค่ายฝึกหัวกะทินี้หลายคนมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงครามไปแล้ว เพียงแต่พวกเขาแค่ยังไม่ได้รับสมญาว่าเทพสงครามเท่านั้น! เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงยังคงฝึกฝนต่ออยู่ในค่ายแห่งนี้ อันที่จริง นักเรียนอันดับ 30 คนแรกในค่ายนี้อยู่ในระดับเทพสงครามแล้วทั้งนั้น”
หลัวเฟิงกะพริบตาปริบๆ นักเรียนท็อป 30 ล้วนแต่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเทพสงคราม?
นี่มันบ้าไปแล้ว
พวกเขาทุกคนล้วนแต่ปิดบังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเอง แม้ว่าพวกเขาจะสามารถจบออกไปได้ แต่พวกเขาก็ยังเลือกจะอยู่ในค่ายจนครบกำหนด 5 ปี!
“5 อันดับแรกของนักเรียนที่นี่ล้วนแต่น่ากลัวทั้งนั้น!” หยางฮุยกล่าวเสียงเคร่งขรึม
“เหล่าหัวกะทิจากทั่วโลกต่างแข่งขันกันสูงมาก และสิ่งเหล่านั้นแหละที่ทำให้พวกเขาผลักดันตัวเองขึ้นไปติดท็อปไฟว์ได้…เมื่อฉื่อเจียงเรียนจบ เขาจะได้รับการยำเกรงมากไม่ว่าเขาจะย่าวก้าวไปที่ใด! ยกตัวอย่างเช่น เขาสามารถกลายเป็นหัวหน้าของสำนักขีดสุดแห่งเจียงหนานได้เลยหากเขาต้องการ” หยางฮุยกล่าว
หลัวเฟิงแข็งค้างไปทันที
หัวหน้าของสำนักขีดสุดแห่งเจียงหนาน? นี่มันบิ๊กโฟว์แห่งเจียงหนานเลยนะ!
“หากเขาเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นอีกเพียงไม่กี่ปี การกลายเป็น ‘ผู้ตรวจการ’ ของสำนักขีดสุดของเขาก็เป็นไปได้สูง” หยางฮุยถอนหายใจ ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งระหว่างเขากับฉื่อเจียงจะไม่ห่างกันมากนัก แต่หยางฮุยก็อายุถึง 50 ปีเข้าไปแล้ว แต่ทางฝั่งฉื่อเจียงนั้นอายุแค่ราวๆ 20 ปีเท่านั้น! อนาคตของเขายังคงอีกยาวไกล
ขณะที่ยังคงช็อคค้างอยู่ หลัวเฟิงก็มาถึงหอเจียงหนานเสียแล้ว
ลานของหอเจียงหนานนั้นกว้างราวๆ 10 กว่าตารางเมตรเท่านั้น กำแพงสีขาวและกระเบื้องสีดำ ที่กำแพงมีรูปสลักมังกรสวยงามติดอยู่เห็นเด่นชัด
หลังจากเปิดประตูทางเข้าออก
มีอาคารอยู่ 3 หลังอยู่ภายในหอเจียงหนานนั้น เมื่อหลัวเฟิงและหยางฮุยเดินเข้าไปในลานนั้น มันเงียบมาก…
หยางฮุยตะโกนขึ้นเสียงดัง “ฉื่อเจียง จ้าวรั่ว!”
เด็กสาวผมสั้นในชุดนอนตัวโคร่งกำลังยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองของตึกหลังหนึ่งทางด้านซ้ายมือ มีเงาๆ หนึ่งกระโดดจากตึกที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขาแล้วลงมายืนประจันอยู่ต่อหน้ากับทั้งสอง เงานั้นปรากฏตัวในชุดฝึกสีดำพร้อมด้วยร่มในมือ
หลัวเฟิงพิจารณาดูเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างใกล้ชิดขณะที่เขากำลังโค้งเคารพหยางฮุย
เด็กหนุ่มคนนี้สูงกว่าหลัวเฟิงเล็กน้อย ดูราว 170 กว่าๆ ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สูงนักแต่เขาก็ดูแข็งแกร่งมาก ร่างกายของเขาดูราวกับหุ้มด้วยเหล็กกล้า ดวงตาของเขานิ่งขรึม แต่กลับเปล่งประกายน่ากลัวอย่างประหลาด
“เขาคือฉื่อเจียง”
หลัวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย
“นักเรียนใหม่เหรอคะ?” น้ำเสียงดีใจดังมาจากด้านบน จ้าวรั่วถือร่มอยู่ในมือขณะที่มองลงมายังหลัวเฟิง
หลัวเฟิงมองกลับไป รุ่นพี่คนนี้ชื่อ ‘จ้าวรั่ว’ เธอผมสั้นและตัวเล็ก สิ่งที่ดูผิดเพี้ยนไปก็คือผิวของเธอนั้นดำและตาของเธอก็เล็กมาก ทำให้ดูแล้วขาดคุณสมบัติคนสวยไปหน่อย
“เขาชื่อหลัวเฟิง ตั้งแต่นี้ เขาจะมาอาศัยอยู่กับพวกเธอในหอเจียงหนานนี้น่ะ” หยางฮุยกล่าว “ฉื่อเจียง จ้าวรั่ว พวกเธอเป็นรุ่นพี่ของหลัวเฟิง หลัวเฟิงเพิ่มมาถึงยังไงก็ช่วยดูแลเขาด้วยละกัน”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ปล่อยเป็นหน้าที่หนูเอง” จ้าวรั่วตบหน้าอกอย่างมั่นใจ “อยู่กับหนูที่นี่รับรองไม่มีปัญหาค่ะ”
“โอเค งั้นฉันไปก่อนนะ” หยางฮุยหัวเราะพลางตบไหล่หลัวเฟิง หลังจากนั้นเขาก็เดินหายออกไป
……..
มีตึกอยู่ 3 หลังรวมอยู่ภายในหอเจียงหนานนี้ ตึกที่ตั้งอยู่ตรงกลางคือตึกที่ฉื่อเจียงอาศัยอยู่ ส่วนหลังด้านซ้ายฝั่งตะวันตกเป็นที่ๆ จ้าวรั่วอยู่ และหลัวเฟิงจะต้องอยู่ที่ตึกทางฝั่งตะวันออกไปโดยปริยาย
“หลัวเฟิง มานั่งก่อน” จ้าวรั่วกระตือรือร้นสุดๆ ตอนนี้ทั้งสามคนกำลังอยู่ในล็อบบี้ภายในหอเจียงหนาน
“ฉันมาอยู่ที่นี่ตอนปี 55 ส่วนพี่ฉื่อเจียงมาอยู่ตอนที 53 พวกเตามาก่อนนายนานแล้วล่ะ” จ้าวรั่วกล่าวยิ้มๆ
ฉื่อเจียงเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน “53, 55, 57 เรา 3 คนมาที่นี่ทิ้งระยะห่างคนละ 2 ปีพอดี ไม่แค่นั้นนะ พวกเรายังมาจากนครเจียงหนานเหมือนกันด้วย อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น!”
เมื่อฉื่อเจียงกล่าวขึ้น หลัวเฟิงก็รู้ได้ทันทีว่าน้ำเสียงของเขาทั้งหนักแน่นและมั่นคงจริงๆ
“ฉันมาจากเมืองซูแห่งนครเจียงหนาน ส่วนพี่เจียงมาจากเขตหลักของนคร แล้วนายล่ะหลัวเฟิง?” จ้าวรั่วเอ่ยถาม
“ผมมาจากเมืองหยางโจวครับ” หลัวเฟิงตอบ
ฉื่อเจียงหัวเราะอย่างตื่นเต้น “ปู่ของฉันก็อยู่ที่หยางโจว!”
ทั้ง 3 คนต่างมาจากนครเจียงหนาน แต่อย่างไรก็ตามสำหรับฉื่อเจียงและจ้าวรั่วแล้ว คนหนึ่งเข้ามาเรียนที่นี่หลังจากผ่านการฝึกที่ ‘ค่ายฝึกขึ้นพื้นฐาน’ ส่วนอีกคนมาที่นี่ในฐานะหัวกะทิของกองทัพรัฐบาล มีแต่หลัวเฟิงเท่านั้นที่ถูกเลือกเข้ามาในฐานะนักสู้อิสระ
“หลัวเฟิง ถ้านายเข้าห้องไปแล้วก็ให้เปิดโน๊ตบุ๊คดูเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมค่ายนะ” ฉื่อเจียงกล่าวเตือน “ในโน๊ตบุ๊คจะมีคู่มือนักเรียน เป็นไฟล์ PDF อยู่ นายอ่านให้ดีๆ ล่ะ”
“ใช่ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากจริงๆ นะ” จ้าวรั่วกล่าวสำทับ
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคะแนนของนาย!” จ้าวรั่วกล่าวเตือน “ในค่ายฝึกนี้ ระดับคะแนนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด! ซึ่งนายอาจจะได้เห็น ‘อันดับมังกรดำ’ ที่อยู่ตรงประตูทางเข้ามาแล้ว”
“ผมเห็นแล้ว” หลัวเฟิงพยักหน้า
ดูเหมือนจะมีคนจีนแค่คนเดียวที่ติดอันดับท็อป 3
“ยิ่งนายได้คะแนนสูง อันดับมังกรดำนายก็จะยิ่งสูง! จากวันที่ 1 ถึงวันที่ 28 ของทุกเดือนเป็นเวลาที่นายจะทำคะแนนได้ และวันที่ 29 ของทุกเดือนจะเป็นวันจัดอันดับตารางคะแนน! เดือนถัดไปคะแนนของทุกคนจะกลับมาเป็นศูนย์อีกครั้ง ถึงตอนนั้นทุกคนก็จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อยกระดับของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง” จ้าวรั่วอธิบาย
หลัวเฟิงอึ้งไป
อันดับถูกจัดใหม่ในทุกๆ เดือน!
“รุ่นพี่ คะแนนพวกนี้มาจากไหนครับ?” หลัวเฟิงถาม
“คะแนนมาจาก ‘คะแนนต่อสู้’ ซึ่งจะถูกนำไปคูณกับ ‘คะแนนความสามารถในการต่อสู้’ ” จ้าวรั่วอธิบาย “ยกตัวอย่างเช่น นายกำลังเริ่มต้นทำคะแนนของนายในเดือนเมษา ถ้าคะแนนต่อสู้รวมของนายจากวันที่ 1 ถึงวันที่ 28 เมษาอยู่ที่ 2,000 คะแนน และคะแนนความสามารถในการต่อสู้ของนายคือ 1.8 คะแนนของนายก็จะถูกนำไปคำนวณเป็น 2,000 X 1.8 ซึ่งก็เท่ากับ 3,600 คะแนน! หลังจากนั้นคะแนนของนายก็ถูกนำไปจัดตามลำดับสูงต่ำนั่นเอง”
พอหลัวเฟิงยิ่งได้ฟังก็ยิ่งสงสัย
อะไรคือคะแนนต่อสู้ แล้วอะไรคือคะแนนความสามารถในการต่อสู้?
“คะแนนต่อสู้ได้มาจากการล่าสัตว์ประหลาด! ส่วนรายละเอียดอื่นๆ นายก็อ่านดูใน ‘คู่มือนักเรียน’ แล้วนายก็จะรู้เอง” จ้าวรั่วอธิบาย “สำหรับ ‘คะแนนความสามารถในการต่อสู้’ นายจะได้รับจากเครื่องทดสอบเสมือนจริง อย่างที่บอก นายจะเข้าใจรายละเอียดเองหลังจากได้อ่านคู่มือนักเรียนแล้ว”
หลัวเฟิงกะพริบตาปริบๆ อย่างอึดอัดใจ
เขาต้องเข้าใจทุกอย่างจากคู่มือนักเรียนด้วยตัวเอง…
“หลัวเฟิง!” ฉื่อเจียงกล่าวขึ้นในที่สุด
“ครับรุ่นพี่” หลัวเฟิงมองหน้าฉื่อเจียง
“จำเอาไว้ ถ้านายต้องการพัฒนาได้เร็ว นายจะต้องฝึกฝนให้หนักเพื่อยกระดับของตัวเองในทุกๆ เดือน ยิ่งอันดับสูงก็ยิ่งดี” ฉื่อเจียงกล่าวอย่างจริงจัง อันดับนี้จะเกี่ยวพันกับวัตถดิบที่นายจะได้รับ แม้แต่เทพสงครามยังต้องอิจฉากับวัตถุดิบในการฝึกพวกนี้ ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนักเรียนระดับเทพสงครามหลายต่อหลายคนถึงยังคงอยู่ที่นี่ไม่ยอมจบออกไป”
จ้าวรั่วยิ้มกริ่ม “ไม่ใช่ใครหรอก ก็อย่างรุ่นพี่ฉื่อเจียงของเรานี่แหละ”
ฉื่อเจียงพูดไม่ออก
จ้าวรั่วหัวเราะคิกๆ ส่วนหลัวเฟิงก็อดหัวเราะไม่ได้เหมือนกัน
………..
ห้องของหลัวเฟิง ในหอแห่งเจียงหนาน…
ไม่นานนักหลังจากที่เปิดโน๊ตบุ๊ค หลัวเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางค่อยๆ อ่านดู ‘คู่มือนักเรียน’
“ห้องฝึก? ห้องท้าทาย? ห้องเรงโน้มถ่วง? ห้องทั้ง 3 นี้ถูกสร้างจากการค้นพบซากโบราณคดี”
หลัวเฟิงยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับค่ายฝึกนี้ มีอุปกรณ์มากมายที่สามารถใช้งานได้ และแน่นอน อุปกรณ์ที่ว่าส่วนใหญ่นั้นได้มาจากซากโบราณคดี
และสิ่งที่สำคัญที่สุดของค่ายฝึกนี้ก็คือ…อันดับคะแนน!
จากสูงลงไปต่ำล้วนส่งผลต่อทุกอย่าง
ยกตัวอย่างเช่น ‘ห้องแรงโน้มถ่วง’ ถูกสร้างจากการค้นพบทางโบราณคดี มีประสิทธิภาพมากว่าห้องจำลองแรงโน้มถ่วงที่มีในปัจจุบันเสียอีก แต่อย่างไรก็ตาม…มีห้องฝึกนี้เพียงห้องเดียวเท่านั้นภายในค่าย แล้วใครจะได้ใช้มันล่ะ? มันขึ้นอยู่กับอันดันคะแนนนั่นเอง
ยิ่งอันดับสูง ก็จะยิ่งใช้มันได้นานขึ้น! และนี่ก็เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น!
“ถ้าสามารถครองอันดับ 1 ได้ถึง 9 ครั้ง ก็จะได้รับเลือดมังกรส่วนหนึ่งมูลค่า 8 หมื่นล้าน และสามารถเลือกรับคู่มือวิชาแบบสมบูรณ์วิชาใดก็ได้ 3 วิชา และจะได้กลายเป็นศิษย์สายตรงของ ‘อาจารย์หง’ หรือ ‘เทพสายฟ้า’ ด้วย
ถ้าครองอันดับ 1 ได้ 6 ครั้ง จะได้รับหยกมูลค่า 3 หมื่นล้านและสามารถเลือกรับคู่มือวิชาได้ 1 วิชา และยังสามารถเข้าเรียนแบบตัวต่อตัวกับ ‘อาจารย์หง’ หรือ ‘เทพสายฟ้า’ เป็นจำนวนหนึ่งบทเรียนอีกด้วย”
หลัวเฟิงตะลึงงันขณะที่อ่านคำบรรยายในไฟล์ PDF นั้น
เลือดมังกร? ได้เป็นศิษย์สายตรงของอาจารย์หง หรือไม่ก็เทพสายฟ้า? ลูกศิษย์สามารถเลือกอาจารย์ได้ด้วย?
คู่มือวิชาแบบสมบูรณ์วิชาใดก็ได้ 3 วิชา?
ต้องรู้ไว้ว่าราคาของคู่มือวิชาแต่ละวิชานั้นแพงจนน่าตกใจ
“บ้าไปแล้ว…บ้าไปแล้ว แต่ยังไงรางวัลพวกนี้ก็มีไว้สำหรับอันดับ 1 แถมยังต้องอยู่อันดับ 1 หลายครั้งทีเดียว” หลัวเฟิงอ่านต่อไป
“พลังหมัดระดับ 6 จะมีสิทธิ์ได้รับเลือดมังกรส่วนหนึ่งมูลค่า 8 หมื่นล้าน ชุดต่อสู้ระดับ SS และอาวุธครบเซ็ต…”
“พลังหมัดระดับ 5 จะได้รับ…”
หลัวเฟิงอ่านรางวัลด้วยความรู้สึกอึ้งทึ่งไปหมด
“ผ่านหอคอยแห่งการทดสอบ 5 ชั้น จะได้รับฉายาว่า ‘ผู้ตรวจการ’ แห่งสำนักขีดสุด เลือดมังกรมูลค่า 8 หมื่นล้าน ชุดต่อสู้ระดับ SS และอาวุธครบเซ็ต คู่มือวิชาแบบสมบูรณ์วิชาใดก็ได้ 3 วิชา และได้รับ ‘เทพมหากาฬ’ ที่ได้จากซากโบราณคดีหนึ่งชุดอีกด้วย”
เห็นได้ชัดว่าหอคอยแห่งการทดสอบนั้นมีรางวัลตอบแทนสูงมาก
ผู้ตรวจการ!
โดยปกติแล้ว นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่เหนือเทพสงคราม แล้ว ‘เทพมหากาฬ’ หนึ่งชุดที่ได้จากซากโบราณคดีมันคืออะไรล่ะ?
หัวใจของหลัวเฟิงเต้นระรัว เมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เขาได้เผชิญมาในการทดสอบระดับ B ก็รู้สึกกดดันมากๆ
เขาแค่เข้าทดสอบในชั้นแรกเท่านั้น ก็ต้องเผชิญหน้ากับกระทิงอำหหิตระดับบัญชาการขั้นต่ำถึง 100 ตัว! และนั่นก็อาจไม่ใช่ด่านที่ยากสุดของชั้นแรกด้วยซ้ำ
แล้วชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 ชั้นที่ 4…ล่ะ
แม้แต่เทพสงคราม ‘หยางฮุย’ ผู้ซึ่งมีประสบการณ์มากมายยังสามารถตะลุยเข้าไปได้แค่ชั้นที่ 3 เท่านั้น! และนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ‘อาจารย์หง’ ยังสามารถทะลวงได้ถึงชั้นที่ 6 เท่านั้น! ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่ายากแค่ไหนหากจะต้องทะลวงไปจนถึงชั้น 5 เพื่อเอารางวัลอย่างที่ว่านั่น
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรางวัลถึงได้สูงขนาดนั้น